พระ
เมื่อบันทึกถึงพระ ก็คงเดากันได้อีกนั่นแหละ ว่าเกิดขึ้นที่จะแก เพราะเป็นที่เดียวที่มีวัดและพระ และมีที่เกี่ยวข้องกับพระอีกหน่อยก็คือ ครั้งที่ยังอยู่ที่โรงเรียนการเมืองการทหารเรามีสหายร่วมรุ่นที่อาวุโสกว่าคนอื่นๆสองท่าน ท่านหนึ่งคือสหายสัจจะซึ่งมาจากกรรมกร ส่วนอีกท่านหนึ่งคือสหายดอนซึ่งสึกหาลาเพศมาจากพระ
ทั้งสองท่านต่างคนต่างที่มากัน มาอยู่ร่วมกันช่วงสั้นๆในโรงเรียนฯ แล้วก็แยกกันไปทำงาน เมื่อเลิกปฏิวัติ ก็ต่างคนต่างมีที่ไปคนละทาง สหายสัจจะ มอบตัวเป็นศากยบุตรและอยู่ใต้ร่มกาสาวพัตร์มาจนทุกวันนี้ ส่วนสหายดอนนั้นได้ทราบครั้งสุดท้ายก่อนข่าวคราวจะขาดหายไปหลายปีแล้วว่าไปเป็นกรรมกร
สหายดอนหรือลุงดอนตามที่พวกเราเรียกกัน เคยเล่าให้พวกเราฟังว่าตัวลุงนั้นบวชมาตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากเป็นคนเรียบร้อยและรักการเรียนรู้จึงสามารถสอบนักธรรมและเปรียญธรรมได้ขั้นสูงมีฐานานุกรมในระดับตำบลและระดับอำเภอมาตามลำดับ แต่เนื่องจากมีจิตใจรักความเป็นธรรมและจะไม่ยอมใครถ้ามีอะไรที่ไม่เป็นธรรม จึงมีปัญหากับผู้บริหารสงฆ์จนสุดท้ายต้องลาจากสมณะเพศ ประจวบกับทางจังหวัดตากต้องการผู้ที่สามารถสอนการทำนาแบบที่ราบภาคปฏิบัติได้ ทางจัดตั้งจึงส่งแกมาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำนา แต่เท่าที่เคยคุยกันบ่อยๆ เห็นว่าที่แกมีความชำนาญจริงๆนั้น น่าจะไม่ใช่เรื่องทำนาหากแต่เป็นเรื่องสงฆ์และกิจการของสงฆ์มากกว่า
ลุงดอนนี่เองเคยปรารภกับผมเมื่อเราได้ทราบว่าที่จะแกมีวัดและมีพระจำพรรษาอยู่ว่า ถ้ามีโอกาสแกจะไปจะแกสักครั้งหนึ่งเพื่อจะลองสอบทานดูว่าพระที่นั่นสวดปาติโมกข์ได้หรือเปล่า
” สวดปาติโมกข์ไม่ได้มาจำวัดอยู่ในป่าอย่างนี้ไม่ได้หรอก เวลาเข้าพรรษาต้องสวดปาติโมกข์ตอนทำวัตรเย็นแล้วจะสวดได้ยังไง” แกว่า
ยังไม่ทันจะไล่บาลีกับพระ แกก็ถูกย้ายไปประจำหน่วยเทคนิคการผลิตที่เกริงโบเสียก่อน ขณะที่ผมก็ตามกองร้อย 911 ลงมาฝึกภาคสนามที่จะแก ครั้งนี้ได้อยู่จะแกเดือนกว่า จากที่เคยไปไหนมาไหนต้องมีสหายท้องถิ่นพาไปก็ค่อยๆคล่องขึ้น ผมมักออกไปหายิงกับสหายช่วงด้วยกันสองคนเสมอเมื่อมีเวลาว่าง ที่นี่เองเราได้อาศัยวัดเป็นที่ตั้งโรงเรียนการทหารภาคปฏิบัติชั่วคราว เนื่องจากเวลานั้น พระคุณเจ้าต่างพากันรอนแรมธุดงค์ไปที่อื่นหมดทั้งวัด ทางฝ่ายอำนาจรัฐจึงอนุญาตให้เราเข้าใช้ได้โดยระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหาย เมื่อกองร้อยเดินทางมาถึงก็ไม่ได้พบพระแล้วเพราะท่านออกเดินทางไปก่อน
