Skip to main content
แมนยูฯ คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ศูนย์ฯ คือ ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านปากมูน

ฉันย้ายจากบ้านเช่าในเมืองโขงเจียมมาอยู่บ้านดินของศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านปากมูน ได้ ๑ เดือนเต็มๆ แล้ว


และนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ภายในบ้านที่มีโทรทัศน์ใส่กล่องกระดาษตั้งอยู่ มันก็มีหน้าที่เป็นพนักพิงยามเขียนหนังสือ (กับโต๊ะญี่ปุ่น) ให้เท่านั้น ฉันขอความร่วมมือจากคนร่วมชายคาบ้านว่าหากอยากดูข่าวสารจากโทรทัศน์ก็ช่วยออกแรงเดินสักร้อยกว่าเมตรไปดูในห้องทำงานของศูนย์ฯ เถอะนะ ซึ่งที่นั่นจะมีน้องชายอ้วนดูอยู่เป็นประจำ (และนอนที่นี่) คนอาศัยชายคาเดียวกันก็นับว่ามีน้ำใจยิ่ง ให้ความร่วมมือกับคนเรื่องมากอย่างฉันโดยดี


นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่า หากตัวเองไม่ได้ดูโทรทัศน์ หรือแม้ต้องดูทว่าไม่ได้เป็นรายการที่อยากดู เสียงในโทรทัศน์นั้นส่วนใหญ่มักจะมีคลื่นเสียงที่ทำให้รู้สึกไม่สบายเลย มันเป็นเสียงสูงๆ แหลมๆ อย่าว่าแต่จะเขียนหนังสือได้เลย นั่งเฉยๆ ก็รู้สึกว่าถูกรบกวนอย่างไรบอกไม่ถูกแล้ว แต่ช่วงที่อยู่บ้านเช่า ฉันเลี่ยงภาวะรายการที่ไม่อยากดูไม่ได้ เพราะต้องเคารพสิทธิ์ของคนที่อาศัยอยู่ด้วยกันด้วย เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ทำงานก็ไม่ได้ นั่งเฉยก็ไม่รู้จะทำอะไร ฉันเลยลองมาเป็นคนหัดจับรีโมทโทรทัศน์ดูบ้าง ส่วนมากรายการที่ฉันอยากดูก็จะเป็นข่าวสาร


แรกๆ ดูก็รู้สึกว่า เออ ได้ความรู้และทันข่าวสารดีเหมือนกันแฮะ แต่พอดูนานไปๆ ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าข่าวมันช่างวนไปวนมา และไม่รู้ทำไมสมัยนี้ชั่วโมงข่าวสารมันเยอะอย่างนี้ ดูเช้าจรดดึกข่าวก็แทบไม่ได้แตกต่างกัน ยิ่งตอนม็อบเสื้อเหลืองเสื้อแดงกำลังร้อนระอุ ข่าวแต่ละช่องนำเสนอคล้ายๆ กัน ไปหมด ทั้งที่มันน่าจะแตกประเด็นได้มากกว่านั้น นำเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างได้มากกว่านั้น รู้ๆ กันอยู่ว่าสังคมมีความคิดเห็นที่หลากหลายมาก แม้ขัดแย้งแต่ก็มีประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยอย่างมากมายเช่นกัน แต่สิ่งเหล่านี้แทบไม่ได้นำเสนอ


บางทีฉันอดคิดถึงสำนวนอหังการ์ที่นักเขียนรุ่นก่อนเคยบอกว่า "นักเขียนที่ดีต้องชี้นำสังคม" ไม่ได้ แม้ไม่เคยคิดเห็นด้วยกับสำนวนนี้ แต่บางสถานการณ์ก็คิดว่าเราจำเป็นต้องทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับสื่อมวลชน ที่บางเวลาเราจำเป็นต้องวิ่งให้ทันสถานการณ์สักก้าวสองก้าว หรืออยู่เหนือมันสักหน่อย มองให้ออกและคิดว่าจะนำเสนออย่างไรเพื่อให้กระแสประเทศเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องดีงาม การนำเสนอความร้อนระอุของการเมืองตอนนั้นเพียงอย่างเดียวมันไม่พอเสียแล้ว


