Skip to main content
 

สมยศ  พฤกษาเกษมสุข

สังคมไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกด้วยการขยายตัวของการแข่งขันการค้าระหว่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจทุนนิยมเติบโตอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีดิจิตอลมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับปัจเจกชน ครอบครัว ชุมชน จนถึงโครงสร้างของสังคม การเปลี่ยนแปลงจากสังคมชนบทภาคเกษตรกรรม มาสู่สังคมเมืองอุตสาหกรรม วิถีชีวิตที่เรียบง่ายกับธรรมชาติ มาสู่ความยุ่งเหยิงกับโลกวัตถุที่เต็มไปด้วยความแปลกแยก ความเปลี่ยนแปลง เช่นว่านี้นำมาสู่การพังทลายของครอบครัว ชุมชน และสังคม ทำให้เกิดวิกฤติการณ์สังคมขึ้นมา

เนื่องจากพื้นฐานสังคมไทยแต่เดิมที่มีความไม่เท่าเทียมกันทั้งในด้านการครอบครองทรัพยากร เทคโนโลยี รวมทั้งโอกาสการเข้าถึงอำนาจการจัดการทรัพยากร อาทิเช่น คนรวยเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากว่าคนจน คนชั้นกลางเข้าถึงความรู้ทันสมัยมากกว่าคนชั้นล่าง ส่วนคนชั้นสูงครอบครองทรัพยากรจนเหลือเฟือ เหลือกินเหลือใช้ แต่คนจนส่วนใหญ่ยังขาดแคลนอดอยาก

สังคมแบบไพร่ฟ้าหน้าใสในระบบอุปถัมภ์ การเชิดชูคนชั้นสูง แต่ดูแคลนคนชั้นต่ำ ความเชื่องมงายจากการปลูกฝังและครอบงำ การขึ้นต่อพึ่งพาเจ้าขุนมูลนาย การรวมศูนย์อำนาจของชนชั้นนำ การยกย่องเชิดชูบุคคลให้อยู่เหนือความเป็นมนุษย์และหาแดกบนความโง่เขลาของประชาชน  พุทธศาสนากลายเป็นเครื่องมือการค้ามากกว่าความรู้และสติปัญญา ศีลธรรมเป็นเรื่องปั้นแต่งหลอกลวง วัดวาอารามและพระสงฆ์คือซ่องโจรโพกผ้าเหลืองต้มตุ๋นคนไทย

สังคมแบบนี้จึงอ่อนแอ ระบบทุนนิยมสามานย์จึงขยายตัวได้ดีในสังคมอ่อนด้อยปัญญา เพราะคนไทยถูกสอนให้เชื่อฟังผู้นำและว่านอนสอนง่าย ยอมรับชะตากรรมอันเลวร้ายแต่โดยดี

ในขณะที่เทคโนโลยีทันสมัยถูกนำมาใช้ก่ออาชญากรรมในทุกระดับของสังคม การแข่งขันแบบแพ้คัดออก และมือใครยาวสาวได้สาวเอาในระบบทุนนิยม ก่อให้เกิดวิกฤติการณ์สังคมรุนแรงต่อเนื่องมาหลายทศวรรษโดยที่ไม่มีรัฐบาลใดเยียวยาแก้ไขให้ดีขึ้น

ผู้คนในสังคมไทยมีรายได้ต่างกัน 100 เท่า คนกระจุกหนึ่งมีเงินเดือนกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่อีก 20 ล้านคนมีเงินเดือน 20,000 บาท ผู้มีทรัพย์สินมากที่สุดที่ยอดปิรามิด 20 เปอร์เซ็นต์ถือครองทรัพย์สินมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มข้างล่างที่เป็นฐานของปิรามิดถึง 69 เท่า

ในบรรดาอภิมหาเศรษฐีบนยอดปิรามิดบางตระกูลจัดอยู่ในประเภทรวยล้นฟ้า มีชีวิตที่ร่ำรวย หรูหรา ฟุ่มเฟือย กินอยู่ล้างผลาญ มากล้นด้วยอำนาจบารมีทั้งทางเศรษฐกิจ และการเมือง ในขณะที่คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาพแร้นแค้น ขาดแคลน และงมงาย

แต่สังคมไทยไม่ใช่เพียงปัญหาช่องว่างทางชนชั้น หรือการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาค่านิยมแห่งเงินตรา ที่ถูกกระตุ้นให้ละโมบโลภมากด้วยการแสวงหากำไร และสะสมทุนให้มากที่สุด การอวดรวยและต้องบริโภคกันบ้าคลั่ง กลายเป็นคุณค่า ความหมายของการมีชีวิตอยู่ในระบบทุนนิยม ดังนั้นความยากจนจึงไม่ใช่สาเหตุของปัญหาสังคมอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลมาจากค่านิยมการแข่งขัน การบริโภค และแรงกระตุ้นของการโฆษณาชวนเชื่ออีกด้วย ด้วยเหตุนี้ประชากรหญิงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ จึงเกี่ยวข้องกับธุรกิจขายเรือนร่างเป็นโสเภณีเกลื่อนกลาดอยู่ทุกมุมเมืองในทุกรูปแบบ

