Skip to main content

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสื่อสารที่ตัดข้ามผ่านพรมแดนตลอดเวลา และเศรษฐกิจระบบตลาดที่มีพละกำลังมหาศาลจนมิมีรัฐใดทัดทานได้ จนต้องเปิดกำแพงให้สินค้า บริการและผู้คนเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวกกว่ายุคสงครามเย็นที่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนนักคิดไม่น้อยหลุดปากว่า “รัฐชาติลดความสำคัญ” ไปแล้ว

                แต่เมื่อถึงมหกรรมกีฬาระดับโลกอย่างโอลิมปิก เอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ และตอนนี้ก็คือฟุตบอลโลก ก็ดูเหมือนสีสันของธงชาติกลับโบกสะบัดพลิ้วไหวให้คึกคักไปกับภาวะชาตินิยมกลายๆไปด้วย

                ในอารยประเทศ นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่ประชาชนสามารถแสดงออกความคลั่งชาติได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเพราะถือว่าเป็นกิจกรรมบันเทิงส่วนตัวที่ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของผู้อื่น และไม่นำไปสู่การเหยียดหยามเชื้อชาติ   จะเป็นก็แต่เพียงการล้อเล่นเย้ยหยันเพื่อความบันเทิงเท่านั้น โดยมีกติการ่วมกันในใจว่า นี่คือ กีฬา จบแล้วก็เหลือเพียงน้ำใจในฐานะคอกีฬาเดียวกัน 

                แต่หากอารมณ์ไม่จบในสนามลุกลามออกมานอกพื้นที่จำกัด แล้วแสดงออกมาด้วยความรุนแรง ไม่ว่าจะด้วยวาจาเหยียดหยาม อาฆาตมาดร้าย หรือใช้กำลังเข้าทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สินแล้วล่ะก็ อันธพาลเหล่านั้นจำต้องได้รับโทษทัณฑ์จากบ้านเมืองและถูกประณามจากสังคมเป็นแน่แท้

                สิ่งหนึ่งที่ใกล้เคียงและจำต้องพูดเพราะเป็นปัญหาที่เกิดควบคู่กับทุนนิยมแบบโลกาภิวัฒน์นั่นก็คือ การเคลื่อนย้ายของผู้คนในนามของ ผู้อพยพ หรือแรงงานข้ามชาติ ซึ่งกระจายเข้าไปรับงานสกปรก ด้อยศักดิ์ศรี และอันตรายในประเทศที่มีรายได้หรือคุณภาพชีวิตดีกว่า   และในทางกลับกันพลเมืองของประเทศพัฒนาแล้วก็กำลังสูญเสียอาชีพและรายได้เนื่องจากกลุ่มทุนได้ย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศไปแสวงหาต้นทุนราคาถูกในประเทศที่มาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อมต่ำกว่า

                เมื่อคนสองกลุ่มเผชิญหน้ากันบนพื้นฐานของ “การได้เสีย” ย่อมเกิดการเปรียบเทียบและเดียดฉันท์กันขึ้นมาหากไม่อาจวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะการบีบคั้นของทุนข้ามชาติได้อย่างถ่องแท้  โวหาร “แรงงานต่างด้าวเข้ามาแย่งงานคนท้องถิ่น”  หรือ “ผู้อพยพเข้ามาก่อปัญหาสังคม”  ที่ดังก้องย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการขาดไร้จินตนาการในการพิเคราะห์ปัญหาอย่างทะลุปรุโปร่ง

                สิ่งที่เกิด ณ ขณะปัจจุบันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนของเครื่องจักรขนาดใหญ่ในการเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบการผลิต แลกเปลี่ยน บริโภคภายใต้ตรรกะของทุนนิยมแบบตลาดที่ได้กระจายเข้าไปอยู่ในชีวิตจิตใจของใครหลายคน   ดังปรากฏการสร้างภาพฝันเรื่องการ ลงทุนโดยไม่ต้องลงแรง เป็นอิสระจากการเข้างานเป็นเวลาตอกบัตร หรือติดแหง็กอยู่ในที่ทำงาน และแน่นอนจะต้องรวยเร็วด้วย เพื่อจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขไปด้วยการกิน เที่ยว และเอ็นเตอร์เทนตัวเองด้วยการโชว์ออฟผ่านสื่อ