ในชั่วโมงที่สังคมต้องการความลุ่มลึกแต่ข่าวสารก็เสนอได้เพียงฉาบฉวย เปิดช่องไหนก็รายงานข่าวเหมือนกัน จนดูนานเข้าๆ ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคงจะใช้เวลากับการดูโทรทัศน์มากไป จึงเริ่มดูน้อยลง เมื่อมีโอกาสย้ายบ้านและมีทางเลือกในการดูโทรทัศน์ให้กับคนข้างเคียง ชีวิตนักเขียนของฉันก็เหมือนกับสวรรค์เปิดอีกครั้ง


ความเงียบสงบสงัด ธรรมชาติอันรื่นรมย์ และเสียงเพลงที่ฉันเลือกที่จะฟังเอง กล่อมเกลาทั้งจิตใจและวิญญาณ ฉันเหมาเวลาทั้งวันทั้งคืนทำงานอยู่ในบ้านดินอย่างกับคนหิวกระหาย เวลาผ่านวันผ่านคืนดังกับชั่ววินาที และผ่านเดือนไปอย่างไม่รู้สึกตัว


"พี่ คืนนี้แมนยูฯ เตะนะพี่ ช่องเจ็ดถ่ายทอดสด"

อ้วนเดินมาบอกถึงบ้าน

อ้วนเชียร์เชลซี (ที่ตอนนี้บิ๊กฟิลเด้งดึ๋งไปแล้ว ส่วน กุดส์ ฮิดดิ้ง ซึ่งมากุมบังเหียนแทนชั่วคราวก็ออกมาประกาศว่าจะไม่ยอมให้แมนยูฯ กระชากแชมป์ไปง่ายๆ)


แรกๆ ของฤดูกาลการแข่งขันนั้นอ้วนหน้าบานมาก (ปกติก็บานอยู่แล้วยิ่งบานมากกว่าเดิม) เชลซีโชว์ฟอร์มดีเหลือหลายขึ้นนำเป็นจ่าฝูง ขณะที่แมนยูฯ อยู่ในอันดับที่ ๑๕ แฟนแมนยูฯ แบบคนเพิ่งเป็นมาสามสี่ปีนี้ก็ใจแป้วเหมือนกัน


แต่ตอนนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปแล้วน้องรัก แมนยูฯ ไม่ใช่เพียงแค่ขึ้นอันดับหนึ่งเท่านั้น แต่มีเป้าหมายจะกวาด ๕ แชมป์เสียด้วย (อะไรจะขี้โลภปานนั้นหนอ คนเชียร์ยังอดหมั่นไส้ไม่ได้เลย)


แชมป์แรก ถ้วยสโมสรโลกที่ญี่ปุ่นได้ไปแล้ว คืนนี้จะเป็นการชิงถ้วยที่สอง คือ คาร์ลิ่ง คัพ กับ สเปอร์ส

ฉันวางมือจากแป้นคอมพ์หันมามองอ้วน

"จริงง่ะ!"

อ้วนบอกเวลาแข่งขัน ไม่ดึกซะด้วย สี่ทุ่มกำลังดี

"เดี๋ยวพี่จะรีบเขียนงานให้เสร็จ สามทุ่มกว่าๆ จะขึ้นไป" ฉันบอก

ช่วงนี้อากาศอบอ้าว แต่ข้อดีของมันคือ ยามอาบน้ำจะเป็นช่วงเวลาที่วิเศษมาก ฉันอาบน้ำเสร็จ ร่างกายปลอดโปร่งเบาสบาย ลมพัดเหนือพื้นดินราบโล่งของอีสานใต้มีกลิ่นหอมของฟางหญ้าหน้าแล้ง


ฉันถือไฟฉายเดินกระเผลกๆ (ต้นขาเคล็ด) ขึ้นไปยังสำนักงาน อดรู้สึกไม่ได้ว่ามันช่างคล้ายความรู้สึกในวัยเด็กที่รู้ว่าหลังกินข้าวยามค่ำแล้วคืนนี้เราจะไปดูหนังกลางแปลงกัน จึงขัดสีฉวีวรรณเสียนวลผ่องและออกเดินด้วยหัวใจเป็นสุขไม่ได้


