ระยะที่อยู่ จ.ตาก : เสือ

เสือ

 เสือตัวนั้นที่ห้วยซัมพาล่า

          เส้นทางจากสำนักแม่จันทะสู่สำนักจะแก  เป็นเส้นทางที่ออกเช้าถึงค่ำ   จำได้ว่าออกจากสำนักแม่จันเช้าสัก 7.00 น.  เตรียมข้าวห่อสำหรับมื้อกลางวันแล้วข้ามแม่จันเลย  มุ่งหน้าตะวันตก จะเริ่มขึ้นภูก่องก๊องก็เกือบเพลภูก่องก๊องมี 3 ชั้นใหญ่ๆโดยประมาณ ทางขึ้นชัน แต่ไม่ร้อนเพราะเป็นป่าทึบ ชั้นสุดท้ายโหดหน่อย เมื่อถึงยอดจะเป็นซอกหินต้องเดินอ้อมไป  บรรยากาศจะเย็นและเงียบ เรียกว่า “เยียบ” ก็ได้ ขวามือเป็น ป่าลั่นทม ตามปกติเราจะพักกันที่นี่สักนิดนึงให้หายเหนื่อย น่าแปลกที่ป่าลั่นทมแห่งนี้แม้จะรกทึบแต่ก็ไม่เหมือนป่าทั่วไปที่เราผ่านมา  แม้คนที่ผ่านมาครั้งแรกก็อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า  น่าจะเกิดจากน้ำมือคน อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องที่ในระยะนั้นไกลเกินสืบค้นถึงที่มา เรารับฟังแต่ตำนานระยะใกล้ ที่รับรู้กันว่า สุดปลายป่าลั่นทมที่เป็นหน้าผานั้นเป็นที่จารึกโศกนาฏกรรมแห่งความรักของหนุ่มสาวกระเหรี่ยงบางคู่ในอดีต มีตำนานที่ไกลออกไปกว่านั้นอีก คือตำนานที่ว่ากันว่า กษัตริย์มอญอพยพหนีการตามตีของพม่ามาสิ้นพระชนม์ที่ยอดภูแห่งนี้

          ออกจากป่าลั่นทมจะเป็นป่าโปร่ง เมื่อเดินตามสันภูมาเรื่อยๆ เราจะข้ามห้วยซัมพาล่า 2 ครั้ง ซ้ายมือที่เห็นแผ่กว้างไปสุดสายตาคือทุ่งใหญ่นเรศวร นี่แหละครับ ทุ่งหญ้าสะวันนา ของไทย     ที่ริมห้วยซัมพาล่าจุดนี้  เรามักจะพักกินข้าวกันที่นี่กันทุกชุด ในช่วงที่ไปจะแกกันมาก จะปรากฎร่องรอยตัดไม้ไผ่,กองไฟเก่า และซากพืชซากสัตว์จากอาหารของพวกเรา จากนั้นเราก็เดินบนสันแล้วค่อยๆลง เมื่อลงมาจนถึงที่ราบแล้วก็ยัง …ยังไม่ถึงครับ สหาย เดินอีกสัก 2 ชั่วโมงจนเห็นที่นานั่นแหละ ถึงแล้ว เมื่อไปจะแกครั้งแรก ผมเดินหน้าฝน เวลาลงภูก็ลงไปพร้อมๆกับสายน้ำ แล้วลุยข้ามห้วยลึกขนาดเอวอีกหลายครั้ง ขณะนั้นก็ประมาณ 5-6 โมงเย็นแล้ว เราเหนื่อยกันจนพูดไม่ออก สหายโชค ที่พาพวกเรามาครั้งนั้นบอกว่า   ” ป้ายหน้าก็จะแกแล้ว ”   สามทุ่มครับ กว่าจะถึง

