Skip to main content

เวลาเราจะเดินทางไปไหนยิ่งรีบก็ยิ่งเหมือนะยิ่งช้าถ้าไม่ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างดี   บางที่เราไม่ประมาทแต่คนอื่นก็ยังขับรถมาชนได้ก็มีนะครับ ซึ่งสองเรื่องที่จะเล่านี้ก็ตามวิถีไทยแท้บนท้องถนนครับ คือ รถชนกันไม่พอ แต่มีการขนญาติพี่น้องและใช้อิทธิพลมากดดันของฝ่ายหนึ่งหวังจะพึ่งกำลังภายในให้ตัวเองพ้นผิดและให้อีกฝ่ายรับผิดไปแทน โดยฝ่ายที่มีประกันชั้นหนึ่งมักจะถูกผลักภาระให้รับไปแทน ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคิดอะไรกันอยู่เพราะหากฝ่ายมีประกันรับปัญหาไปจริงๆในท้ายที่สุด ปีนั้นจะต้องเสียเบี้ยประกันเพิ่ม หากจะย้ายประกันไปอีกยี่ห้อค้าก็มีระบบรวมประวัติระหว่างบริษัทประกันเช็คข้อมูลย้อนหลังได้ จะให้ย้ายทุกปีก็ไม่ไหวถ้ามันไม่ใช่ความผิดของเรานี่ครับ

เหตุการณ์แรกนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ รถชนกันที่สี่แยกในคืนที่ฝนตกหนัก ระหว่างรถกระบะของผู้ที่มาปรึกษาซึ่งกำลังขับพุ่งตรงมาทางสี่แยกในด้วยความเร็วปกติและมีการชะลอรถเล็กน้อยตามธรรมชาติของการขับผ่านสี่แยกที่ต้องระมัดระวังรถอื่นๆในบริเวณทางแยกร่วม   จังหวะที่กำลังจะขับผ่านพ้นแยกไปนั้น มีรถเก๋งซึ่งอยู่ในเลนส์ขวาสุดได้เบี่ยงรถคันหน้าสุดที่ติดไฟแดงเลี้ยวขวาอยู่ออกมาทางเลนส์ซ้ายอย่างกะทันหัน   ผู้ขับรถกระบะจึงพยายามเบรครถของตัวเองอย่างกะทันหันแต่ด้วยพื้นถนนที่ลื่นเพราะฝนตกและรถก็ไม่มีระบบเบรคเอบีเอสจึงไถลไปชนเอามุมท้ายของรถกระบะที่เบี่ยงจากเลนส์ขวาเข้ามาในเลนส์ของตน   ซึ่งช่องทางเดิมของรถกระบะนั้นเป็นเลนส์บังคับเลี้ยวขวา    