บ้านนอกสมัยก่อนมืดอย่างนี้ เราเดินด้วยกันเป็นกลุ่มและถือไฟฉายส่องทางด้วยกัน แต่ที่นี่ฉันเดินถือไฟฉายคนเดียว เพราะคนอื่นเขาชินทางกันแล้ว


มันเป็นการดูโทรทัศน์ครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน


นานๆ ดูทีมันก็ดีอย่างนี้ ดูข่าวก็ตั้งใจดูเพราะไม่ได้ดูมานาน เห็นโฆษณาก็ไม่เปลี่ยนช่องหนี เพราะยังไม่เคยเห็น พอรายการถ่ายทอดสดฟุตบอลมาถึงยิ่งตั้งใจดู

มันช่างมีความสุขและน่าลุ้นจริงๆ

อ้วนหลับไปตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก


คืนนี้แมนยูฯ เล่นไม่ค่อยดีนัก ครึ่งหนึ่งของทีมเป็นตัวสำรองลง แต่ว่าก็เห็นหัวจิตหัวใจแบบผีๆ ที่ไม่เคยยอมแพ้หรือท้อแท้ เล่นกันแบบถวายชีวิตทั้งสองทีมจนต้องต่อเวลาถึง ๑๒๐ นาทีเต็ม จนทั้งผู้เล่นและกรรมการผู้กำกับเส้นเป็นตะคริวกันทิวแถว


สุดท้ายเมื่อดวลจุดโทษ แมนยูฯ ซึ่งใจหินและมีความฮึกเหิมกว่าก็กำชัยชนะมาไว้ในมือ

แน่นอน คืนนี้ฉันถือไฟฉายเดินกระเผลกๆ กลับบ้านด้วยรอยยิ้ม หัวใจพองโต

ช่างเป็นการดูหนังกลางแปลงที่แสนสุขอะไรอย่างนี้นะ

ฉันชอบโกลของแมนยูฯ คนนี้เหลือเกิน - เบน ฟอสเตอร์

  

 

 อายุแค่ยี่สิบห้าปี ปกติเป็นตัวสำรองอันดับสาม แต่คราวนี้ท่านเซอร์ เฟอร์กูสัน ให้เขาขึ้นมาเป็นตัวจริงและยืนอยู่ตลอดเกม โอกาสบางอย่างคนเราได้รับมาไม่บ่อยนัก มันไม่เปิดโอกาสให้เราพลาดได้ง่ายๆ เพราะหากพลาด บางครั้งก็ยากจะเรียกกลับคืน ดังนั้น เมื่อได้มาแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งเบน ฟอสเตอร์ ก็คงคิดเช่นนี้กระมัง เพราะในวันนี้เขาทำได้ดีจนโดดเด่นเข้าตา แฟนแมนยูฯ แทบจะกราบให้ เพราะไม่อย่างนั้นก็คงเป็นประตูไปสักสองประตูไปแล้ว


ยิ่งได้เห็นช่วงดวลจุดโทษ ขณะที่เขาวิ่งลงสนามเพื่อป้องกันลูกเตะจากนักเตะคนแรกของสเปอร์ส เราก็รู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นและพลังจากดวงตา เบนหันไปทางแฟนบอลและชูกำปั้นสะบัดออกไปหนักๆ แฟนบอลปรบมือให้ เขาก็ปรบมือด้วยทั้งเรียกขวัญให้แฟนบอลและตัวเอง ดวงตาของเขามันช่างเป็นสิ่งที่--- ที่ฉันอดถามตัวเองเอาหลายๆ ครั้งไม่ได้ว่าเราจะสามารถมีดวงตาแบบนี้ได้สักกี่ครั้งในชีวิต

นี่กระมังที่เป็นเสน่ห์ของกีฬาที่ทำให้ฉันหลงใหลการเล่นกีฬา ดูกีฬา มาตั้งแต่เด็กจวบจนถึงบัดนี้