วันนั้นไม่มีการฝึก จำได้ว่าเป็นวันที่เราเตรียมเสบียง ส่วนใหญ่ก็ช่วยกันตำข้าว, หาฟืนหรือออกไปหายิงสัตว์ มีส่วนหนึ่งไปหาซื้อน้ำตาลและปลากระป๋องที่จอห์นสโตร์, ซึ่งเป็นร้านค้าของเหมืองที่มีผู้จัดการร้านเป็นแขกดำชื่อจอห์น เวลาเรียกขานกัน ก็ สหายจอห์น, มิสเตอร์จอห์น หรือ ไอ้จอห์น แล้วแต่ว่า งวดนั้นจะขอแบ่งซื้อของได้มาก, ได้น้อย หรือไม่ได้เลย
งานที่ที่ตั้งชั่วคราวทำกันครึ่งวันก็เสร็จ ตอนบ่ายก็ออกไปเที่ยวเล่น ผมกับสหายช่วงเดินไปตามทางไปเหมือง เป็นการเดินทางสบายๆเพราะเป็นเขตชั้นใน เราเดินจนพบทางรถแล้วจึงเลี้ยวขวาเดินตามทางรถที่เป็นถนนดิน ไปพ้นป่าไผ่ก็เป็นที่โล่ง
โน่น มาโน่นแล้ว เป็นขบวนเลย มีพระนำหน้ามาเชียวครับ หลวงพี่รูปที่เดินนำหน้าจีวรปลิวสีเหลืองอร่ามเลย แถมสวมแว่นดำเรย์แบนด์อีกต่างหาก ติดตามมาด้วยขบวนเณรน้อยและเณรโค่งสี่ห้ารูปแล้วมีอุบาสกอุบาสิกาอีกห้าหกคนปิดท้าย
แวบนึงที่คิดตอนนั้นก็คือ แล้วจะทักทายกับพระยังไงดี เอาตามปกติดีไหม คือจับมือเขย่ากัน สัญชาติญาณดั้งเดิมของผมปฏิเสธทันทีว่าไม่ได้ ไม่มีใครเขาทักทายพระกันแบบนั้นหรอก ตั้งแต่เด็กๆมาถ้าเจอพระผมก็จะนั่งยองๆยกมือไหว้ตามผู้ใหญ่ ถ้าอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนก็ยืนคำนับ อ้าว วันนี้ก็อยู่ในเครื่องแบบเหมือนกัน แต่เป็นเครื่องแบบทหารปลดแอกฯ นี่นา เราไม่มีประเพณีไหว้กันนี่ มีแต่จับมือกัน
ท่านผู้อ่านโปรดนึกภาพตามไปด้วย ว่าขณะที่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี ผมหยุดเดินแล้ว แต่ขบวนของพระท่านยังไม่หยุด ระยะห่างระหว่างเราสั้นลงมาเรื่อยๆ
” เอาไงดี สหายช่วง จับมือหรือไหว้ ดี? ”
” ไม่รู้สิ จับมือดีกว่า ในนี้ไม่เห็นมีใครเขาไหว้กัน”
” จับมือกับพระ ผมก็ไม่เคยทำเหมือนกัน”
” นั่นสิ เอาไงดี ไม่น่ามาเจอกันตรงนี้เลย หรือเราจะหลบ ”
” เฮ้ย จะหลบได้ไง มาถึงแล้ว”
เสี้ยววินาทีนี้ผมคิดถึงลุงดอน
ครับ ท่านที่นึกภาพตามก็จะเห็นว่า ทั้งสองขบวนได้มาถึงกันแล้ว หลวงพี่ที่นำขบวนคงถึงพร้อมด้วยญาณที่รู้อัธยาศัยแห่งสัตว์ มองทะลุความประดักประเดิดของเราออก ท่านช่วยแก้ปัญหาให้เราโดยสาวเท้าตรงมาที่เรา พลางยื่นมือขวาออกมาพร้อมกับกล่าว
” อ้อ สหายมา สวัสดี สหาย”
เราจับมือกับท่าน จำได้ว่าพูดคุยกันคำสองคำ ก็แยกทางกันไป
เฮ้อ ! โล่งอกไปที
..........................