เป็นค่ำคืนที่หัวถึงหมอนแล้วรู้สึกอีกทีคือตอนตื่น ผมตื่นมาอย่างตื่นเต้นเตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นไปดูทะเลหมอกแต่มองออกไปก็เจอแต่ความมืดมิดของค่ำคืนที่ไม่มีไฟฟ้าและก็ไม่เห็นจะมีใครตื่นมากับเรา ในใจตอนนั้นถามว่าให้เดินขึ้นไปคนเดียวกล้าไหม ก็คงตอบอย่างมั่นใจว่าไม่กล้าอย่างแน่นอน จะไปปลุกคนอื่นก็ไม่กล้าอีกแต่แล้วทุกคนก็ค่อยๆตื่นขึ้นมา มีครูซาปั่นจักรยานมาจากบ้านเพื่อจะพาเราขึ้นไปชมทะเลหมอก เราเดินไปทางข้างหลัง รรผ่านบ้านคนลัดเลาะขึ้นสู่เนินเขา มีลำธารเล็กๆให้เราได้เปียกเล่นกันอีกนิดหน่อย ผมรีบเดินนำทุกคนเพราะลุ้นอย่างมากว่าจะได้เจอทะเลหมอกไหม ผมเดินไปจนเห็นเจดีย์ ก็รีบเร่งฝีเท้าขึ้นไปให้ถึง และเมื่อเดินจนถึงสายตาของผมก็มองออกไปพบกับทะเลหมอกไกลสุดลูกหูลูกตาไปทางชายแดนพม่า มันอาจไม่ได้เป็นทะเลหมอกที่สวยงามอลังการมากนัก แต่ผมก็รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยก็ได้เห็นมัน เรานั่งลงมองดูทะเลหมอกภายในบรรยากาศที่ไม่ได้หนาวจนเกินไป ครูซาก็ได้เล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน ที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมายครูซาบอกว่าคนเก่า คนแก่ในหมู่บ้านกลัว 4 สิ่งที่จะเกิดกับหมู่บ้านดังนี้ 1.งูใหญ่เลื้อยผ่านหมู่บ้านหมายถึงการตัดถนนผ่านหมู่บ้าน(สะเนพ่องมีแค่ถนนเล็กๆ) 2.เสาบ้านออกดอกหมายถึงเสาไฟฟ้าที่เข้าถึงตัวบ้านมีหลอดไฟฟ้าติดอยู่กับเสาเรือนให้แสงสว่างยามค่ำคืน(สะเนพ่องไม่มี) 3.ม้ามีเขาหมายถึงรถมอเตอร์ไซค์แฮนด์ที่จับด้วยมือของผู้ขับขี่หมายถึงเขา(มีแล้ว) 4.คนเสียงดังมาเรียกใกล้ๆบ้าน หมายถึงรถขายของเร่และรถขายกับข้าวที่ติดเครื่องขยายเสียงให้ได้ยินกันทั่วทั้งหมู่บ้าน(ระหว่างที่ฟังครูซาเล่าเราก็ได้ยินและเห็นรถขายกับข้าวขับเข้ามาในหมู่บ้านพอดี) (อ้างอิง: มูลนิธิสืบนาคะเสถียรงาน "ทุ่งใหญ่นเรศวร บนเส้นทางมรดกโลก" ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๘) ได้ฟังครูซาเล่าก็คงเป็นจริงอย่างที่ครูว่า เพราะยิ่งความเจริญเข้ามามากมายเท่าไหร่ ความสวยงามของวิถีชีวิตก็ยิ่งหายไปมากเท่านั้น
แสงแดดเริ่มโผล่พ้นภูเขาก็ถึงเวลาที่เราจะเดินลงกันแล้ว ช่วงสายของวันนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องแยกย้ายกับ พี่แมค โม ส้มโอ ที่ต้องกลับไปกันก่อน เราเดินลงมาถึงโรงเรียน พร้อมกับอาหารที่รอเสิร์ฟให้เรา (เด็กๆน่ารักมาก) กับข้าววันนี้เป็นต้มจืด ผัดปลากระป๋องและก็ผักมันหมู ทีเด็ดของมื้อนี้คงอยู่ที่ ผักมันหมู ที่รสชาติของมันออกรสมันๆและให้อารมณ์อย่างกับสาหร่าย มาอยู่ที่นี่เราได้กินผักแปลกๆอร่อยๆเยอะมากจนบางทีก็เสียดายที่ผักพวกนี้หาซื้อไม่ได้ตามในเมือง อย่างที่เขาว่าละของอร่อย มักต้องแลกมากับความลำบากกว่าจะได้ทาน ก่อนที่เพื่อนของเราจะกลับ ครูซาก็ได้พาพวกเราไปที่วัดสะเนพ่อง ครูซาพาพวกเราไปชม “พระแก้วขาว” พระคู่บ้านคู่เมืองของชาวกระเหรี่ยง ครูซาเล่าว่าในทุกๆปี วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 (วันสงกรานต์) จะนำพระแก้วขาวออกมาสรงน้ำในหมู่บ้าน ครูซาบอกว่าวันนั้นในหมู่บ้านจะเต็มไปด้วยฝูงชนที่หลั่งไหลกันมาจากทั่วสารทิศ เต็มลานวัดนับพันคน อดคิดไม่ได้ว่า เพราะอะไรกันถึงทำให้คนจากภายนอกเดินทางลำบากเข้ามาได้ถึงขนาดนี้