กีฬาทำให้เห็นพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ความมุ่งมั่น การต่อสู้ ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ ความมีน้ำใจนักกีฬา การให้ การเสียสละ ทุกครั้งที่ดูมันจะสะท้อนอะไรหลายๆ อย่างให้ฉันได้คิดและเก็บมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตเสมอ


ฉันอยากได้ดวงตาอย่างเบน ฟอสเตอร์ มาไว้ในชีวิตให้นานแสนนานเหลือเกิน ดวงตาที่จะทำให้เรารู้ว่าชีวิตมันช่างมีพลังและคุณทำได้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้


ต่อให้จะอายุเพิ่มขึ้นอีกสักมากมายเท่าไหร่ ฉันก็ปรารถนาเหลือเกินว่า ดวงตาเช่นนี้จะยังคงอยู่กับฉัน ซึ่งหากต้องขอพรประการเดียวจากพระเจ้าได้ ฉันก็อยากขอพรเช่นนี้ ขอให้ตัวเองจงเป็นคนที่มีพลังในชีวิตและเชื่อมั่นเช่นนี้ตลอดกาล


รุ่งเช้า เมื่อเปิดอินเตอร์เน็ตอ่านข่าวจากสยามสปอร์ตฉันก็เห็นข่าวนี้

เบน ฟอสเตอร์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็น man of the macth สำหรับการแข่งขันนัดเมื่อคืน

ซึ่งฉันหวังว่าโอกาสที่เขาได้รับและแสดงให้โลกเห็นครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญของชีวิตคนหนุ่มวัยยี่สิบห้าต่อไป

