Skip to main content
แมนยูฯ คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ศูนย์ฯ คือ ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านปากมูน

ฉันย้ายจากบ้านเช่าในเมืองโขงเจียมมาอยู่บ้านดินของศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านปากมูน ได้ ๑ เดือนเต็มๆ แล้ว


และนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ภายในบ้านที่มีโทรทัศน์ใส่กล่องกระดาษตั้งอยู่ มันก็มีหน้าที่เป็นพนักพิงยามเขียนหนังสือ (กับโต๊ะญี่ปุ่น) ให้เท่านั้น ฉันขอความร่วมมือจากคนร่วมชายคาบ้านว่าหากอยากดูข่าวสารจากโทรทัศน์ก็ช่วยออกแรงเดินสักร้อยกว่าเมตรไปดูในห้องทำงานของศูนย์ฯ เถอะนะ ซึ่งที่นั่นจะมีน้องชายอ้วนดูอยู่เป็นประจำ (และนอนที่นี่) คนอาศัยชายคาเดียวกันก็นับว่ามีน้ำใจยิ่ง ให้ความร่วมมือกับคนเรื่องมากอย่างฉันโดยดี


นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่า หากตัวเองไม่ได้ดูโทรทัศน์ หรือแม้ต้องดูทว่าไม่ได้เป็นรายการที่อยากดู เสียงในโทรทัศน์นั้นส่วนใหญ่มักจะมีคลื่นเสียงที่ทำให้รู้สึกไม่สบายเลย มันเป็นเสียงสูงๆ แหลมๆ อย่าว่าแต่จะเขียนหนังสือได้เลย นั่งเฉยๆ ก็รู้สึกว่าถูกรบกวนอย่างไรบอกไม่ถูกแล้ว แต่ช่วงที่อยู่บ้านเช่า ฉันเลี่ยงภาวะรายการที่ไม่อยากดูไม่ได้ เพราะต้องเคารพสิทธิ์ของคนที่อาศัยอยู่ด้วยกันด้วย เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ทำงานก็ไม่ได้ นั่งเฉยก็ไม่รู้จะทำอะไร ฉันเลยลองมาเป็นคนหัดจับรีโมทโทรทัศน์ดูบ้าง ส่วนมากรายการที่ฉันอยากดูก็จะเป็นข่าวสาร


แรกๆ ดูก็รู้สึกว่า เออ ได้ความรู้และทันข่าวสารดีเหมือนกันแฮะ แต่พอดูนานไปๆ ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าข่าวมันช่างวนไปวนมา และไม่รู้ทำไมสมัยนี้ชั่วโมงข่าวสารมันเยอะอย่างนี้ ดูเช้าจรดดึกข่าวก็แทบไม่ได้แตกต่างกัน ยิ่งตอนม็อบเสื้อเหลืองเสื้อแดงกำลังร้อนระอุ ข่าวแต่ละช่องนำเสนอคล้ายๆ กัน ไปหมด ทั้งที่มันน่าจะแตกประเด็นได้มากกว่านั้น นำเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างได้มากกว่านั้น รู้ๆ กันอยู่ว่าสังคมมีความคิดเห็นที่หลากหลายมาก แม้ขัดแย้งแต่ก็มีประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยอย่างมากมายเช่นกัน แต่สิ่งเหล่านี้แทบไม่ได้นำเสนอ


บางทีฉันอดคิดถึงสำนวนอหังการ์ที่นักเขียนรุ่นก่อนเคยบอกว่า "นักเขียนที่ดีต้องชี้นำสังคม" ไม่ได้ แม้ไม่เคยคิดเห็นด้วยกับสำนวนนี้ แต่บางสถานการณ์ก็คิดว่าเราจำเป็นต้องทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับสื่อมวลชน ที่บางเวลาเราจำเป็นต้องวิ่งให้ทันสถานการณ์สักก้าวสองก้าว หรืออยู่เหนือมันสักหน่อย มองให้ออกและคิดว่าจะนำเสนออย่างไรเพื่อให้กระแสประเทศเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องดีงาม การนำเสนอความร้อนระอุของการเมืองตอนนั้นเพียงอย่างเดียวมันไม่พอเสียแล้ว