การขายยาเสพติดมีทุกระดับชั้นไม่เว้นแม้แต่มหาเศรษฐี หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับสูง ยาเสพติดจึงระบาดทุกหย่อมหญ้า จะเห็นได้จากตัวเลขการจับกุมยาเสพติดมีสูงถึง 300,000 คดีในแต่ละปี โดยเยาวชนอายุ 20 – 25 ปีถูกจับมากที่สุด แต่การจับกุมรายใหญ่แทบไม่ปรากฏขึ้นเลย

เช่นเดียวกันกับการทุจริตคอรัปชั่นที่ฝังอยู่ในกมลสันดาน และประเพณีปฏิบัติในทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน จะเห็นได้จากองค์การเพื่อการโปร่งใสสำรวจ 180 ประเทศ พบว่าไทยมีการทุจริตติดอันดับที่ 80 ได้ดัชนีคอรัปชั่นเท่ากับ 3.5 (ประเทศที่ทุจริตน้อยที่สุดในอันดับต้น ๆ คือ เดนมาร์ค  นิวซีแลนด์  สวีเดน  ดัชนีคอรัปชั่นอยู่ที่ 9.3)

แม้สังคมไทยจะพร่ำสอนในเรื่องศีลธรรม และการทำบุญปลูกฝังให้คนในชาติมีความภาคภูมิใจในคำว่า “ชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์” จนหลายคนถึงขั้นมีอาการคลุ้มคลั่ง แต่ทว่าคนในสังคมกลับไร้คุณค่า ไร้ความหมาย เป็นชีวิตที่สิ้นหวังจากแรงกดดันของสังคม เพราะปรากฏว่าคนไทยมีอัตราฆ่าตัวตาย 5.9 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน หรือ 3,761 รายต่อไป เฉลี่ยวันละ 10 ราย ในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 10 – 19 ปี ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ชีวิตที่ไร้คุณค่า – ความหมาย ยังแสดงออกด้วยความประมาทในการดำรงชีวิต ด้วยสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนในอัตราสูงในบรรดา 178 ประเทศนับจากดีสุดไปหาแย่สุด ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 106 คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 19.6 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน

ประเทศไทยยังไร้อนาคตอีกด้วยเมื่อผลสำรวจของสถาบันราชานุกูล พบว่าเด็กไทยมีความฉลาดทางอารมณ์ และสติปัญญาต่ำลงทุกปี กล่าวคือ เมื่อเปรียบเทียบอีคิว หรือความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กวัย 6 - 11  ปี มีคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ในปี 2554 มีคะแนนต่ำสุดอยู่ที่ 169.72 ลดลงจากปี 2545 ซึ่งคะแนนอยู่ที่ 186.42

สภาวะการณ์ของเด็กเยาวชนยังตกอยู่ในสภาพเละเทะจากผลสำรวจเด็กไทยรอบ 5 ปี โดย ดร.อมรวิชช์  นาครทรรพ พบว่าเยาวชนเข้าสู่การมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 24 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2551 เป็น 35 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2554 ในจำนวนนี้ 22 เปอร์เซ็นต์ เคยตั้งท้องหรือเคยทำแท้ง เด็กในระดับมัธยมถึงอุดมศึกษาประมาณ 1 ล้านคน มีอาการซึมเศร้า หงุดหงิดไม่รู้สาเหตุ และเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ มีอาการเครียดจนปวดท้อง หรืออาเจียน นอกจากนี้ยังพบค่านิยม “สวย – ผอม” โดยมีเด็ก 1 ใน 3 คิดใช้ยาลดความอ้วน และทำศัลยกรรม

สภาวะเด็กไทยดังกล่าวสอดคล้องกับสภาพของผู้ใหญ่ขี้เหล้าเมายา เมื่อ พญ.พันธุ์นภา  กิตติรัตนไพบูลย์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิตได้เปิดเผยผลสำรวจคนไทยอายุ 15 – 60 ปี ยังมีปัญหาการดื่มสุราเมามายถึง 5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นโรคติดสุรา 3 ล้านคน ในทางการแพทย์ถือเป็นโรคชนิดหนึ่งมีทั้งดื่มแบบติด และดื่มแบบอันตรายนำมาซึ่งโรคตับแข็ง ตับอักเสบ ระบบประสาท เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ อีกทั้งเด็ก สตรีติดสุรากันมากขึ้น นี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพต่ำของเด็ก เยาวชนไทย

แม้งบประมาณปีหนึ่งสำหรับกระทรวงศึกษาธิการใช้ถึง 500,000 ล้านบาท ก็ไร้ความหมายเพราะว่า ระบบการศึกษายังล้าหลัง ผลิตนักเรียน นักศึกษาแบบนกแก้ว นกขุนทอง ครูอาจารย์ห่วยแตก เห็นแต่ตัวมั่วแต่เซ็กซ์ ตำราเรียนห่างไกลจากความเป็นจริงของสังคมไทย เด็กไทยจึงตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อ กระตุ้นการบริโภคด้วยความไร้สาระ บ้าบอคอแตก