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
นุ่มนิ่มเหลือเกิน ลูกแม่เอ๋ย นานวัน เนื้อตัวเจ้าอวบอิ่ม กอดได้แน่นเต็มกอด หอมแก้มเจ้าได้แรงๆ เสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ ยามแม่เอาหน้าซุกพุงนิ่ม หรือสีข้างซี่โครงน้อย เจ้าร้องลั่น หัวเราะกรี๊ดๆ จั๊กจี้จั๊กกะเดียม แม่รู้ความลับของเจ้าแล้วสิ ว่าเจ้าเองก็บ้าจี้เหมือนแม่ แต่ยิ่งเจ้าเบี่ยงตัวหนีคิกๆ แม่ก็ยิ่งอยากแกล้ง เพราะอยากยินเสียงคักๆ คิกๆ กรี๊ดกร๊าดๆ
สร้อยแก้ว
ถึง ลุงแสงดาว เช้าวันนี้แม่ตื่นตั้งแต่ยังไม่ถึงตีห้าดี แม่ย่องมาเปิดคอมพิวเตอร์ เปิดอินเตอร์เน็ต (ยามเช้าๆ เน็ตแม่จะเดินได้เร็ว คงเพราะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยมีใครใช้งาน คลื่นอากาศเลยเดินทางได้คล่อง) แม่คงคิดว่าจะแอบทำงานตอนหนูหลับล่ะสิ เรื่องอะไร หนูจะยอมให้แม่สนุกอยู่คนเดียวล่ะ หนูไหวตัวทันหรอกน่า เลยกลิ้งซะสองรอบแล้วยันขายันแขนลุกนั่ง ร้อง อื้อๆ แม่ก็หันขวับทันที
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำอายุครบ ๗ เดือนในวันนี้แล้ว ลูกมีภาษาของลูก และรู้วิธีสื่อสารกับแม่ ๐ ถ้าลูกเบื่อนอนเล่นหรือการนั่งอยู่กับที่ ลูกอยากให้แม่พาเดินเล่น ลูกจะเงยหน้าร้องอ้อนด้วยการทำเสียงฮือๆ หรือบางทีทำเสียงแงๆ แต่ว่าไม่มีน้ำตาหรอก ลูกแกล้งทำ พอแม่อุ้ม ลูกก็จะยิ้มร่า พร้อมกับตบบ่าแม่แปะๆ เมื่อไหร่ที่ลูกตบบ่าแม่แปะๆ นั่นแปลว่า ไป ไป เหมือนว่าแม่เป็นม้างั้นเหอะ ตบก้นแล้วไปได้
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเองที่แม่หลบมารดน้ำให้หัวใจ รินลมหายใจแผ่วๆ ช้าๆ ตาน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านี้เอง แต่มันทำให้แม่มีความสุข เพราะแม่สงบ ปลอดโปร่ง
สร้อยแก้ว
ตาน้ำ ยามเมื่อลูกนอนหลับ สิ่งที่แม่อยากทำที่สุดคืออะไรนะ เขียนหนังสือ, นอน, อยู่เฉยๆ ว่างๆ เพราะการเลี้ยงลูกเองมันเหนื่อยใช่เล่นเหมือนที่ใครหลายคนว่า แทบไม่ได้หายใจหายคอ ทั้งที่ยามลูกตื่นเราก็เล่นสนุกด้วยกัน มีความสุขเมื่อลูกอยู่ในอ้อมกอด ขำบ้าง ดุบ้างยามลูกยื้อแย่งจะเอาทุกอย่างในมือแม่
สร้อยแก้ว
  ตาน้ำ ลูกรู้สึกอย่างไรบ้างไหมขณะที่ลูกบินอยู่บนฟ้า ตาน้ำ ลูกดูดนมแม่แล้วหลับปุ๋ยขณะแม่กอดลูกไว้แนบอก แม่เหม่อมองท้องฟ้า เห็นเพียงปุยเมฆขาวฟูฟ่อง บนฟ้าช่างเวิ้งว้าง บ่อยครั้งที่แม่ไม่มั่นใจเลยว่าแม่จะเป็นแม่ที่ดีไหม แม่จะเลี้ยงลูกได้คู่ควรหรือไม่ แม่รู้สึกว่าแม่ต่ำต้อยเสมอเมื่อนึกถึงความไว้วางใจจากสวรรค์ให้ดูแลบุตรีน้อยๆ คนนี้
สร้อยแก้ว
    ตาน้ำ แม่เพิ่งรู้ว่า ยามลมพายุพัดระหว่างมีบ้านอยู่กลางหุบเขากับที่ราบโล่ง เสียงสายลมจะหวีดดังไม่เหมือนกัน
สร้อยแก้ว
แต่ก่อนฉันเคยใฝ่ฝันกับการมีบ้านมานาน แต่จนแล้วจนรอดก็มักจะรู้สึกว่ายังไม่ใช่เวลานั้น มันยังไม่ถึงเวลา ฉันยังอยากเดินทางท่องไปอยู่ ยังอยากพบเจออะไรใหม่ๆ อยู่ ดังนั้น หลายครั้งหลายหนเมื่อพบเจอปลอกหมอน ฟูกนอนพื้นบ้าน ผ้าพื้นเมืองลายคลาสสิก แก้ว จาน ชาม เซรามิกที่ถูกใจก็มักจะซื้อเก็บไว้ แต่ก็ไม่ค่อยได้นำเอาออกมาใช้
สร้อยแก้ว
  ฉันได้แต่อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของคนขายของชำที่มีต่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ คะเนอายุเธอน่าจะประมาณสามขวบคนขายของถามเด็กหญิงว่า "เอาอะไร"เด็กหญิงตอบอ้อมแอ้ม น้ำเสียงลังเล "เอา...เอา... เอานม!"
สร้อยแก้ว
ช่วงปิดเทอม ดาวใจกับไพจิตรได้เข้ามาที่ศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านเกือบทุกวันเพราะพ่อแม่ของเธอมารับจ้างสับมัน (มันสำปะหลัง) กับสหกรณ์ปากมูล (สหกรณ์ปากมูลและศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านอยู่ติดกัน) บางครั้งดาวใจก็รับจ้างด้วย เพราะเธอโตแล้ว อายุสิบสี่ปีกว่า เธอทำงานแบบนี้ได้สบายมาก ส่วนไพจิตรยังคงเป็นเด็กหญิงซนๆ วิ่งไปวิ่งมา ทำงานตามแต่คำบัญชาการของพ่อแม่