ในชั่วโมงที่สังคมต้องการความลุ่มลึกแต่ข่าวสารก็เสนอได้เพียงฉาบฉวย เปิดช่องไหนก็รายงานข่าวเหมือนกัน จนดูนานเข้าๆ ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคงจะใช้เวลากับการดูโทรทัศน์มากไป จึงเริ่มดูน้อยลง เมื่อมีโอกาสย้ายบ้านและมีทางเลือกในการดูโทรทัศน์ให้กับคนข้างเคียง ชีวิตนักเขียนของฉันก็เหมือนกับสวรรค์เปิดอีกครั้ง


ความเงียบสงบสงัด ธรรมชาติอันรื่นรมย์ และเสียงเพลงที่ฉันเลือกที่จะฟังเอง กล่อมเกลาทั้งจิตใจและวิญญาณ ฉันเหมาเวลาทั้งวันทั้งคืนทำงานอยู่ในบ้านดินอย่างกับคนหิวกระหาย เวลาผ่านวันผ่านคืนดังกับชั่ววินาที และผ่านเดือนไปอย่างไม่รู้สึกตัว


"พี่ คืนนี้แมนยูฯ เตะนะพี่ ช่องเจ็ดถ่ายทอดสด"

อ้วนเดินมาบอกถึงบ้าน

อ้วนเชียร์เชลซี (ที่ตอนนี้บิ๊กฟิลเด้งดึ๋งไปแล้ว ส่วน กุดส์ ฮิดดิ้ง ซึ่งมากุมบังเหียนแทนชั่วคราวก็ออกมาประกาศว่าจะไม่ยอมให้แมนยูฯ กระชากแชมป์ไปง่ายๆ)


แรกๆ ของฤดูกาลการแข่งขันนั้นอ้วนหน้าบานมาก (ปกติก็บานอยู่แล้วยิ่งบานมากกว่าเดิม) เชลซีโชว์ฟอร์มดีเหลือหลายขึ้นนำเป็นจ่าฝูง ขณะที่แมนยูฯ อยู่ในอันดับที่ ๑๕ แฟนแมนยูฯ แบบคนเพิ่งเป็นมาสามสี่ปีนี้ก็ใจแป้วเหมือนกัน


แต่ตอนนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปแล้วน้องรัก แมนยูฯ ไม่ใช่เพียงแค่ขึ้นอันดับหนึ่งเท่านั้น แต่มีเป้าหมายจะกวาด ๕ แชมป์เสียด้วย (อะไรจะขี้โลภปานนั้นหนอ คนเชียร์ยังอดหมั่นไส้ไม่ได้เลย)


แชมป์แรก ถ้วยสโมสรโลกที่ญี่ปุ่นได้ไปแล้ว คืนนี้จะเป็นการชิงถ้วยที่สอง คือ คาร์ลิ่ง คัพ กับ สเปอร์ส

ฉันวางมือจากแป้นคอมพ์หันมามองอ้วน

"จริงง่ะ!"

อ้วนบอกเวลาแข่งขัน ไม่ดึกซะด้วย สี่ทุ่มกำลังดี

"เดี๋ยวพี่จะรีบเขียนงานให้เสร็จ สามทุ่มกว่าๆ จะขึ้นไป" ฉันบอก

ช่วงนี้อากาศอบอ้าว แต่ข้อดีของมันคือ ยามอาบน้ำจะเป็นช่วงเวลาที่วิเศษมาก ฉันอาบน้ำเสร็จ ร่างกายปลอดโปร่งเบาสบาย ลมพัดเหนือพื้นดินราบโล่งของอีสานใต้มีกลิ่นหอมของฟางหญ้าหน้าแล้ง


ฉันถือไฟฉายเดินกระเผลกๆ (ต้นขาเคล็ด) ขึ้นไปยังสำนักงาน อดรู้สึกไม่ได้ว่ามันช่างคล้ายความรู้สึกในวัยเด็กที่รู้ว่าหลังกินข้าวยามค่ำแล้วคืนนี้เราจะไปดูหนังกลางแปลงกัน จึงขัดสีฉวีวรรณเสียนวลผ่องและออกเดินด้วยหัวใจเป็นสุขไม่ได้


บ้านนอกสมัยก่อนมืดอย่างนี้ เราเดินด้วยกันเป็นกลุ่มและถือไฟฉายส่องทางด้วยกัน แต่ที่นี่ฉันเดินถือไฟฉายคนเดียว เพราะคนอื่นเขาชินทางกันแล้ว


มันเป็นการดูโทรทัศน์ครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน


นานๆ ดูทีมันก็ดีอย่างนี้ ดูข่าวก็ตั้งใจดูเพราะไม่ได้ดูมานาน เห็นโฆษณาก็ไม่เปลี่ยนช่องหนี เพราะยังไม่เคยเห็น พอรายการถ่ายทอดสดฟุตบอลมาถึงยิ่งตั้งใจดู