                ภาพฝันเหล่านี้ได้ผลักดันให้เกิดงานใหม่ๆที่กระจายไปตามครัวเรือน และร้านกาแฟอย่างรวดเร็ว แต่เดิมที่ผู้ประกอบการต้องลงทุนสร้าง/เช่าสำนักงานเพื่อให้ทุกคนมาทำงานร่วมกันแล้วควบคุมตารางเวลางานเพื่อจ่ายค่าจ้างตามเวลาที่กำหนดไว้ชัดเจน   กลายเป็นคนรุ่นใหม่ยินดีรับงานไปทำเอง บนค่าใช้จ่ายของตัวเอง และแบกรับภาระงานเข้าไปผสมกับเวลาที่ใช้ชีวิตประจำวันหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ได้ผลงานออกมาตามเป้าหมาย โดยรายได้ก็ต้องบี้กับคู่แข่งรายอื่นที่ล่องลอยอยู่ในตลาดแรงงานอิสระอีกมากมายเช่นกัน

                คนรุ่นใหม่อีกไม่น้อยก็ใช้ทักษะทุกอย่างที่ตนมีผลักดันให้ตนขึ้นเป็นผู้ประกอบการขายสินค้าและบริการออนไลน์โดยไม่ต้องอยู่ใต้นายจ้างคนไหนแต่ข้อมูลที่ตนผลิตและเรียกลูกค้าเข้ามาใช้เวลาในสื่อโซเชียลเหล่านั้นเข้ากระเป๋าเจ้าของแพลตฟอร์มเต็มๆ 

เช่นเดียวกับ ผู้รับจ้างขับรถภายใต้แอพพลิเคชั่น หรือการนำที่อยู่อาศัยของตนมาปล่อยเช่าในเว็บไซต์ระดับโลก  โดยที่ต้องแบ่งรายได้ส่วนหนึ่ง และข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดให้กับผู้ประกอบการที่อยู่จุดใดของโลกก็ไม่อาจทราบได้

ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดต้องการสะท้อนว่า “ไม่มีของฟรีในโลกฉันใด ไม่มีงานประจำก็ไม่มีสวัสดิการฉันนั้น”   ความอิสระและความสุขที่เกิดจากการไร้เจ้านายไม่ผูกติดกับสถานประกอบการนั้น แท้จริงคือ การอยู่ในระบบการจ้างงานที่ไม่มั่นคง ต้องแบกรับความเสี่ยงในชีวิตและสุขภาพเอาเอง และเมื่อยังไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ในเร็ววันก็ยิ่งไปเพิ่มความเครียดสะสมจนกลายเป็นความเครียดและซึมเศร้านั่นเอง

ประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาเป็นทศวรรษในประเทศพัฒนาแล้ว จนคนท้องถิ่นที่สูญเสียงานและคนรุ่นใหม่ที่รู้สึกชีวิตเสี่ยง หันไปชี้เป้าที่คนอพยพแรงงานข้ามชาติว่าเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์   โดยที่ไม่ได้มองไปยังสาเหตุที่แท้นั่นคือ การขูดรีดของกลุ่มทุนข้ามชาติ ผสมโรงด้วยการผลักภาระในการดูแลสวัสดิการแรงงานทั้งจากผู้ประกอบการและรัฐ นั่นเอง

ความเจ็บแค้นนี้นำไปสู่ภาวะเหยียดผู้ที่มาใหม่แล้วไปเร้าอารมณ์คลั่งชาติที่สะท้อนผ่านการตัดสินใจทางการเมืองจำนวนมากที่น่าตกใจ เช่น การลงคะแนนเอาสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป การเลือกผู้นำขวาจัดที่มีนโยบายชาตินิยมรุนแรง ซึ่งล้วนแต่สร้างปัญหาเพิ่มเติม โดยที่ไม่ได้แก้ปัญหาต้นทางที่เกิดจากระบบทุนนิยมที่มิได้กระจายโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยการผลิตอย่างเท่าเทียม และไม่มีระบบเปลี่ยนผลกำไรของกลุ่มทุนให้ย้อนมาเป็นสวัสดิการของคนในสังคม

พลเมืองโลกควรควบคุมความคลั่งชาติให้อยู่ในสนามก่อนเกมส์จบเท่านั้น

 

ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
ก่อนหน้านี้สัก 4-5 ปี มีการพูดถึงการพัฒนาประเทศโดยใช้เรื่อง “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness - GNH)  มาแทนเป้าหมายด้านการเพิ่ม “ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Product - GNP) โดยมีการหยิบยกกรณี ภูฐาน มาพูดกัน   แต่หลังจากที่มีรายงานข่าวสถานการณ์ความเปลี่ยนแ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การท่องเที่ยวถือเป็นกิจกรรมที่ทุกประเทศสนใจและให้ความสำคัญมาก จนมีบรรษัทข้อมูลอย่าง Statista และองค์การท่องเที่ยวระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ ออกรายงานสรุปข้อมูลเป็นประจำทุกปี โดยสามารถถ้าสรุปง่ายๆ คือ 
ทศพล ทรรศนพรรณ
เหตุวินาศกรรมในเมืองหลวงโดยเฉพาะย่านธุรกิจที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของระบบทุนนิยมถือเป็นสิ่งที่รัฐทั้งหลายไม่ปรารถนามากที่สุด เนื่องจากความเสียหายสูงเพราะมีร้านค้าและผู้คนแออัดหนาแน่น แต่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือ สภาพจิตใจของผู้คนที่จับจ่ายใช้สอยและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเคยชินในบริเวณนั้น
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตั้งแต่มาประกอบวิชาชีพนี้ สิ่งที่เห็น คือ ความเหนื่อยของคนรุ่นใหม่ต้องขยันตั้งใจเรียน ทำโน่นทำนี่ กระตือรือล้น ทะเยอทะยาน ให้ได้อย่างที่ คนรุ่นก่อนคาดหวังพอทำพังก็อยู่ในสภาพใกล้ตาย เพราะถูกเลี้ยงมาแบบ "พลาดไม่ได้"
ทศพล ทรรศนพรรณ
ประเด็นมาแรงของยุคนี้เห็นจะไม่พ้นสตาร์ทอัพนะครับ (Start-Up Business) เนื่องจากเป็นแนวทางที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมทุนนิยมที่รัฐต้องการจะผลักดันประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง หรือการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นเพื่อส่งออก มาเป็นการพัฒนาธุรกิจที่มีนวัตกร
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนจบมหาวิทยาลัย ทำงานออฟฟิศ คือ กรรมกร?ไร้ตัวตน กว่า พวกเซเล็ปแถมรายได้ต่ำ กว่า คนหาเช้ากินค่ำ หาบเร่แผงลอย รับจ้างอิสระ วิเคราะห์ความคิด สศจ. บทสนทนากับ นิธิ เกษียร ชัดเจน
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชนผู้เสียภาษีไม่น้อย คือ ทำไมกองทัพไทยจึงต้องจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” ตอนนี้ และซื้อของ “จีน” ด้วยเหตุใด
ทศพล ทรรศนพรรณ
การศึกษาสายสังคมศาสตร์มนุษย์ศาสตร์ ณ ต่างประเทศของนักศึกษาไทยในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องตั้งคำถามให้มากว่า เรียนไปเพื่ออะไร เรียนแล้วได้อะไร ความรู้หรือทักษะที่ได้จะเป็นประโยชน์อะไรกับสังคม หรือครอบครัว   เนื่องจากนักเรียนแทบทั้งหมดใช้เงินทุนจากภาษีของรัฐ หรือทุนของครอบครัว&nbs
ทศพล ทรรศนพรรณ
กระแสการนึกย้อนคืนวันแห่งความหลังเมื่อครั้งยังเยาว์วัยในช่วงปี ค.ศ.1990-1999 หรือ ปี พ.ศ.2533-2543 ของผู้คนร่วมสมัยในตอนนี้สะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง
ทศพล ทรรศนพรรณ
รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปีนี้มอบให้แด่ ศาสตราจารย์ชอง ติโรล (Jean Tirole) แห่งมหาวิทยาลัยตูลูส ประเทศฝรั่งเศส    องค์กรให้เหตุผลอย่างชัดเจว่าเป็นผลจาก การวิเคราะห์อำนาจเหนือตลาดของผู้เล่นน้อยรายที่มักจะมีอำนาจเหนือตลาด ประสิทธิภาพของกลไกตลาดจึงเสียหาย และมีข้อเสนอในงานวิจัยของเขา