หลังจากนั้นเจ้าของเก๋งอีกฝ่ายลงรถมาดูสภาพความเสียหายของรถและพยายามเคาะกระจกเรียกให้ลงมา   แต่เจ้าของรถกระบะเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวจึงยังไม่ลงจากรถเพราะดึกแล้วฝนก็ตกหนักจึงได้โทรเรียกเพื่อนชายไปที่เกิดเหตุ เมื่อเพื่อนมาถึงก็ลองสำรวจสภาพรอบรถเห็นรถตัวเองมีรอยถลอกที่มุมกันชนหน้าด้านขวาที่จิ้มท้ายรถเก๋ง พอทั้งคู่ลงมาดูตำแหน่งของรถทั้งสองคนจึงได้เห็นว่ามีในบริเวณสี่แยกนั้นก็มีการตีเส้นทึบระหว่างช่องทางซ้ายและขวาอย่างชัดเจน   ในระหว่างนั้นคู่กรณีทั้งสองฝ่ายก็ได้เริ่มมาคุยตกลงกัน   ในขณะนั้นเองญาติฝ่ายรถเก๋งที่ขับมาชนก็มาถึงที่เกิดเหตุหลายคนโดยคนเหล่านั้นต่างมารุ่มต่อว่าคนขับรถกระบะอีกคันซึ่งเป็นผู้หญิงที่ขับรถมาและพยายามกดดันให้รับผิดโดยบอกว่า ขับรถมาชนท้ายคนอื่นยังไงก็ผิดอยู่แล้ว ถ้าเรื่องไปถึงตำรวจก็จะโดนโทษอาญาอีกนะ นี่พวกเราใจดีแล้วเคลียร์กันก่อนแล้วชดใช้ค่าเสียหายมา เรื่องจะได้ไม่ต้องไปถึงโรงถึงศาล แต่ฝ่ายรถกระบะปรึกษากันสองคนแล้วคิดว่าตนขับมาในช่องทางตัวเองแต่ที่ชนท้ายเพราะอีกคันเบี่ยงรถเข้ามาในช่องทางของตน แถมยังเป็นการเปลี่ยนเลนส์ข้ามเส้นทึบอย่างกะทันหันที่สี่แยก   ตนไม่น่าจะผิด   จึงไม่ยอมรับผิดและไม่ชดใช้ค่าเสียหายแน่ๆ

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบมาถึงก็ไม่มีการพ่นสีหรือถ่ายรูปแต่อย่างใด แค่มาพูดด้วยเสียงดังว่า “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ขับรถชนท้ายก็จ่ายค่าเสียหายให้เค้าก็จบ จะเรียกให้มาทำไม แต่ถ้าไม่จ่ายก็ไปโรงพัก”  ซ้ำอีกญาติฝ่ายรถเก๋งยังไม่หยุดการต่อว่า เมื่อฝ่ายรถกระบะชี้แจงอธิบายเหตุผลอะไรไป ทางตำรวจกองปราบก็ไม่ฟัง แล้วก็โทรเรียกตำรวจท้องที่ให้มาจัดการเอง   ส่วนตัวเองก็ขับรถออกไป (ซึ่งตอนหลังที่เจ้าของรถกระบะมาคุยเหตุการณ์ก็คิดว่า ตำรวจกองปราบคนแรกที่มาน่าจะเป็นคนรู้จักของกลุ่มรถเก๋งเสียมากกว่า เพราะผมก็บอกเค้าไปว่าเวลามีรถชนกันตำรวจเจ้าของท้องที่และตำรวจทางหลวงเท่านั้นที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการ)  

รออีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีตำรวจของ สน.ในพื้นที่ สองนายเข้ามาถึงที่เกิดเหตุ   เหล่าญาติของฝ่ายรถเก๋งยังไม่หยุดการต่อว่า ตำรวจที่เพิ่งมาถึงก็เพิกเฉยกับเหตุการณ์ดังกล่าว อีกทั้งบอกให้ฝ่ายรถกระบะที่ขับมาชนท้ายรับผิดไป เพราะว่ารถกระบะคันดังกล่าวมีประกัน อย่างไรประกันก็ต้องชดใช้ให้ทั้งสองฝ่าย และรถเก๋งที่ถูกชนท้ายไม่มีประกันชั้นหนึ่งอยู่ด้วย ให้รถกระบะที่มีประกันชั้นหนึ่งรับผิดไปเรื่องนี้จะได้จบ เมื่อบริษัทประกันมาถึงก็กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า น่าจะเป็นเรื่องประมาทกันทั่งคู่ให้รับผิดชอบในส่วนของตนเอง ซึ่งฝ่ายรถเก๋งไม่ยอมรับข้อเสนอที่ตามบริษัทประกันบอกจะให้ฝ่ายรถกระบะชดใช้ค่าเสียหายให้ได้ และพอเจ้าของรถกระบะถามประกันแล้วพบว่าสิ้นปีอาจจะต้องโนเพิ่มค่าเบี้ยประกันปีใหม่และอดได้เงินโบนัสคืนเพราะมีเหตุเฉี่ยวชน เท่ากับมาเสียประโยชน์จากความผิดคนอื่น