มันช่างมีความสุขและน่าลุ้นจริงๆ

อ้วนหลับไปตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก


คืนนี้แมนยูฯ เล่นไม่ค่อยดีนัก ครึ่งหนึ่งของทีมเป็นตัวสำรองลง แต่ว่าก็เห็นหัวจิตหัวใจแบบผีๆ ที่ไม่เคยยอมแพ้หรือท้อแท้ เล่นกันแบบถวายชีวิตทั้งสองทีมจนต้องต่อเวลาถึง ๑๒๐ นาทีเต็ม จนทั้งผู้เล่นและกรรมการผู้กำกับเส้นเป็นตะคริวกันทิวแถว


สุดท้ายเมื่อดวลจุดโทษ แมนยูฯ ซึ่งใจหินและมีความฮึกเหิมกว่าก็กำชัยชนะมาไว้ในมือ

แน่นอน คืนนี้ฉันถือไฟฉายเดินกระเผลกๆ กลับบ้านด้วยรอยยิ้ม หัวใจพองโต

ช่างเป็นการดูหนังกลางแปลงที่แสนสุขอะไรอย่างนี้นะ

ฉันชอบโกลของแมนยูฯ คนนี้เหลือเกิน - เบน ฟอสเตอร์

  

 

 อายุแค่ยี่สิบห้าปี ปกติเป็นตัวสำรองอันดับสาม แต่คราวนี้ท่านเซอร์ เฟอร์กูสัน ให้เขาขึ้นมาเป็นตัวจริงและยืนอยู่ตลอดเกม โอกาสบางอย่างคนเราได้รับมาไม่บ่อยนัก มันไม่เปิดโอกาสให้เราพลาดได้ง่ายๆ เพราะหากพลาด บางครั้งก็ยากจะเรียกกลับคืน ดังนั้น เมื่อได้มาแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งเบน ฟอสเตอร์ ก็คงคิดเช่นนี้กระมัง เพราะในวันนี้เขาทำได้ดีจนโดดเด่นเข้าตา แฟนแมนยูฯ แทบจะกราบให้ เพราะไม่อย่างนั้นก็คงเป็นประตูไปสักสองประตูไปแล้ว


ยิ่งได้เห็นช่วงดวลจุดโทษ ขณะที่เขาวิ่งลงสนามเพื่อป้องกันลูกเตะจากนักเตะคนแรกของสเปอร์ส เราก็รู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นและพลังจากดวงตา เบนหันไปทางแฟนบอลและชูกำปั้นสะบัดออกไปหนักๆ แฟนบอลปรบมือให้ เขาก็ปรบมือด้วยทั้งเรียกขวัญให้แฟนบอลและตัวเอง ดวงตาของเขามันช่างเป็นสิ่งที่--- ที่ฉันอดถามตัวเองเอาหลายๆ ครั้งไม่ได้ว่าเราจะสามารถมีดวงตาแบบนี้ได้สักกี่ครั้งในชีวิต

นี่กระมังที่เป็นเสน่ห์ของกีฬาที่ทำให้ฉันหลงใหลการเล่นกีฬา ดูกีฬา มาตั้งแต่เด็กจวบจนถึงบัดนี้


กีฬาทำให้เห็นพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ความมุ่งมั่น การต่อสู้ ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ ความมีน้ำใจนักกีฬา การให้ การเสียสละ ทุกครั้งที่ดูมันจะสะท้อนอะไรหลายๆ อย่างให้ฉันได้คิดและเก็บมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตเสมอ


ฉันอยากได้ดวงตาอย่างเบน ฟอสเตอร์ มาไว้ในชีวิตให้นานแสนนานเหลือเกิน ดวงตาที่จะทำให้เรารู้ว่าชีวิตมันช่างมีพลังและคุณทำได้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้


ต่อให้จะอายุเพิ่มขึ้นอีกสักมากมายเท่าไหร่ ฉันก็ปรารถนาเหลือเกินว่า ดวงตาเช่นนี้จะยังคงอยู่กับฉัน ซึ่งหากต้องขอพรประการเดียวจากพระเจ้าได้ ฉันก็อยากขอพรเช่นนี้ ขอให้ตัวเองจงเป็นคนที่มีพลังในชีวิตและเชื่อมั่นเช่นนี้ตลอดกาล


