Skip to main content

เขียน: แสงพูไชย อินทะวีคำ

แปล: สุมาตร ภูลายยาว


แม้จะบิดเร่งคันเร่งเท่าไหร่ รถจักรยานยนต์ยังวิ่งช้าเหมือนเต่าคลาน  ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะความเร่งรีบอย่างไปถึงไปรษณีย์ให้เร็ว เพราะชั่วโมงทำงานใกล้มาถึง มือบิดคันเร่งพอๆ กับหัวใจที่ร้อนรนกลัวไม่ทันเวลา  สายตาจึงต้องเพ่งมองไปตามถนนเพื่อหลบรถคันแล้วคันเล่าก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าไปสู่ไปรษณีย์กลาง

เมื่อเข้าไปถึงเคาน์เตอร์ได้ไม่ถึง ๕ นาทีก็มีคนอายุประมาณ ๓๐ กว่าปีวิ่งเข้ามาทักทาย

โอ! พ่อเฒ่าสบายดีไหม จำฉันได้ไหม ฉันชื่อตุก”


ชายชราแต่งตัวเหมือนคนที่เพิ่งเดินทางมาจากชนบทเข้ามาในเมืองมองหน้าชายคนนั้นอย่างแปลกประหลาด ท่าทางของชายชราเก้อเขินงุนงงทั้งไม่อยากจะเชื่อความทรงจำของตัวเอง ทั้งแปลกใจเพราะคิดว่าไม่เคยได้พบกับชายวัยกลางคนๆ นี้มาก่อน พลางตอบไปสั้นๆ ว่า

จำไม่ได้หรอก”

อ้าว! ฉันเป็นเพื่อนลูกชายคนที่อยู่อเมริกาของพ่อเฒ่า ไอ้เอี่ยวนั่นหนา”

จริงหรือ”

จริง! เขาพูดต่อ ‘คราวที่แล้วมันฝากเงินมาให้พ่อเฒ่า ๒๐๐ ดอลล่าร์ใช่หรือเปล่า’


คำพูดประโยคสุดท้ายยิ่งทำให้ชายชรางุนงงมากขึ้น ชายชราพยายามทวนความทรงจำของตนเองด้วยการนึกถึงบรรดาลูกๆ หลานๆ ที่เคยเป็นเพื่อนกับเอี่ยวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนเอง แต่ยิ่งนึกถึงเพื่อนของลูกชายมากเท่าใด ชายชรายิ่งมืดแปดด้าน เพราะจะพยายามนึกอย่างไรก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของชายแปลกหน้าคนนี้เลยสักครั้ง

พ่อ! เดินเรื่องเสร็จหรือยัง”

ยัง! พ่อยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวลูกจัดการให้”


การขันอาสาของชายวัยกลางคนทำให้ชายชราแปลกประหลาดใจ พ่อเฒ่าทำตาโตด้วยความแปลกใจทั้งเกรงใจ  สารพัดความคิดที่วิ่งเข้ามาในสมอง ภายหลังที่เอาใบเช็คแลกเงินมาเรียบร้อยแล้ว ชายชรายืนนิ่งราวเหมือนคนกำลังใช้ความคิด

พ่อ! ไปถอนเงินสิ เสร็จแล้วเดี๋ยวลูกจะไปส่ง”


ทั้งทำเรื่องถอนเงินทั้งคิดไปต่างๆ นานา ‘แล้วมันจะไปส่งเรายัง ในเมื่อเราเองก็ขี่รถจักรยานยนต์มา’ ชายชราครุ่นคิดไปด้วยขณะทำเรื่องถอนเงิน พอถอนเงินเสร็จก็เป็นอันว่าเวลาทำการหมดลงพอดี ชายชรากลับออกมายืนนิ่งอยู่ขอบประตูพร้อมกับเงินสามล้านกว่ากีบ ชายชรายังคงคิดกังวลถึงเรื่องเงินของตัวเอง ถ้าขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านพร้อมกับการแบกถุงเงินใบใหญ่อย่างนี้มันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า


ในขณะที่ชายชรากำลังคาราคาซังกับความคิดอยู่นั้นก็มีเสียงดังมาจากข้างหลัง

ไป! เดี๋ยวลูกจะไปส่ง”