คู่กรณีทั้งสองฝ่ายจึงไปตกลงที่โรงพัก โดยมีตำรวจคนหนึ่งเข้ามาคุยกับฝ่ายรถกระบะว่าทำไมไม่ยอมความ ฝ่ายรถกระบะก็บอกว่าเรียนกฎหมายมาจบถึงเนติบัณฑิตจะยอมรับผิดที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายได้อย่างไร ตำรวจคนนั้นกลับบอกว่าหัวหน้าตำรวจที่เป็นเจ้าของสำนวนก็จบสถาบันเนติบัณฑิตเหมือนกัน ยอมๆกันไปเถอะ แต่ฝ่ายรถกระบะบอกว่าแล้วค่าเสียหายกับประกันล่ะสิ้นปีต้อจ่ายเบี้ยเพิ่มนะ ตำรวจคนนั้นบอกว่าถ้าประกันจะเก็บเบี้ยเพิ่มสิ้นปีก็ย้ายยี่ห้อเสียสิ   ฟังดังนั้นจึงตกลงไม่ได้ รอไปตรวจสภาพรถในวันรุ่งขึ้นดีกว่า   สุดท้ายในวันรุ่งขึ้นตำรวจท้องที่โทรมาแจ้งว่าฝ่ายเจ้าของรถเก๋งขอยอมความจะได้ไม่ต้องเอารถไปตรวจสภาพที่ สน.อีกแห่งที่มีระบบพิสูจน์หลักฐานให้ยุ่งยากอีก   ขณะที่ไปเซ็นเอกสารยอมความอยู่นั้น ก็เห็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายรถเก๋งคุยกับตำรวจท้องที่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเสมือนเป็นญาติพี่น้องกัน  ทั้งที่เมื่อวานทำเป็นไม่รู้จักกัน   ส่วนตำรวจอีกคนที่มาหว่านล้อมให้ยอมรับผิดแล้วให้ประกันชดใช้ค่าเสียหายให้ ก็หายหน้าไปเลย

วิเคราะห์ปัญหา

1.              เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกันจะมีวิธีการใดที่จะรู้ว่าใครผิดใครถูก คนขับรถมาชนท้ายจะต้องรับผิดเสมอหรือไม่   รถที่เปลี่ยนช่องทางคร่อมเส้นทึบมีความผิดหรือเปล่า

2.              ใครจะต้องมีหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

3.              จำเป็นหรือไม่ที่ฝ่ายซึ่งมีประกัน หรือมีประกันชั้นหนึ่ง ควรจะรับผิดไปเพราะมีประกันคุ้มครองอยู่แล้ว

4.              ในคดีจราจร ใครเป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจในการทำคดี

5.              หากพบว่าเจ้าพนักงานมีการปฏิบัติหน้าที่ไปในทางที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายหนึ่ง และเสียหายกับอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นธรรม จะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง

การนำกฎหมายมาแก้ไข

1.              เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกันจะรู้ว่าใครผิดใครถูกก็ด้วยการพิจารณาตามกฎหมายเท่านั้นเหมือนตอนที่ไปสอบใบขับขี่ ตำรวจใช้ดุลยพินิจส่วนตัวไม่ได้ คนขับรถมาชนท้ายจะต้องรับผิดเสมอก็ต่อเมื่อขับอยู่ในช่องทางเดียวกันทั้งคู่เพราะคันหลังต้องระมัดระวังคันหน้า   ส่วนรถที่เปลี่ยนช่องทางคร่อมเส้นทึบมีความผิดอย่างชัดเจนเพราะฝ่าฝืนข้อห้ามอย่างเคร่งครัดของกฎหมายจราจร อาจถ่ายภาพหรือคลิปวีดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐานได้