          จะแก เป็นบ้านที่มีทั้งบทบาทและสีสันในบรรดาหมู่บ้านชั้นในของเขตฐานที่มั่น เมื่อครั้งมีการจัดกำลังทหารหลักในเขตใต้ (911) กองร้อยแรกและกองร้อยเดียว ก็มาฝึกภาคสนามที่นี่,  ปี 2522  เมื่อฝ่ายรัฐบาลส่งกำลังทางเฮลิคอปเตอร์ขึ้นมาเพื่อปราบปราม  ศึกพิทักษ์ฐานที่มั่นก็อุบัติขึ้นบริเวณที่นาของเองฉวย ที่จะแกนี่เอง ที่นี่มีวัดในพระพุทธศาสนามีพระเณรอยู่ประมาณ 4-5 รูป นอกจากนี้ ยังมีการทำเหมืองแร่ มีถนนดินสำหรับรถขนแร่ผ่าน ซึ่งผู้ที่มาทำเหมืองแร่ที่นี้ก็คงเหมือนๆกับที่อื่นที่เป็นแนว(จำใจ)ร่วมของพวกเรา เส้นทางขนแร่ไปสุดทางที่ชายแดนพม่า อยู่ในพื้นที่ควบคุมของกระเหรี่ยงอิสระ มีนายอำเภอในขณะนั้นชื่อ ” จอเต็ง ” เราเคยอาศัยซื้อข้าวจากทางฝั่งโน้นในระยะที่ขาดแคลนข้าวในฐานที่มั่น และยังได้อาศัยซื้อของใช้จำเป็นจากในเมือง เช่น น้ำตาลทราย,น้ำปลา,ยารักษาโรคบางชนิด และอื่นๆ ที่ร้านค้าของเหมือง การไป”จะแก” ณ พ.ศ. นั้น ก็เหมือนไปตลาดนั่นแหละครับ จะแก จึงมีความสำคัญเป็นทั้งอู่ข้าว(ค้างปี)อู่น้ำ(ตาลทราย)ในยามขาดแคลน ของชาวแม่จันทะ-เกริงโบ  ผู้ปฏิบัติงานที่จะแก นอกจากจะทำงานหลายด้านที่เหมือนๆกับหน่วยงานอื่นๆแล้ว  ยังต้องทำงานด้าน “ต่างประเทศ”ด้วย เข้าใจว่า สหายโชติ คือผู้ดำรงตำแหน่ง “เอกอัครรัฐทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำจะแก” ในเวลานั้น

          จะเป็นเดือนใดก็ไม่แน่ใจ แต่เป็นช่วงก่อนหน้าฝนในปี 2522 ทางสำนักแม่จันทะและประชาชนบางส่วนขาดแคลนข้าว ในการนี้ได้ติดต่อซื้อมาจาก”กองสุเหล่” ฝั่งพม่า ผ่านทางจะแก เราได้จัดขบวนลำเลียงข้าวเข้าแม่จันทะ เพื่อให้มีความปลอดภัยและสะดวกรวดเร็วในการขนส่ง จึงได้ทำยุ้งพักข้าวไว้ในป่าริมห้วยซัมพาล่าดังกล่าว โดยจะขนมาพักไว้ที่จุดนี้ก่อนแล้วค่อยลำเลียงมาแม่จันทะอีกที

          ขบวนส่วนใหญ่ได้ออกเดินทางไปแล้ว 2-3 วัน เหลือผมกับ “ท่านทูต”โชติ เพียง 2 คน ที่ตามไปสมทบ “ท่านทูต” จะเดินทางกลับไปทำงาน ส่วนผมไปสมทบกับขบวนลำเลียง เพื่อความคล่องตัวรับสามารถบรรทุกน้ำหนัก ให้ได้มาก ผมไม่ได้เอาอะไรไปเลย มีเพียงโสร่ง1ตัว ผ้ายางปูรองนอน กระติก  และพร้า เล่มเดียว ส่วน ท่านทูต มีเพียงปืน M 16 และวิทยุ เนื่องจากกว่าจะเสร็จธุระจากแม่จันทะก็สายแล้ว เราตกลงกันว่าจะนอนกลางทางที่ซัมพาล่าจึงอ้อยอิ่งค่อยๆไต่ขึ้นภูก่องก๊อง แวะเก็บผลไม้ป่ากินกันมาตลอดทาง นั่งพักที่บริเวณป่าลั่นทม จำได้ว่านั่งฝอยกันในเรื่องสมบัติกษัตริย์มอญที่น่าจะฝังอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งในเขตเรานี้แหละ กว่าจะถึงซัมพาล่าก็มืดค่ำด้วยประการฉะนี้ เรายังคุยเรื่องนี้กันต่อ น่าแปลกที่วันนั้นเราไม่ได้คุยกันในเรื่องงานปฏิวัติหรืออะไรที่เกี่ยวข้องเหมือนอย่างบรรยากาศการพูดคุยทั่วไปในฐานที่มั่นเลย ท่านทูตได้กรุณาเล่าประวัติศาสตร์ สามชนชาติที่เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง คือ พม่า-มอญ-กระเหรี่ยง เรายุติการคุยกันก็เกือบๆตีสอง จากเรื่องประวัติศาสตร์ปากเปล่า เรื่อยมาจนถึงเรื่องตำนานไพร แต่ที่จำได้แม่นมีอยู่ 2 เรื่อง คือเราเปิดวิทยุฟังและสามารถรับฟังสถานีทางกาญจนบุรีได้ รอบดึกทางสถานีเปิดเพลงสุนทราภรณ์ มีเพลงหนึ่งคือ เที่ยว..พเนจร…..ซอกซอน…พนาลัย….. ส่วนอีกเรื่องก็คือเราถกเถียงกันในประเด็นที่ว่า เสือกล้าไล่กระทิงหรือไม่