เมื่อถูกชวนกลับบ้าน ความคิดต่างๆ ก็ถาโถมเข้ามา ถึงแม้นว่าชายชราจะไม่ได้ฟังวิทยุหรือดูโทรทัศน์ และอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ แต่ชายชราก็รู้ข่าวจากชาวบ้าน ชาวเมืองเกี่ยวกับคนถูกหลอกลวง


ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเรียงหน้ากันเข้ามาในจิตใต้สำนึกของชายชรา ภาพของชายชราคนหนึ่งถือถุงเงินออกจากธนาคารก็มีคนเดินเข้ามาอาสาไปส่งถึงบ้าน

นั่นรถของลูก” ชายคนนั้นชี้นิ้วไปที่รถกระบะสี่ประตูแล้วพูดต่อ “ไปรอลูกอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวลูกไปซื้อของก่อน”

แล้วชายวัยกลางคนคนนั้นก็หายไป ราว ๒๐ นาที จากนั้นเขาก็กลับมาหาชายชราที่รออยู่รถด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน

ยังไม่ไปหรือลูก” ชายชราร้องถาม

ยังเหลือนิดหนึ่ง...” เขาอึ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วกลับมาพูดกับชายชรา “ลูกกำลังจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ แต่เงินลูกมีไม่พอหนึ่งล้าน ลูกยืมพ่อก่อนได้ไหม ตอนไปส่งพ่อเฒ่าลูกจะแวะเอาคืนให้”


ชายชราตกลงให้เงินชายคนนั้นไปด้วยความสัตย์ซื่อ พอได้เงินล้านกีบแล้ว เขาก็หายเข้าไปในย่านชุมชน  ชายชรารออยู่ที่รถด้วยหัวใจร้อนรน เพราะชายคนนั้นหายไปนานกว่าที่พูดกันไว้ ตอนนี้ก็ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว  การรอคอยเป็นไปอย่างนั้นจนถึงเที่ยงวัน  แต่ชายชราก็ไม่เห็นวี่แววว่าชายคนนั้นจะกลับมา


เลยเที่ยงวันไปไม่มากก็มีสองสามีภรรยาเดินเข้ามาที่รถแล้วเอ่ยถามชายชราว่า

พ่อเฒ่านั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”

พ่อมานั่งรอคนที่บอกว่าจะไปส่งพ่อที่บ้าน!”

พ่อเฒ่าเอ้ย! รถคันนี้เป็นของลูกเอง”

อ้าว ก็ชายหนุ่มคนนั้นบอกว่ารถคันนี้เป็นรถของเขานะ เขาบอกให้พ่อรออยู่ที่นี้สักแป๊บ เขาบอกจะไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ เงินเขาไม่พอก็ยังมายืมจากพ่อตั้งล้านกีบ”


สองสามีภรรยาต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ และเข้าใจเรื่องราวต่างๆ  จึงหันหน้ากลับมาคุยกับชายชรา

พ่อเฒ่าเอ้ย! พ่อเฒ่าโดนคนไม่ดีหลอกลวงแล้วละ นี่เป็นรถของลูก แล้วร้านนี้ก็เป็นร้านของลูกเอง”

โอ้! ถ้าอย่างนั้นลูกจะให้พ่อทำอย่างไร มันเอาเงินพ่อไปเป็นล้าน จะทำอย่างไรดีพ่อถึงจะได้กลับบ้าน” ชายชราพูดด้วยน้ำตานองหน้า

พ่อเฒ่าจะให้พวกลูกช่วยยังไงบ้าง”

พ่อไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเที่ยงแล้ว ข้าวก็ยังไม่ได้กิน เงินก็ไม่มีแม้แต่กีบเดียว ไอ้ผีเวรนั้นเอาไปจนหมด” ชายชราพูดขณะเสียงสะอื้นค่อยผ่อนเบาลง เพราะเริ่มอายคนอื่น สองสามีภรรยามองหน้ากันแล้วจึงพูดกับชายชราว่า

 “เอาอย่างนี้แล้วกันพ่อเฒ่า ลูกไม่รู้จะช่วยพ่อยังไง ลูกเลี้ยงข้าวพ่อเฒ่าแล้วลูกจะเอาเงินให้เป็นค่ารถเมล์กลับบ้าน”