2.              ผู้ที่ทำผิดกฎหมายจราจรจะต้องมีหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะถือว่าเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย มีความประมาทมากกว่าอีกฝ่าย

3.              หากเกิดอุบัติเหตุ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ฝ่ายซึ่งไม่มีประกัน หรือมีประกันชั้นหนึ่ง จะรับต้องผิดไปเพราะแม้มีประกันคุ้มครองอยู่แล้ว อาจจะต้องเสียประกันเพิ่มเมื่อต่ออายุ และเสียเบี้ยกำนัลสิ้นปี

4.              ในคดีจราจร เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเจ้าของพื้นที่ แล้วแต่ว่าอยู่ในเขตของ สน. หรือ สภ. หรือตำรวจทางหลวงในกรณีทางหลวงใหญ่ จะเป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจในการทำคดี ผู้อื่นไม่เกี่ยว

5.              หากพบว่าเจ้าพนักงานมีการปฏิบัติหน้าที่ไปในทางที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายหนึ่ง และเสียหายกับอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นธรรม จะสามารถร้องเรียนทางวินัยและฟ้องคดีอาญาได้

ช่องทางเรียกร้องสิทธิ

1.              เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกันจะต้องแจ้งความให้ตำรวจมาเก็บหลักฐานเพื่อทำสำนวนตามกฎหมายจราจร หากคู่กรณีตกลงกันเองไม่ได้

2.              ในคดีจราจร ต้องแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเจ้าของพื้นที่ แล้วแต่ว่าอยู่ในเขตของ สน. หรือ สภ. หรือตำรวจทางหลวงในกรณีทางหลวงใหญ่

3.              คดีจราจรจะต้องมีการพิสูจน์หลักฐานที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานหรือ สถานีตำรวจที่มีแล็ปเก็บหลักฐาน หากเป็นข้อพิพาททีต้องดูหลักฐานละเอียด

4.              คดีจราจรจะขึ้นศาลอาญาโดยที่ฝ่ายผิดจะต้องรับโทษทางอาญาก่อน และขอให้ชดเชยค่าเสียหายในทางแพ่งฯในศาลเดียวกันไปได้เลย

5.              ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนทางวินัยต่อผู้บัญชาการ และฟ้องคดีอาญาที่สถานีตำรวจหรือตั้งทนายฟ้องเอง หรือร้องเรียนต่อ ปปช. ก็ได้

สรุปแนวทางแก้ไข

                ใช้หลักกฎหมายละเมิด และความผิดต่อทรัพย์ทางอาญา และการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าพนักงาน ซึ่งกรณีนี้การถกเถียงไม่ช่วยอะไรเนื่องจากความผิดทางจราจรต้องใช้กฎหมายเฉพาะ คือ พรบ.จราจรทางบก มาปรับใช้กับข้อเท็จจริงว่ากฎหมายกำหนดความผิดเด็ดขาดให้กับใคร ซึ่งหลัก ทางเอก-ทางโท เป็นกฎหมายเด็ดขาดต้องตัดสินตามกฎหมาย  เจ้าพนักงานต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย หากคู่กรณีไม่พอใจการไกล่เกลี่ย ให้ยืนยันดำเนินคดีต่อไปยังศาล เพื่อให้มีการตัดสินผิดถูก และกำหนดค่าสินไหมทดแทนต่อไป หากเจ้าพนักงานทุจริตร้องเรียนผู้บังคับบัญชาและ ปปช. ได้

 