รุ่งเช้า เมื่อเปิดอินเตอร์เน็ตอ่านข่าวจากสยามสปอร์ตฉันก็เห็นข่าวนี้

เบน ฟอสเตอร์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็น man of the macth สำหรับการแข่งขันนัดเมื่อคืน

ซึ่งฉันหวังว่าโอกาสที่เขาได้รับและแสดงให้โลกเห็นครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญของชีวิตคนหนุ่มวัยยี่สิบห้าต่อไป

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
นั่งดูบอลคู่นี้อย่างไม่ตั้งใจนัก เผอิญว่ากดรีโมทโทรทัศน์มาเจอเข้าพอดี เลยคิดว่าอยากจะเชียร์บอลไทยสักหน่อย ดูเวลาการแข่งขันตอนนั้นก็เข้าสู่นาทีที่เจ็ดสิบกว่าแล้ว ไทยนำอยู่ 2-1 ดูไปได้ไม่ทันไร ก็มาถึงจังหวะการกระโดดแย่งบอลกันกลางอากาศ นักเตะไทยเป็นฝ่ายกระโดดได้สูงกว่าและโดนลูกบอล แต่เมื่อเท้าแตะถึงพื้น นักเตะไทยวิ่งต่อ ส่วนนักเตะเลบานอนลงไปนอนกับพื้น เอากุมหัว ดิ้นอย่างเจ็บปวดสักพักเมื่อเขาลุกขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือเลือดอาบหน้าและสองมือที่กุมเอาไว้ เลือดออกเยอะมากขนาดที่เห็นแล้วต้องเบะปาก ขณะที่เพื่อนร่วมทีมวิ่งมาดู นักเตะไทยเดินยิ้ม ยักไหล่ แพทย์สนามก็มาช้าเหลือเกิน เกมรึ…
สร้อยแก้ว
หลังการจากไปของพี่ปุ๋ย (นันทโชติ ชัยรัตน์) วันหนึ่งของต้นฤดูหนาว พี่แป๊ะ ภรรยาพี่ปุ๋ยก็มีดำริจะปลูกบ้านเป็นของตัวเองเสียที โดยพี่แป๊ะได้ซื้อไม้จากบ้านเก่าหลังหนึ่งไว้ ก่อนการเริ่มต้นปลูกบ้าน พี่แป๊ะจึงต้องหาคนมารื้อเอาไม้จากบ้านเก่าก่อน ซึ่งก็ได้น้องนุ่งแรงดีจากลุ่มน้ำมูนและหนุ่มในเมืองอย่างเอก และผู้อาวุโสแต่หัวใจวัยรุ่นอย่างพ่อถาหนึ่งในแกนนำปากมูน แห่งบ้านนาหว้า มาช่วยกันคนละไม้ละมือ
สร้อยแก้ว
(ขอความกรุณาสวมเสื้อขาว, สีฟ้า หรือสีที่ดูเหมาะสม ยกเว้นอย่าสวมเสื้อสีเหลืองหรือสีแดง เพราะจะทำให้แตกสามัคคี) ข้อความในวงเล็บนี้ทำเอาฉันอมยิ้มจนเกือบเผลอหัวเราะนี่คือจดหมายเชิญเดินเทิดพระเกียรติของชมรมผู้สูงอายุตำบลหารแก้วที่ประธานชมรมถึงกับควบมอเตอร์ไซค์แถดๆ มาหาพ่อถึงบ้าน
สร้อยแก้ว
 ฉันมีโอกาสไปร่วมงานรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ ๑๐ ปีนี้ เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่า รางวัล มีความหมายอย่างไรต่อชีวิตคนบ้าง ลองเปิดพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถานดู เขาก็บอกว่ารางวัลคือ สิ่งของหรือเงินที่ได้มาจากความดี ความชอบ หรือความสามารถย้อนทบทวนตอนเด็กๆ รางวัลแรกของฉันมาจากการวิ่งได้ที่ ๓ จากการวิ่งแข่งกันสี่คน (เกือบไป!) โชคดีได้ขึ้นแท่นรับรางวัลกับเขา ยิ้มแก้มแทบปริ และเมื่อถึงบ้านก็รีบเอาสมุดดินสอมาให้พ่อกับแม่ดู
สร้อยแก้ว