เหตุการณ์อย่างนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพายุร้ายที่พัดกระหน่ำชีวิตบั้นปลายของชายชราจนต้องเก็บงำความเจ็บปวดนี้ไว้


เหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่บันทึกความเจ็บช้ำให้คนหาเช้ากินค่ำต้องทนทรมานตรากตรำลำบากคือ  เมื่อเดือนก่อนคนขายบุ้งกี๋ไปหาปี๊บมาตัดทำบุ้งกี๋แล้วหาบลัดเลาะไปตามถนน เกือบเที่ยงแล้วเขาเพิ่งขายได้ ๓ อันได้เงิน ๑๒
,๐๐๐ กีบ พอดีมีรถกระบะ ๔ ประตูคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดอยู่ด้านหน้าแล้วร้องเรียก

บุ้งกี๋อันเท่าไหร่”

อันหนึ่ง ๔,๐๐๐ กีบ เหลือ ๕ อันสุดท้ายแล้ว”

เหมาหมดทั้ง ๕ อันนั่นแหละ ขึ้นรถไปเอาเงินที่บ้านได้ไหม เดี๋ยวจะกลับมาส่ง”

แล้วคนขายบุ่งกี๋ก็ขึ้นรถกระบะคันนั้นไป


พอขึ้นรถได้นาทีกว่า เขาก็รู้สึกเวียนศรีษะจนเผลอหลับไป พอรถผ่านแยกไฟแดงตลาดหนองด้วงเก่าไปได้ไกลพอสมควร เจ้าของรถกระบะก็จอดรถแล้วชี้ออกไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ริมถนน

เข้าไปเอาเงินในบ้านหลังนั้นแล้วถือบุ้งกี๋ไปด้วย” คนขายบุ้งกี๋ก็หาบบุ้งกี๋เดินเข้าไปทางประตูบ้าน แล้วยื่นบุ้งกี๋ให้กับเจ้าของบ้าน

คนบนรถให้เอามาส่งให้ แต่ยังไม่ได้จ่ายเงิน”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ คนขายบุ้งกี๋ก็ต้องเดินคอตกออกมา เพราะได้รับการปฏิเสธในการซื้อขาย ในขณะที่เขากลับออกมาถึงริมถนนก็ต้องตกใจจนเข่าอ่อนหมดเรี่ยวแรง เพราะแหวนทองหนักสองสลึงที่เขาซื้อมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานได้หายไปจากนิ้วโดยที่เขาเองไม่รู้ตัว


หลายต่อหลายเหตุการณ์ล้วนสะท้อนเข้ามาในห้วงคำนึงของชายชรา  ชายชรามึนงง เพราะเรื่องที่คาดว่าจะไม่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นได้ ไม่รู้ว่าคุณธรรมหายไปหมดแล้วแต่สิ่งที่ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่ก็เพียงวิญญาณร้ายในคราบของคน

พ่อเฒ่าไปกันเถอะ เดี๋ยวลูกจะไปส่ง”


ชายชราสะดุ้งตื่นจากความคิดทั้งหลายเหล่านั้น ทั้งเหลียวกลับไปมองชายแปลกหน้าคนนั้นคล้ายกับว่าใบหน้าของเขาใหญ่ขึ้น และใหญ่ขึ้น ลูกตาหลุดออกมานอกเบ้าตา ลิ้นพ้นริมฝีปากลงมาเกือบถึงพื้นดิน ผู้คนรายรอบเขาก็เป็นดุจเดียวกัน  ชายชรารีบเอามือลูบหน้าสองสามครั้งจึงมองกลับไปแล้วตอบว่า

ไม่เป็นไรหรอก! พ่อกลับเองได้ ถ้ามีเวลาก็ไปเยี่ยมพ่อบ้าง พ่อจำไม่ได้จริงๆ”

 

 