ที่โหลยโท่ยไปกว่านี้ก็คือมีผลสำรวจว่าคนไทยไม่พร้อมเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยน (AEC) คือความอ่อนด้อยภาษาอังกฤษ โดยที่ยังละเมอด้วยความภาคภูมิใจไปกับความคิดลวงโลกที่ว่า ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาก่อน

เป็นเรื่องอันน่าสมเพช เมื่อศูนย์การค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้สำรวจ 6 แรงงานวิชาชีพที่จะเปิดเสรีในอาเซี่ยนว่ามีจำนวนเท่าใดที่เข้าใจเรื่อง AEC ปรากฏว่าทันตแพทย์ และสถาปนิกมีความรู้ ความเข้าใจจำนวน 50 เปอร์เซ็นต์  วิศวกร 30 เปอร์เซ็นต์ พยาบาล 20 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าระดับวิชาชีพชั้นนำไม่มีความรู้เรื่อง AEC ทั้ง ๆ ที่อีก 3 ปีข้างหน้าไทยต้องเข้าร่วม AEC กันแล้ว

นอกจากนี้สังคมไทยยังมีความรุนแรงจากความแตกต่างทางชนชั้น และความคิดเห็นแตกต่าง ผู้มีอำนาจมากกว่านิยมใช้ความรุนแรง ตั้งแต่ความรุนแรงในครอบครัว จนถึงความรุนแรงทางการเมือง ผู้มีอำนาจมักปกปิดความผิดทางอาชญากรรมของตนเอง กระทั่งได้รับการยกเว้นความผิดอย่างง่ายดาย กระบวนการยุติธรรมไทยฉ้อฉลสองมาตรฐานเพราะเป็นเครื่องมือของอำมาตย์ผู้มีอิทธิพล และคนร่ำรวย

วิกฤติการณ์สังคม คือบทสะท้อนความผิดพลาดแนวทางการพัฒนาของรัฐที่ปล่อยให้ทุนนิยมเติบโตอย่างไร้ทิศทางขนความอ่อนแอ ความไม่เอาไหนของสังคมไทยคือต้นเหตุแห่งความเน่าเฟะในสังคมไทย โดยรัฐไทยมิได้ใส่ใจต่อปัญหาสังคม มุ่งเน้นการลงทุนโครงการพัฒนาด้านวัตถุ ไม่ได้ลงทุนทางสังคม รัฐไทยใช้งบประมาณไปในทางแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ มองประชาชนเป็นเพียงฐานคะแนนเสียงมากกว่าผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาสังคม นิยมการแจกถุงยังชีพ สร้างภาพมากกว่าแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงวัฒนธรรม เป็นเพียงกระทรวงเกรด E ไว้ตอบสนองความกระสันต์อย่างเป็นรัฐมนตรีประเภทผ่านเข้ามากินน้ำก่อนจากไปอยู่กระทรวงอื่น จึงขาดความสามารถที่จะแก้ไขวิกฤติสังคมที่กำลังเน่าเฟะในทุกวันนี้

กองทุนประกันสังคมใช้เงินไปลงทุนแสวงหากำไร และเป็นแหล่งทำมาหาแดกของข้าราชการและผู้นำแรงงานจอมปลอมไม่ได้นำเงินมาลงทุนสร้างสวัสดิการสังคม หรือวางรากฐานรัฐสวัสดิการ (Welfare State) เพื่อหลักประกันชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน สังคมไทยจึงเน่าในสุดแก้ไขเยียวยาในทุกวันนี้

บล็อกของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข

สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ  พฤกษาเกษมสุข18 พฤษภาคม 2556
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ  พฤกษาเกษมสุข13  พฤษภาคม 2556  
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ พฤกษาเกษมสุข  
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สมยศ   พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการเปิดใจ เนื่องในโอกาสถูกคุมขังโดยไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว จากการถูกกล่าวหาตาม กม.อาญา ม.112 ครบ2ปี
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
 สมยศ  พฤกษาเกษมสุข23 เมษายน 2556  
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ  แดน 133  ถ.งามวงศ์วาน  ลาดพร้าวจตุจักร  กรุงเทพฯ 10900 
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
 สมยศ  พฤกษาเกษมสุข13 มีนาคม 2556 
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
การที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  ขาดความกล้าหาญทางการเมืองหวังแต่เพียงอยู่ในอำนาจต่อไป โดยเพิกเฉยต่อการนิรโทษกรรม เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความล้าหลังทางการเมือง ย่อมทำให้ผู้รักประชาธิปไตยทั้งมวลสิ้นหวังต่อรัฐบาล ซึ่งหมายถึงจุดเริ่มต้นของบทอวสานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างแน่นอน
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
เพ็ญสุภา สุขตะ ใจอินทร์ ทบทวนประวัติศาสตร์4บรรณาธิการผู้ถูกกล่าวหาปรักปรำให้เป็น “กบฎแห่งแผ่นดิน”