Skip to main content
เรื่องอยากเล่า...แด่ผู้ลี้ภัย ด้วยความเคารพและศรัทธาทุกท่าน . ปี 2551 หลังจากที่ผมใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 เดือน เพื่อสำรวจว่าจะพักอาศัยประเทศไหนรอบๆ ไทย เพื่อทำมาหากินจนกว่าจะเข้าประเทศได้ . สุดท้ายก็มาเลือกเวียงจันทร์เป็นที่หมาย ผมเริ่มหาทางทำมาหากินทันที แต่พบอุปสรรคมากมาย ไม่ทันกับเงินที่มีอยู่จำกัด หากอยู่ต่อไปก็คงได้ แต่สุขภาพกายและใจคงทรุดหนัก เพราะการอยู่แบบหัวเดียวกระเทียมลีบ มันไม่สนุก และไม่มีความหวังอะไรเลย . ด้วยเป็นคนใจร้อนและเกรงใจคนที่ช่วยเหลือ ผมตัดสินใจหนีกลับเข้าประเทศไทย ไปตายเอาดาบหน้า . เริ่มค้นหาผู้ช่วยท้องถิ่นในเวียงจันทร์ ผมโชคดีที่ใช้เน็ตได้ดี การค้นหาบุคคลจึงไม่ยากนัก เรานัดหมายพูดคุยกันจนเข้าใจ . แผนการเดินทางถูกวางไว้อย่างระทึก สุดท้ายผมก็ข้ามมาบนแผ่นดินไทยได้สำเร็จ . ในเวลานั้นผมไม่บอกใครแม้แต่ทางครอบครัว เพื่อไม่ให้ใครเป็นห่วง ถือว่าเป็น One Way Ticket ของผม ไม่มีการย้อนกลับอีกเป็นอันขาด . เลือกหาที่อยู่ที่ปลอดภัยที่สุด ผมเลือกไปฝังตัวในที่คนมากมาย แบบว่าไม่สามารถบอกได้ว่าใครแปลกหน้ามา และที่นั้นคือ.....กรุงเทพ . ผมหาที่อยู่ถูกๆ ได้หลายที่มากทีเดียว แบบว่าอยู่ไปอีก 20 ปีได้สบายๆ . ผมปรับปรุงบุคคลิกเล็กน้อย และเลือกใส่เสื้อผ้าฉีกแนวเดิมให้หมด แค่นี้ผมก็เดินไปดูหนังที่พารากอน หาของกินอร่อยๆ ได้ทุกวัน . สิ่งสำคัญในการอยู่รอด คือต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้ได้ ตอนนี้เป็นตอนที่ผมช้ำใจที่สุด(ในเวลานั้นจนบัดนี้) คือผมไม่สามารถบอกใครได้ว่าผมหนีเข้ามาในไทยแล้ว เพื่อนบางคนยังคงลำบากหาเงินมาส่งเสียผม ซึ่งเป็นประโยชน์กับผมอย่างมากในเวลานั้น ช่วยทำให้ผมได้หางานทำได้ง่ายขึ้น เมื่อมั่นคงแล้วผมจะต้องบอกให้เขาทราบ และงดการช่วยเหลือ . ทุกอย่างไม่ราบรื่นอย่างที่คิดนัก วันเวลาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หวาดผวา ทุกวัน วันหนึ่งมีเด็กส่งราดหน้าผิดห้องมาที่ห้องผม เล่นเอาผมเกือบต้องย้ายห้องหนี เพราะเข้าใจผิดคิดว่าโดนสะกดรอยได้ . ผมได้งานเป็นเซลแมนวิ่งต่างจังหวัด คราวนี้เป็นอะไรที่สนุกมาก และตรงใจผม เพราะไม่ต้องอยู่กับที่นานๆ ไม่มีใครรู้ว่าผมจะไปไหนวันไหน ทุกอย่างผมคิดเอง จึงไม่มีใครไปดักพบที่ไหนได้ . ผมทำงานอยู่เกือบปี ทุกอย่างทำท่าว่าจะไปได้ดี ผมมาได้ข่าวการลงโทษดาตอปิโดและสุวิชาท่าคล้อ ในคดีเดียวกับผม ทำให้รู้คร่าวๆ ว่าผมคงโดนตัดสิน 6 ปี หากรับสารภาพคงเหลือแค่ 3 ปี . ตอนนั้นผมเริ่มยอมรับการติดคุกได้ เพราะผมใช้เวลาไปเกือบ 2 ปีในการหนีทั้งหมด ถ้าผมจะติดคุกแค่ 3 ปีเพื่อแลกกับเสรีภาพถาวร และกลับไปอยู่กับครอบครัวได้....ผมยอม . เมื่อเริ่มคุ้นเคยต่อความคิดในการติดคุกแล้ว ผมก็เริ่มปล่อยวางวินัยต่างๆ ที่เคยปฏิบัติอย่างเข้นข้น เป็นปล่อยปละละเลย เพื่อให้โดนจับ..