บล็อกของ แสงพูไช อินทะวีคำ

แสงพูไช อินทะวีคำ
เศษขี้ตะกอนจากแสงพระอาทิตย์เป็นสีสนิมเหล็ก เรี่มหยอดเป็นจุดเล็กจุดใหญ่ตามหุบเขาด้านทิศตะวันตก มองดูไกลๆโน้นเหมือนกับนางระบำในเทพนิยายของชาวตะวันตก เสียงสะอื้น และเสียงก่นด่าราวกับโกรธเกลียดตัวเองมานับพันปีของผู้หญิงคนหนึ่งดังลอดออกมาจากพุ่มไม้ท้ายวัดด้านทิศตะวันออกให้ได้ยิน “เอื้อยขอโทษ เอื้อยบ่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแนวนั้น! บ่แม่นเอื้อยบ่อยากให้น้องเป็นแนวนั้น! เอื้อยบ่ได้ต้องการให้น้องมาตายจากเอื้อยไป น้องฮู้บ่?” ฟังจากเสียงร้องไห้แบบนี้ก็คงพอเดาได้ว่าผู้ตายต้องเป็นญาติใกล้ชิดกับเจ้าของเสียงร้องไห้นั้น เธอร้องไห้โหยหวนเหมือนกับว่าเธอได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งผิดพลาดอย่างร้ายแรงไว้กับผู้ตาย…
แสงพูไช อินทะวีคำ
  มองฟากฟ้า นพาแจ่ม กระจ่าง ทางเบื้องบนเหมือนดั่งคน พ้นเคราะช้ำ ในกรรมเก่าพ้นจากทุกข์ พ้นจากเวร พ้นจากความเหงาทำให้เรา และท่าน เบีกบานใจ วันนี้แจ่ม วันหน้าหมอง ครองคู่กันผ่านคืนวัน ที่เศร้าหมอง แล้วสุขใจสลับเปรียน หมูนเวียน เช่นนี้ไปพอทนได้ เพราะคู่กัน ดังฉันและเธอ แต่ฟ้าแจ่ม เพียงหน้อยนิด ซิคิดมากทนลำบาก เพราะฟ้าครื้ม กระหื่มฝนขู่คำราม แผดเสียง อยู่เบื้องบนทำเอาคน ใต้ล้า หน้าเศร้าหมอง หลายคนแล ดูฟ้า นพาสลับนอนนั่งนับ เดือนปี ให้เปรียนผลเปรียนจากฟ้า คะนองกระหื่ม อยู่เบื้องบนให้เป็นผล งอกงาม ตามกฎเกณท์ วันใดหนอ ฟากฟ้า จะสดใสพอให้มวล พืชไม้ ได้เกีดผลเกีดไปตาม…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ตะวันรอน ย่อนแสงริมฝั่งของ (โขง)สายตาเธอเหม่อมองอยู่รำไรมองฟากฟ้าที่ไกลแสนไกลเธอร้องไห้โทมนัสโศกระทมมีใครรู้ บ้างหรือเปล่า กันมั้ยหนอ?ใครผู้ก่อ สร้างกรรม ทำเธอหมองเสียงร้องไห้ เธอนั้น น่าขนพองดุดดังเธอ ร่ำร้อง โศกาดูรสายตาเธอ เอ๋ยกล่าว เมื่อเราพบว่าก่อนนี้ เธอคบ กับคนพาลเขาสัญญา กับเธอ ไม่ระรานไม่มีวัน ทำให้เธอ กล้ำกลืนทนความเป็นจริง กับสัญญา ที่มีนั้นไม่สัมพันธ์ มันต่างมุม ต่างภาษาต่างความคิด ต่างกระทำ ต่างเวลาเพราะสัญญา ภาษาคน บนใจมารเธอมายืน ร่ำร้อง บนริมฝั่งเผื่อความหวัง ให้นาคา ได้รับรู้บ่นเจ้ากรรม นายเวร ให้ช่วยกู้ให้รับรู้ สิทธิเธอ ถูกรุกรานใครจะให้ ความเป็นธรรม เธอบ้างหนอพอช่วยก่อ…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ให้สัญญาว่าจะทำทุกอย่างที่ดีให้สัญญาว่าจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีให้สัญญาว่าจะไม่บิดเบี้ยวความจริงแต่แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ใจเขาอยากทำแล้วจะทำอย่างไร?บอกกับประชาชนว่าเพื่อประชาชีบอกกับประชาชนว่าเพื่อความอยู่ดีกินดีบอกประชาชนว่าเพื่อชาติย่อมต้องพลีชีพแล้วในที่สุดก็กดขี่ประชาชีและประชาชนดั่งสำนวนกวีลาว             กล่าวอ้างแปลกใจคือเพี่นเว้า         เฒ่าแก่โบรานจาเป็นสัตว์สาคือควาย        บ่ก้มหัวกินหญ้าเป็นปลาบ่อลอยลื่น        …