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ภาพของเพื่อนสนิทคนหนึ่งในวันที่เข็นรถเด็กที่มีเด็กหญิงวัยแปดเดือนนั่งยิ้มแฉ่งเดินเล่นยามเย็นนอกเมืองก็โผล่ขึ้นมาในห้วงคำนึงในวันฝนตก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลยสักนิด เธอดูมีความสุขปลอดโปร่งใจดีเหลือเกิน เธอบอกฉันว่า แต่ก่อน เธอมองชีวิตแบบเอ็นจีโอ ใส่เสื้อผ้าฝ้าย ใช้ข้าวของอย่างประหยัด หน้าตาไม่แต่ง เธอเชื่อมั่นในวิธีคิดแบบนั้น ศรัทธาคนเหล่านั้น แต่วันเวลาก็ทำให้เธอเห็นว่าคนเหล่านั้นก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้ดีอย่างที่เรามอบความศรัทธาให้ เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงใช้ชีวิตตามแนวคิดอย่างนั้นได้อย่างเชื่อมั่นอยู่ตั้งหลายปี…
สร้อยแก้ว
สำหรับนักเขียน ยามคอมพิวเตอร์มีปัญหานับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เพราะแต่ละวันไม่ว่ายังไงก็ต้องได้ลูบๆ เคาะๆ วันละนิดละหน่อยจนเคยชิน ครั้นเมื่อมันเกิดปัญหาขลุกขลัก แม้จะรู้สึกเซ็งๆ แต่ก็ต้องทนหอบหิ้วมันไปหาช่าง – คนที่เราคิดว่าเขารู้ดีกว่าเราแต่การเลือกช่างก็เหมือนการเลือกหมอรักษาอาการป่วยของเรานั่นแหละ หากยามใดเราไปเจอหมอที่วินิจฉัยโรคเราผิด จากที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยแต่กลับบอกว่าเป็นโรคร้ายต้องผ่าตัดไปหลายยก เจ็บกาย เสียเวลา เสียเงิน เพื่อที่จะพบว่า ที่แท้เราไม่ได้เป็นอะไรเลย ความรู้สึกโกรธและไม่อาจทำใจยอมรับกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ…
สร้อยแก้ว
ชาวบ้านห้วยสะคามตื่นเต้น ใช้ไฟฟรี ประหยัดกันยกใหญ่! อยากให้พาดหัวข่าวแบบนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์บ้างจัง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กมากของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ขัดแย้งใหญ่หลวงของบ้านเมืองยามนี้ นโยบายอะไรๆ ของรัฐบาลก็ไม่ดีทั้งนั้น ในฐานะที่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมากเกี่ยวกับนโยบายประชานิยม แต่ว่าพอเข้าใจหัวจิตหัวใจของชาวบ้านตาดำๆ ซึ่งเวลาลงคะแนนเลือกตั้งเสียงของเขาก็มีค่าเท่ากับศาสตราจารย์หรือด๊อกเตอร์ในเมืองไทย เขาก็มองเห็นผลดีผลได้เท่าที่จับต้องได้ ไม่ต้องอ้างเอ่ยว่าเขาซื้อเสียงง่ายหรอก แต่เขาเห็นว่าเขาได้อะไรจากรัฐบาลชุดที่แล้ว (ยุคทักษิณ) เขาถึงเลือกและชอบ
สร้อยแก้ว
ภาพจาก http://www.blogth.com/blog/ddimg/uploadimg/20070514/093435918.jpgอาจไม่ต้องถึงขั้นเป็นคอบอล เป็นแค่ผู้นิยมกีฬาฟุตบอลก็คงต้องอยากดูเกมระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับเชลซีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมาว่าจะเป็นอย่างไร เปิดฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก เชลซีเดินหน้าชนะทุกนัดเก็บมาได้เก้าคะแนนเต็ม เป็นการออกสตาร์ทที่สวยงามและทั้งนักเตะทั้งแฟนบอลเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ขณะที่แชมป์เก่าอีกทั้งยังเป็นแชมป์ถ้วยฟุตบอลสโมสรยุโรปซะด้วย กลับเก็บมาได้เพียงสี่คะแนน แพ้บ้าง เสมอบ้าง จนแฟนๆ ชักใจคอไม่ดี แม้ฤดูกาลที่แล้วก็ออกสตาร์ทไม่ดีเหมือนกันแต่สุดท้ายก็ได้ถ้วย…