แล้วก็ถึงเวลาบอกลาเพื่อนของเราที่กลับก่อน การบอกลาถึงแม้จะเป็นการบอกลากับคนที่เราเพิ่งรู้จักไม่กี่วันแต่มันก็ทำให้ใจเราหวิวๆได้เหมือนกันแต่ที่ทำให้หวิวยิ่งกว่าคือ เพื่อนๆกลับไปสามคนแต่ทำไมเหลือผมคนดียว นึกไปนึกว่าตั้งแต่เช้าเราลืมหนุ่มชาติไปได้ไง ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอชาติคือตอนเช้าแล้วก็ไม่เห็นชาติอีกเลย ถามน้องมายก็ได้ความว่า ชาติไปหาสาวที่เขารู้จักตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน ผมกำลังโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวแล้วสิ แต่ระหว่างที่เรากำลังรอส่งเพื่อนๆอยู่ ชาติก็เดินกลับมาพร้อมใบหน้าที่ดูมีความสุขผิดปกติ ตอนนั้นชาติคือความหวังเดียวที่ผมจะขอเกาะติดไปด้วยเพราะผมไม่มีเพื่อน หลังจากส่งเพื่อนๆเสร็จเราเลยเดินออกไปหาไรกินกันที่ร้านอาหารกลางหมู่บ้าน ชาติดูมีความสุขมากที่ได้อยู่กับเพื่อนๆของเขา ณ ตอนนั้นผมเหมือนคนดูที่กำลังดูเด็กหนุ่มสาวกำลังพูดคุยเล่นสนุกกันอย่างมีความสุข มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมไม่มีตัวตน แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด ผมทำตัวเป็นผู้ฟังและผู้ชมที่ดีในการขอติดตามเด็กๆตลอดทั้งวันนี้ เรากินก๋วยเตี๋ยวสุดอร่อยชามละ 30 บาทเท่านั้นและก็ถึงเวลาที่เราจะเข้าป่าล่าสัตว์ สัตว์ที่จะล่านี้ไม่ใช่เสือดำในทุ่งใหญ่นเรศวรนะ เราเตรียมอาวุธกันครบครันพร้อมที่จะออกกันไปตกปลาซึ่งเป็นงานที่ผมไม่ถนัดและชอบทำสักเท่าไหร่ อย่างที่บอกวันนี้ผมจะทำตัวเป็นผู้ชมที่ดี เราเดินกันไปตามลำธารโดยสมาชิกวันนี้มีผม ชาติ,น้องเสาวภา,น้องปลา และก็น้องอีกคนหนึ่ง เราใช้เวลากันครึ่งวันในการตกปลา ได้ปลาตัวเล็กๆมากัน 2 ตัว เรียกได้ว่าไม่สามารถประทังชีวิตกันได้เลยทีเดียว แต่ระหว่างทางที่เราเดินลัดเลาะไปตามลำธารผ่านไร่สวนของชาวบ้าน ได้เห็นวิถีชีวิตการทำงานในพื้นที่ที่มีจำกัดในเขตอุทยานแห่งชาติ แต่ก็ดูพืชผลแต่ละไร่อุดมสมบูรณ์ดี
เราเดินกันมาจนถึงลำธารใหญ่แห่งหนึ่ง แสงแดดในตอนเที่ยงทำเอาร้อนทีเดียว ริมลำาธารมีแพไม้ผูกไว้พอให้เราได้นั่งเอาขาจุ่มน้ำพอได้ชื่นใจ ผมขอปลีกตัวออกมาจากลุ่มน้องๆ มานั่งเล่นบริเวณแพคนเดียว ผมมักชอบหาที่สงบๆในมุมของตัวเองมานั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา เวลานี้ก็เช่นกัน ผมนั่งทอดสายตามองไปยังภูเขาที่โอบล้อมเราไว้พร้อมหูฟังเสียงน้ำไหลในใจก็นั่งคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีปีนี้คงเป็นอีกปีที่เราผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมาย จนมาถึงวันที่เรามานั่งอยู่ตรงนี้ เราผ่านทั้งการทำงานที่ทำให้เรารู้ว่าชีวิตวัยเรียนมันสนุกที่สุดเราผ่านช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจออกมาจากบ้านมาใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียว ที่มันให้อิสระที่ต้องแลกมากับความรับผิดชอบมากขึ้น และอีกหลายๆเรื่องที่ผ่านเข้ามา ชีวิตที่ผ่านไปแต่ละวัน เรามักจะสะสมเรื่องราวต่างๆมากมายเข้าไปในหัวสมองและจิตใจโดยที่เราไม่ค่อยมีเวลาได้จัดระเบียบมัน การมีเวลาอยู่กับตัวเองแบบนี้ก็เหมือนเราเข้าไปจัดระเบียบความคิดของเรา บางความคิดเราก็ต้องโยนมันทิ้งไป บางสิ่งเราก็ต้องนำมาต่อยอดสร้างประโยชน์ให้มากขึ้น ผมใช้เวลาสักพักในการทบทวนตัวเอง และรู้สึกภูมิใจในตนเองว่าอย่างน้อยเราก็ได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าในแบบของเรา ถึงแม้หนทางข้างหน้ายังต้องเจออะไรอีกมากมาย แต่ผมก็มีการเดินทางที่เป็นความสุขเล็กๆระหว่างทางของชีวิตผมที่ผมได้ไปในที่ใหม่ๆเสมอ