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
สิ่งที่ขับเคลื่อนโลก คือ เทคโนโลยี การทหาร การค้า และการแพร่ความคิด ความเชื่อ ศาสนา
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังจากรัฐบาล คสช.
ทศพล ทรรศนพรรณ
รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ “ความมั่นคงไซเบอร์” ได้กล่าวอ้างว่า ในปัจจุบันมีภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบหรืออาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการให้บริการหรือการประยุกต์ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต โครงข่ายโทรคมนาคม และมีความรุนแรงก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของบุคคลและชาติ ซึ่งรวมถึงความมั่น
ทศพล ทรรศนพรรณ
ในอีก 10 หรือ 100 ปี โครงการร่วมของ Google และ Facebook ในการปล่อยโดรนส์และบอลลูน เพื่อส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล อาจถูกนับเป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกเนื่องจากโครงการนี้สร้างผลกระทบมหาศาลไม่ว่าจะในแง่เทคโนโลยี เศรษฐกิจ หรือ "การข่าวกรอง" ในการเมืองระหว่างประเทศ
ทศพล ทรรศนพรรณ
ทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจจะใช้ เศรษฐกิจดิจิตอล เป็นตัวขับเคลื่อนประเทศ   วาระแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับยุโรปที่เห็นสัญญาณการล่มของเศรษฐกิจมาตั้งแต่สองทศวรรษก่อนใน Banglemann Report on Digital Economy ซึ่งล้าสมัยไปเยอะแล้ว และนักยุทธศาสตร์รุ่นหลังก็ได้ก้าวข้ามวิธีคิดของเขาไปแล้ว
ทศพล ทรรศนพรรณ
สำหรับคนที่ทำงานประจำต้องเริ่มต้นสัปดาห์ในวันจันทร์อย่างเบื่อหน่าย จนอยากจะหลีกลี้หนีหน้าไปจากสำนักงาน อาจจะเคยบ่นหรือฟังคำบ่นของเพื่อนร่วมชะตากรรมมาไม่น้อย จนถึงขั้นมีบริษัทรับสมัครงานนำมาเป็นคำโปรยว่า หากเบื่อวันจันทร์นักก็หางานใหม่ทำเถอะ   แต่ถ้าย้ายไปแล้วก็ไม่หาย ทำไปหลายปีก็ยังเบื่
ทศพล ทรรศนพรรณ
ทำไม สิทธิการเลือกตั้งจึงเป็นเรื่องพื้นฐานของรัฐ?คงต้องตอบโดยใช้ความรู้อย่างน้อยสองชุด คือ1) กฎหมายเรื่องความเป็น "คน"2) เศรษฐศาสตร์การเมือง เรื่อง เลือกตั้ง
ทศพล ทรรศนพรรณ
จะคืนความสุขให้คนไทย ไม่ง่ายนะครับปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ประชาชนรู้มากขึ้น เห็นข่าวการใช้เงินหรือยุทธศาสตร์ที่วางไว้ยาวนานโดยผู้สูงอายุก็พลอยทำให้คนรุ่นใหม่เครียดมาก  
ทศพล ทรรศนพรรณ
ท่านผู้อ่านคงคุ้นเคยกับสารพัดโหรที่ออกมาทำนายการเมือง และชะตาประเทศกันอยู่เป็นประจำ แต่บทความนี้จะลองพาไปท่องสังคมไทยที่มีกลิ่นไอของไสยศาสตร์เจือปนอยู่แทบทุกหัวระแหง
ทศพล ทรรศนพรรณ
ในปีที่ผ่านมา กระแสที่มาแรงในประเทศไทยและมีอิทธิพลมานานในประเทศพัฒนาแล้วก็คือ Slow Life วิถีการใช้ชีวิตอย่างเชื่องช้า ละเมียดความสุขจากกิจกรรมการบริโภค และผ่อนคลาย แล้วขยายไปสู่กิจกรรมอื่นๆในชีวิตประจำวัน
ทศพล ทรรศนพรรณ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยแห่งชาติ (สกว.) กำหนดหัวข้อจับ “ตามหาอำนาจจีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา” โดยประเทศสหรัฐอเมริกา ให้มุ่งเน้นในประเด็นความมั่นคง/สิทธิมนุษยชนในสหรัฐอเมริกา/TPP/อุตสาหกรรมอาวุธ