สร้อยแก้ว
โขงเจียมคือชื่ออำเภอหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นเมืองที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยามเพราะอยู่ทิศตะวันออกสุดของประเทศ และยังเป็นที่รู้จักอีกในฐานะที่มีแม่น้ำสายสำคัญของอีสานสองสายมาบรรจบคือแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขง จุดที่บรรจบกันนั้นเรียกกันอย่างไพเราะว่า แม่น้ำสองสี โขงสีขุ่น มูลสีคราม (แต่ตอนนี้ขุ่นทั้งคู่ หากอยากเห็นมูลสีครามน่าจะเป็นช่วงหน้าแล้ง) โขงเจียมมีฐานะเป็นอำเภอ แต่อำเภอนี้เล็กเหมือนหมู่บ้าน ค่ำมาราวสักสองทุ่มก็เงียบแล้ว บางบ้านเข้านอน บางบ้านอาจจะยังนั่งพูดคุยกันอยู่หน้าบ้าน แต่คุยกันอย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก สงบดีเหลือเกิน…
สร้อยแก้ว
ฤดูฝน นาพ่อสนเขียวไสวด้วยต้นข้าว ยามเช้าน้ำค้างชุ่มหญ้า ชุ่มพุ่มไม้ ครั้นเมื่อแสงแดดโผล่พ้นจากหมู่เมฆ ท้องนาสีเขียวยิ่งดูกระจ่างตา เหลียวมองรอบๆ แสนสบายตาสบายใจ เอ แล้วดอกอะไรกันหนอสีแดงขาว เป็นพุ่มไม้ใหญ่อยู่หน้าเถียงนาอีกแห่งนั่น ? เห็นแล้วก็อดคว้ากล้องเดินย่ำน้ำค้างบนคันนาไปหาดอกไม้นั้นไม่ได้ ไพจิตรเห็นก็วิ่งตามโดยทันใด เธอไม่ใส่รองเท้า ฉันบอกระวังหนาม ไพจิตรเงยหน้าขึ้นมองไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้ม เธอทำให้ฉันอดคิดถึงครั้งหนึ่งเมื่อเราไปเที่ยวช่องเม็ก ด่านชายแดนลาวด้วยกัน
สร้อยแก้ว
ฉันถ่ายรูปไพจิตรไว้หลายรูปทีเดียว จนอดไม่ได้ที่จะเขียนถึงเธออีกครั้ง ด้วยความที่เธอบริสุทธิ์เหลือเกิน บ้านของไพจิตรอยู่ในหมู่บ้าน แต่เธอและครอบครัวมักชอบไปนอนเถียงนาที่มีวัว ควาย หมู หมา ไก่ เป็นเพื่อน ในหมู่บ้าน บ้านเรือนมักจะปลูกติดๆ กัน อันเป็นธรรมดาของสังคมหมู่บ้าน ซึ่งสมัยก่อน บ้านเรือนอาจปลูกไม่ชิดกันมากขนาดนี้ แต่เมื่อลูกหลานสร้างครอบครัวกันขึ้นมาใหม่ เริ่มปลูกบ้านหลังใหม่เพิ่ม ลักษณะหมู่บ้านจึงดูหนาแน่นขึ้น ครอบครัวของพ่อสนซึ่งรักความสันโดษเลยพากันไปนอนเถียงนาที่แสนจะเงียบสงบ อากาศเย็นสบาย และฉันก็มักไปนอนที่นั่นด้วยบ่อยๆ
สร้อยแก้ว
ดาวใจและไพจิตร เป็นชื่อของเด็กหญิงสองพี่น้อง ลูกสาวแม่พร พ่อสน คนดูแลสวน-สถานที่ของศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน พ่อสนมีลูกทั้งหมดสิบคน ลูกชายสองคนก่อนหน้าดาวใจ ไพจิตร ชื่อไมโคร และ นูโว นัยว่าพ่อท่าจะชอบเสียงเพลงมากถึงตั้งชื่อลูกเป็นชื่อศิลปินนักร้อง ตอนนี้ลูกๆ ของพ่อสนที่ไม่ได้เอ่ยนามล้วนออกเรือน มีครอบครัว บ้างเสียชีวิต ลูกๆ ที่ยังอยู่กับพ่อสน แม่พร จึงมีสี่คนที่ว่า (ส่วนลูกชายอีกคนหนึ่งของพ่อสนที่เคยโด่งดังในม็อบปากมูนเมื่อหลายปีก่อน จนหนังสือพิมพ์หลายฉบับต่างเขียนถึงและลงบทสัมภาษณ์ คือดาวไฮปาร์คเด็กที่ชื่อ เปาโล ตอนนี้เปาโลโตเป็นหนุ่ม แต่งงานมีลูกแล้ว) ดาวใจกับไพจิตร เป็นเด็กหญิงที่ร่าเริง…