จะได้จบๆ เสียที . และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เมื่อผมต้องโทรไปหาลูก เพื่อนัดเอาโทรศัพท์คืนภรรยา . การจับกุมผมที่ห้างแพลตตินั่มกลางกรุงจึงเกิดขึ้น หลังจากผมโดนตัดสิน 6 ปี รับสารภาพเหลือ 3 ปี ติดคุกจริง 22 เดือน . วันนี้ผมเป็นอิสระแล้ว จากคดี 112 หากไม่มีประกาศ คสช ฉบับที่ 5/2557 ผมคงไปเยี่ยมผู้ลี้ภัยในต่างแดนทุกคนได้ . ชีวิตเป็นของเรา เลือกสิ่งที่ดีที่สุด . อะไรที่เราเลือกแล้ว ก็จงยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้ . ขอให้เพื่อนทุกคนจงอดทน สักวันเราจะเปลี่ยนประเทศนี้...ด้วยมือของเรา

บล็อกของ Suchart Narkbangsai

Suchart Narkbangsai
เรื่องอยากเล่า...แด่ผู้ลี้ภัย ด้วยความเคารพและศรัทธาทุกท่าน . ปี 2551 หลังจากที่ผมใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 เดือน เพื่อสำรวจว่าจะพักอาศัยประเทศไหนรอบๆ ไทย เพื่อทำมาหากินจนกว่าจะเข้าประเทศได้ . สุดท้ายก็มาเลือกเวียงจันทร์เป็นที่หมาย ผมเริ่มหาทางทำมาหากินทันที แต่พบอุปสรรคมากมาย ไม่ทันกับเงินที่มีอยู่จำกัด หากอยู่ต่อไปก็คงได้ แต่สุขภาพกายและใจคงทรุดหนัก เพราะการอยู่แบบหัวเดียวกระเทียมลีบ มันไม่สนุก และไม่มีความหวังอะไรเลย . ด้วยเป็นคนใจร้อนและเกรงใจคนที่ช่วยเหลือ ผมตัดสินใจหนีกลับเข้าประเทศไทย ไปตายเอาดาบหน้า . เริ่มค้นหาผู้ช่วยท้องถิ่นในเวียงจันทร์ ผมโชคดีที่ใช้เน็ตได้ดี
Suchart Narkbangsai
dCode112แผนชิงประชาธิปไตย คืนสู่มือประชาชนตอนที่ 4/112----------------------“ 2 โชคดีของประชาชนไทย ในปี 2556 “
Suchart Narkbangsai
dCode112แผนชิงประชาธิปไตย คืนสู่มือประชาชนตอนที่ 3/112----------------------“การรวมตัวของประชาชนในมิติใหม่ ไร้พรมแดนตลอด 24 ชม.อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน“
Suchart Narkbangsai
dCode112แผนชิงประชาธิปไตย คืนสู่มือประชาชนตอนที่ 2/112----------------------“ทำไมประชาชนถึงต่อสู้กับความชั่วร้ายของประเทศนี้ไม่ได้ ? “
Suchart Narkbangsai
dCode112แผนชิงประชาธิปไตย คืนสู่มือประชาชนตอนที่ 1/112----------------------
Suchart Narkbangsai
Rx112 กินให้ผอม (Slim with Eating) ตอนที่ 2
Suchart Narkbangsai
" กองทุนเพื่อประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย "
Suchart Narkbangsai
พรรคประชาธิปัตย์ชาตะ 6 เมษายน 2489มรณะ 20 สิงหาคม 2556สิริอายุรวม 67 ปี
Suchart Narkbangsai
ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 ผมมีน้ำหนักตัวประมาณ 86 กก.ที่ความสูง 178 ซม.หลังจากได้รับเกียรติให้เข้าไปอยู่บ้านเลขที่ 33/2 ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ประมาณ 3 เดือนแรก น้ำหนักผมหายไป 14 กก.เหลือ 72 กก.
Suchart Narkbangsai
ผมได้พบบล็อคของบุคคลผู้นับถือกัน มาปรากฏอยู่ใน blogazine.in.th แห่งนี้ด้วยความบังเอิญ จึงนึกสนุกที่จะได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นประสบการณ์บ้าง เป็นความคิดความเข้าใจส่วนตัวบ้าง เนื่องจากผมได้เคยอ่านบทความดีๆ จากบล็อคแห่งหนึ่ง แล้วรู้สึกชอบทั้งเนื้อหา และวิ