          คืบก็ป่า ศอกก็ป่า เข้าป่าอย่าพูดเรื่องเสือ ทำ”ขึด”ป่าเข้า ก็ต้องเจออย่างนี้ละครับ เช้าวันนั้น เราไม่ได้หุงข้าวกินเพราะไม่ได้เตรียมข้าวสารมา เรากะว่าต้มน้ำกระติกเดียวชงกาแฟแล้วรีบออกเดินทางไปกินข้าวเช้าเอาตอนเพลที่จะแกเลย บริเวณที่เรานอนก็อยู่ใกล้ๆกับทางที่เขาใช้เดินกันนั่นเองโดยเอาหัวไปทางทางเดิน เอาเท้าไปทางห้วย ที่ปลายเท้า มี กอไผ่เล็กๆอยู่ 1 กอ มีไผ่ขนาดข้อมือ ประมาณสัก 8-9  ลำ เท่านั้น เลยข้ามห้วยไป จะเป็นป่าโปร่ง มีขอนไม้ล้มอยู่ถัดไป ขอนไม้นี้สูงประมาณ 70-80 ซม.

          หลังจากผมดับไฟเรียบร้อยแล้ว ขณะที่เตรียมออกเดินทาง โดยผมนั่งอยู่บนผ้ายางส่วนท่านทูต กำลังเก็บของเข้าบาโลอยู่  ขณะนั้นผมรู้สึกว่าป่าเงียบมาก  ไม่มีแม้แต่เสียงของแมลงต่างๆอย่างที่เคยมีเลย ผมกับสหายโชติมองหน้ากัน  ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรก็มือเสียงดัง ครืนๆ  พร้อมกับเสียงกิ่งไม้หักกราวมาเหมือนกับใครเอารถไฟทั้งขบวนมาวิ่งในป่า   มองไปทางด้านลำห้วยเห็นเจ้ากระทิงโทนใหญ่ไม่น้อยกว่าควายที่เราใช้ไถนาควบเร็วจี๋  ข้ามห้วยมา เส้นทางที่มันพุ่งมาก็ที่นอนเรานั่นแหละ เพราะโล่งมากกว่าที่อื่น เราสองคนต่างก็พลิกตัวออกไปคนละข้าง  ในเวลาเดียวกับที่เจ้ากระทิงโผนเข้าชนกอไผ่ที่ปลายเท้าเรา ไผ่ลำเท่าข้อมือทั้ง 8-9 ลำ  ถูกมันชนหักสะบั้น โดยที่ตัวมันไม่ชะงักเลย มันใช้ขาหลังตะกุยครั้งเดียว ผ่านกลางเราสองคน โน่น ข้ามทางหายเข้าทุ่งใหญ่ไปเลย เราสองคนมองตามเห็นแค่แวบเดียวจริงๆ

          ในห้วงเวลาแห่งความตกใจและตกตะลึงนี้ สิ่งแรกที่แวบก็คือทำไมมันพุ่งเข้าหาคน หรืออะไรไล่มันมา(วะ) ผมหันกลับไปมองที่ริมห้วย  มาแล้วครับ  หน้าใหญ่ยังกับกระด้ง  เหลืองอร่ามมาเชียว มันเป็นเสือตัวใหญ่มากเท่าที่เคยเห็นมา ผมร้องตะโกนได้คำเดียวว่า “เสือ” เสียงก็ไม่รู้หายไปไหนหมด สหายโชติซึ่งขณะนี้สวมแว่นตาเรียบร้อยแล้ว ยก M16 ขึ้นแล้วลั่นไปหนึ่งนัด เจ้าเสือตัวนั้น เบรกพรืด เบรกพรืดจริงๆครับ ฝุ่นกระจาย มันอ้อมไปหลังขอนไม้ คำราม อ๊าว ลั่นป่า อานุภาพของเจ้าป่าจริงๆครับ เรี่ยวแรงไม่รู้หายไปไหนหมด มันคงโมโหที่เราไปขัดลาภปากมัน เลยคำรามอีกหลาย อ๊าว สหายโชติเล็งปืนนิ่ง ส่วนผมกำพร้าคู่ใจแน่น ในใจคิดว่า แล้วมันจะไหวไหมนี่ อย่างมากถ้ามันถึงตัวก็คงฟันมันได้สักแผล และมันก็คงคาบเราตวัดขึ้นหลังเข้าป่าทึบ ได้รายงานตัวกับท่านมาร์กซ์แน่