แสงพูไช อินทะวีคำ
รักเผ่าพันธุ์ รักเพื่อนผอง ต้องรักป่ารักอาป้า พนาไพรเหมือนหัวใจตนรักพี่น้องทุกแห่งหน บนด่านด้าวประคองเอาพนาไพร ไม่ทำลายรักแม่น้ำ แมกไม้และเขาเขียวยามท่องเที่ยว บนภูเขาอย่าละเลยที้งของเสียให้รกร้างดั่งที่เคยความสวยงามก่อนนี้เอ๋ย ให้เสื่อมโทรมให้รักป่าเท่าชีวิต คิดให้ใกลบ่อนเรไรร่ำร้อง พงพนาถิ่นภูเขาเลากา และสัตว์ป่าบนผืนแผนสนธยา น่าอยู่กินหน้าที่เราทุกเผ่าพันธุ์ขันอาสาป้องผืนป่าให้พ้นภัยอันตรายทุกผืนที่ในแดนลาวมิวอดวายคนและป่าอยู่ร่วมกันไป นานเท่านานหากคนเรารักป่าอย่างจริงจังแม้กระทั้งพลีชีพชีวาวายเพื่อผืนดินและผืนป่าคู่คนไปแม้ตัวตาย ขอผืนป่าและสายน้ำค้ำจุนโลกดงดานบ่อนเรไรร่ำร้อง…
แสงพูไช อินทะวีคำ
เรื่องสั้นเรื่องนี้ ผมเขียนขื้นเมื่อปี คศ. ๑๙๙๕ ในขณะที่ผมเดินทางไปรอบๆ เมืองปากเช แขวงจำปาสัก เป็นระยะแห่งการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ ลงพิมพ์ที่วารสารวัณนศิล เมื่อปี คศ. ๑๙๙๕ และลงพิมพ์ที่หนังสือพิมพ์เวียงจันท์ใหม่เมื่อปี คศ. ๒๐๐๐ แปลโดย ทองคร้าม ทองขาว เรื่องสั้นเรื่องนี้จะรวมเล่มเรื่องสั้นที่มีภาษาไทย ลาว และภาษาอังกฤษด้วย โดย Mekong Post
แสงพูไช อินทะวีคำ
แรกๆ ผมว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่อง ICT camp ต่อ แต่เมื่อตอนค่ำของวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง เป็นตอนจบของเรื่อง “เพลงดินกลิ่นดาว” ละครโทรทัศน์ช่อง ๗ ทำให้ผมเปลี่ยนใจ หันมาเขียนเรื่องนี้จนได้ กรณีที่ผมนำเรื่องนี้ขื้นมาพูดไม่ใช่เป็นทัศนะของวิชาการ แต่เป็นทัศนะส่วนตัวมากกว่า
แสงพูไช อินทะวีคำ
ขณะที่เดินทางไปพัทยา ผมมองดูกระเป๋าเดินทางของตัวเองด้วยความกังวลใจอยู่ลึกๆ “ขออย่าได้เป็นอะไรเลย ประเดี๋ยวจะขายขี้หน้าหมด” “อ้ายกลัวกระเป๋าเดินทางแตกใช่มั้ย?” น้องคนหนึ่งถาม“ก็....กลัวนะ....”“แต่ดูแล้วน่าจะไม่เป็นไรนี่”“ใช่.....”
แสงพูไช อินทะวีคำ
ถือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่มากพอสมควร แต่ละคนชอบส่งข่าวให้กันและกันบ่อยๆ เวลาที่มีเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจ เรื่องไอชีที ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เพื่อนส่งข่าวให้รู้ว่า “....คนจากลุ่มน้ำโขงจะมารวมตัวกันที่ ICT Camp มากมาย...เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตาจากประเทศพม่า กัมพูชา เวียดนาม ไทย ลาว .....” ทุกคนดูตื่นเต้นเอามากๆ เมื่อมีคำบอกเช่นนั้นจากเพื่อนๆ ผมจึงตกลงใจว่า “ไป” อีกประการหนึ่งก็คือ มีน้องๆ จากองค์กรเดียวกันไปร่วมด้วยเช่นกัน เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ะในโปรแกรมบอกว่ามีทั้งเรื่อง ไอที ข้อมูลข่าวสาร และเรื่อง Advocacy งานนี้จัดขื้นที่ Learning Resort…
แสงพูไช อินทะวีคำ
ข่าวการสั่งห้ามชาวบ้านที่หลวงพระบางทำกิจการให้ชาวต่างประเทศหรือนักท่องเที่ยวเช่าจักรยานและจักรยานยนต์ ได้ส่งผลลบมาสู่การท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง หนังสือพิมพ์บางฉบับในไทยได้ลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากกลัวว่าอาจทำให้ความน่าสนใจ น่าเชื่อถือที่จะมาเยือนหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกลดลงไป การสั่งห้ามไม่ให้ชาวบ้านทำเช่นนั้น เป็นเพราะอะไร หลายคนเข้าใจว่า จากการหยุดไม่ให้ชาวบ้านทำ แต่มอบให้บริษัทเป็นคนทำ อาจทำให้ชาวบ้านสูญเสียรายได้ แล้วกลายเป็นการส่งเสริมนายทุนเพียงฝ่ายเดียว ชื่งไม่เป็นธรรมกับชาวบ้าน ผู้นำเที่ยวท่านหนึ่งบอกผมว่า “การห้ามชาวบ้านทำ เพราะไม่มีประกันความปลอดภัย…
แสงพูไช อินทะวีคำ
วันที่ผมรู้สึกอบอุ่นมาก ก็คงหนีไม่พ้นงานพบปะของคอลัมนิสต์ประชาไท.....ที่เชียงใหม่เพราะผมไม่ได้นึกว่าจะมีโอกาสมาเจอเพื่อนสหาย นักเขียนไทยมากหลายเอาขนาดนี้ ส่วนมากก็คงเป็นคนเชียงใหม่....รอยยี้ม...เสียงหัวเราะ....ไม่ได้ต่างกันแม๋นิดเดียว....อาจจะต่างภาษา...แต่เรื่องนี้ก็ไม่แปลก เพราะเผ่าพันธุ์ต่างๆ ล้วนมีภาษาที่เป็นตัวของตัวเอง....สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจที่มีต่อกัน และเป็นสิ่งนี้เองที่บ่งบอกถึง “มิตรภาพ”  ซึ่งสื่อออกมาได้จากภาพที่ผมเก็บไว้
แสงพูไช อินทะวีคำ
   โอน้อ เจ้าผู้พ้วดอกอ้ม ผมพี่ดำนิน เฮียมเอยผมดำงามพอดูช่างตื่มสีแดงเข้มดำแดงคนเขาเอี้นสองสีแตกต่างสังมาอยู่ฮ่วมเค้าเกสาเจ้าผู้เดียวน้องบ่ออยากเว้าเลี้ยวเว้าล่ายความจริงมีบ่อนอีงจริงมาจา ว่ากันตามเรื่องย่อนมันเคืองคาข้อง หม้องใจน้องอุ่นความคิดเป็นว่าวุ้น นำอ้ายบ่าวพี่ชายน้องนี้หมายอยู่ซ้อนเฮียงฮ่วมชายเดียว อ้ายเอยคนอื่นนางบ่อเหลียวม่ายตานางซ้ำกรรมหยังนางบ่อฮู้ มาเห็นชายจริงหวังฮ่วมหวังอยากมาฮ่วมซ้อน นำอ้ายแต่ผู้เดียวแต่ว่าอ้ายพัดเบี้ยว แปล เปรียนสัญญาว่าสิแปลงผมยอย ย่อนลงทางหน้าชายสิเอามันถี้ม ให้เป็นสีดำธรรมชาติบาดมาเห็นเทื่อนี้…