          เสียงคำรามของมันเงียบหายไป แต่เรารู้ว่ามันอยู่หลังขอนไม้นั้นแหละ เราตัดสินใจขึ้นต้นไม้ทันที โดยผมถือปืนคุมเชิง ให้สหายปีนขึ้นไปก่อน จากนั้นสหายก็คุมเชิงแล้วผมก็ปีนตาม พอขึ้นมาได้ก็ค่อยโล่งใจหน่อย คราวนี้อาการตกใจค่อยหายไปแล้วแต่เราก็ยังกลัวมันอยู่ดี เราอยู่กันอย่างนั้น4-5 ชั่วโมง เราไม่รู้ว่ามันไปหรือยังแต่กลิ่นสาบของมันลอยอยู่ในบริเวณนั้น

          เอาละครับ ไอ้ 4-5 ชั่วโมงที่ว่า เราไม่ได้เอากระติกน้ำไปด้วยเพราะไม่มีเวลาหา ก็นั่งหิวน้ำกันอยู่บนนั้นนั่นเอง

          ขณะที่ยังไม่กล้าตัดสินใจอย่างใด อัศวินม้าขาวก็โผล่มาช่วย เราได้ยินเสียงคนเดินมาเป็นกลุ่ม คนแรกที่เราเห็น ก็คือ สหายพล พร้อมปืนคู่ใจ เจ้าแมกนั่ม .44 คานเหวี่ยง เราร้องตะโกนบอกให้รู้กันว่า บริเวณนี้มีเสือ สหายพลเปลี่ยนเป็นท่าระวัง เรารีบลงจากต้นไม้ ขณะที่สหายเราช่วยกันกระจายกำลังอ้อมไปหลังขอนไม้ เท่าที่สำรวจดู สหายให้ความเห็นว่ามันคงไปนานแล้ว ปล่อยให้เราสองคนนั่งเท้งเต้งหิวน้ำกันบนต้นไม้ ขณะที่บันทึกเรื่องนี้ ผมยังนึกขำอยู่เลย สักครู่สหายศรัทธาก็มาพร้อมช้าง สหายเล่าว่า พอมาถึงบริเวณนี้เจ้าช้างของสำนักตัวนี้มันก็ไม่ยอมเดินเหมือนกัน

          เรื่องการเผชิญหน้ากันทั้งสองฝ่าย ก็จบลงโดยไม่มีฝ่ายใดได้รับบาดเจ็บล้มตาย มีเพียงผมต้องเบิกผ้ายางใหม่เท่านั้น ส่วนกระติกตามเก็บได้ไม่บุบสลายแต่อย่างใด ระหว่างที่อยู่ตาก ผมมีเรื่องเฉียดเสือ 2 ครั้ง ทั้งสองครั้ง มีแต่มีดเล่มเดียว แต่ถึงมีปืนก็คงไม่กล้ายิงอยู่ดี อย่างมากก็ยิงขู่

................................

อาจารย์สุธาชัยกับท่วงทำนองที่เรียบง่าย

ความตายสำหรับบางคนนั้นหนักกว่าขุนเขา  สำหรับบางคนนั้นเบากว่าขนนก

" อาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย "

 

กลางปี 2555 สหายประชา ขึ้นไปเยี่ยมยามเขตงานเก่า ลุงพินิจ ได้ฝากคำเชิญให้สหายเหล่ายาและสหายเหล่าเล่ง ขึ้นไปร่วมงานบุญใหญ่ฤาษี ที่ม่งควะ ในเดือนมีนาคม 2556 แกกำชับมาว่า บรรดาสหายรุ่นบุกเบิกที่ยังเหลืออยู่ก็อายุมากๆกันทั้งนั้น ดังนั้น การพบกันครั้งนี้ อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย