Skip to main content

บทความนี้จะไม่พูดถึงเหตุการณ์ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 เนื่องจากการแสดงความคิดเห็นต่อต้านการลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญในปัจจุบันอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย ไม่ว่าเราจะเห็นต่างและไม่ยอมรับกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างไร ก็ห้ามแสดงความคิดเห็น

                ส่วนจะให้สนับสนุนก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ จึงของด เพราะส่วนตัวจะไปลงมติไม่รับทั้งรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงอยู่แล้ว ขอท่านผู้อ่านอย่าได้ปฏิบัติตาม

                การลงประชามติเป็นกระบวนการวัดคะแนนความเห็นของประชากร โดยสามารถกำหนดได้ว่า “ใครมีสิทธิลงคะแนน” หรือ “ลงคะแนนเรื่องอะไร” รวมไปถึง “ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร”

                การทำประชามติระดับชาติในทางหนึ่งเป็นวิธีการยุติความขัดแย้งแหลมคมของคนในชาติ หรือบางครั้งนำไปสู่การแบ่งแยกรัฐ หรือการสร้างรัฐใหม่  เพราะฉะนั้น กระบวนการและผลการลงคะแนนจึงมีผลต่ออนาคตอย่างแน่นอน ดังปรากฏใน การทำประชามติของสหราชอาณาจักร Brexit 2016

                คะแนนที่ออกมาสร้างความประหลาดใจให้คนทั่วโลกโดยเฉพาะคนบริติชเอง จนถึงขนาดนำไปสู่การเรียกร้องให้ลงคะแนนกันอีกครั้ง เมื่อย้อนไปดูว่าใครโหวตให้ออก และโหวตเพราะอะไร จะพบสิ่งที่น่าสนใจว่า เหตุผลเชิงชาตินิยม และกระแสการต่อต้านผู้อพยพ คนชาติพันธุ์อื่นที่ดูไม่เป็น บริติชดั้งเดิม  โดยอาจไม่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมสหภาพยุโรปด้วยซ้ำ

                เมื่อบวกกับแคมเปญหาเสียงของ โดนัลด์ ทรัพป์ ที่ต้องการขับไล่ผู้อพยพออกจากสหรัฐ ยิ่งชัดเจนว่า ปัญหา “การเหยียดสีผิว/ชาติพันธุ์” หลบซ่อนยังมีอยู่ แม้จะแสดงออกตรงๆ โต้งๆ ไม่ได้เพราะเสี่ยงจะผิดกฎหมาย หรือโดนสังคมประณาม แต่การลงคะแนนเสียงแบบลับ กลายเป็นทางออกของคนเหล่านี้ไป

                ปัญหาจริงๆ น่าจะอยู่ที่การกำหนด สิทธิ/หน้าที่ ใน "รัฐสวัสดิการ" เสียมากกว่าอ่ะครับ เพราะอย่างที่เห็นว่า ทหาร ตำรวจ หรือ รปภ. ก็เต็มไปด้วยคนอพยพหรือลูกหลานผู้อพยพ มาโดยตลอด

 

                สิ่งที่ไม่พูดจริงๆ คือ แนวโน้มของคนรุ่นลูกหลานของ Baby Boomer ที่เสวยสุขจากลัทธิอรรถประโยชน์นิยมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็นในยุโรป ที่ค่อนข้างสุขสบาย และมีเสรีภาพที่จะใช้ชีวิตแบบชิลๆ มากกว่า ที่ทำให้ อาชีพ งานช่าง ร้านค้า งานรับจ้าง และธุรกิจ SMEs ที่เป็นงานเหนื่อยหนักเริ่มไปอยู่ในมือผู้อพยพมากขึ้นๆ จนคนยูโรเปียนท้องถิ่นเริ่มวิตก

                แต่ในทางตรงกันข้ามก็มีผู้อพยพที่ปรับตัวไม่ได้แล้วกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายของกลุ่มก่อการร้าย ก็กลายเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างตั้งใจของรัฐ คือ ไม่ให้เขามีงานทำแย่งโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ผลักเขาเป็นอาชญากร ผู้ก่อการร้าย เพื่อสร้างความชอบธรรมให้การมี ทหาร ตำรวจ อุตสาหกรรมความมั่นคง/รักษาความปลอดภัย

 

In peaceful democratic society, number matters?!!! (ในสังคมสันติมีประชาธิปไตย จำนวนนับมีความหมาย) ประเด็นจำนวนประชากรที่เชื่อมโยงกับปริมาณชาติพันธุ์ต่างๆที่มีอำนาจในการกำหนดอนาคตสังคมนั้นๆ

 

                ปัญหาที่เป็นรากฐานของการแสดงความรังเกียจผ่านการลงคะแนนเสียง ไม่น่าจะเกิดจากการมีผู้อพยพมุสิลมในยุโรปมากขึ้น แต่น่าจะอยู่ที่ คนท้องถิ่นชาวคริสต์เกิดน้อยลงเรื่อยๆ มากกว่า นี่ยังไม่พูดถึง คนยุโรปที่เป็น Non-Religious มากขึ้นเรื่อยๆ หรือ การไม่สามารถหลอมรวม "คนอื่น" หรือ "ผู้มาใหม่/เกิดใหม่" ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคม "ยุโรเปียน" มากกว่า
 

                ผมไม่ได้บอกว่า เสรีภาพในทางเพศหรือการมี/ไม่มีครอบครัว หรือ LGBTIQ เป็นปัญหาด้วยนะ ผมสนับสนุนการอยู่ร่วมกันของคู่หลากหลายทางเพศและรับบุตรบุญธรรมจากคนที่มีลูกแต่ไม่พร้อม ด้วยครับ

 

                ปัญหาจริงๆ น่าจะอยู่ที่การกำหนด สิทธิ/หน้าที่ ใน "รัฐสวัสดิการ" เสียมากกว่าอ่ะครับ เพราะคนที่ต้านผู้อพยพพอไล่เหตุผลไปจะไปสุดตรงคำถามที่ว่า  "เราจ่ายเพื่อช่วยเหลือคนอื่นไปทำไม?"

                ในสังคมเขาก็เป็นคำถามที่ต้องตอบให้ดีล่ะครับ เพราะโครงสร้างงบประมาณ มาจาก ภาษีทางตรง มากกว่า ภาษีทางอ้อม กลับหัวกลับหางกับรัฐไทย ที่งบประมาณส่วนใหญ่มาจากภาษีทางอ้อม (ยิ่งมีคนเข้ามามากผลิตมากบริโภคมาก รัฐยิ่งจัดเก็บรายได้เยอะ – รวมถึงการผลิต/บริโภคของแรงงานต่างชาติ)
 

                ถ้าจำนวนผลประโยชน์ที่คนอพยพจ่าย กับ ผลประโยชน์ที่ผู้อพยพได้ มันสมดุลย์ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

แต่ก็นั่นล่ะครับ เขาไม่ได้คิดกันแค่ "จำนวน" ง่ายๆ แบบนี้

เพราะมันมีอะไรที่มากกว่า "ตัวเลข" กระมังครับ

 

                เยอรมนีพร้อมและเปิดรับผู้อพยพมากกว่ารัฐอื่น เพราะมีประสบการณ์ในการรับผู้อพยพปริมาณมหาศาลมาเมื่อไม่นานมานี้ คือ ชาวเยอรมันตะวันออก เพื่อนร่วมชาติ ครับ

เขาคงเห็นแหละว่ามีแต่ได้กับได้ เมื่อเทียบกับมหาอำนาจคู่แข่งที่เป็นประเทศผู้อพยพเช่นกัน อย่างสหรัฐอเมริกา

 

                ทรัมพ์นี่ก็เป็นปฏิกิริยาของ กลุ่มผู้ไม่มีสำนึกทางประวัติศาสตร์ชาติอเมริกัน นะครับ เพราะ อเมริกันชน ก็คือ ผู้อพยพ โดยการคาดการณ์ว่าปี 2030 ประชากรที่ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาแม่จะเกิน 50%


                ตอนประชามติ Brexit แล้วฝ่ายอยู่ (Remain) แพ้นั้น เพราะ คนรุ่นใหม่ คนรุ่น Digital ไม่ไปลงคะแนน แต่คนรุ่นเก่า Analog ไปลงคะแนนออก (Leave) (ทั้งที่โพลก่อนลงคะแนนฝ่าย Remain นำมา ทั้งในโพลอินเตอร์เน็ต และทางโทรศัพท์) และมีวิจัยด้วยว่า คนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงเทคโนโลยีสื่อสาร มักจะไม่ไปลงคะแนนเสียง แต่จะเสียเงินโหวตรายการเรียลลิตี้ หรือการทำโพลโหวตทางเทคโนโลยีสื่อสาร มากกว่า คือ เน้นการหยั่งเสียงผ่านเทคโนโลยีสื่อสารมากกว่า  แต่รัฐยังเป็น อนาล็อก อยู่นะครับ


                ทั้งหมดนี้ไม่ได้กดดันใครให้ไปโหวตยังไง แค่เล่า งานสายเทคโนโลยีกับความเคลื่อนไหวทางสังคม ให้ฟังครับ

 

ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องล่าสุดที่ใครอาจคิดว่าไกลตัว แต่มันเข้ามาใกล้ตัวเรากว่าที่หลายคนคิด ใช่แล้วครับ แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย และจะมีจำนวนมากขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจกับประเทศรอบด้าน   บางคนอาจคิดไปว่าคนต่างด้าวเข้ามาแย่งงานคนไทย แต่คน
ทศพล ทรรศนพรรณ
การบังคับใช้กฎหมายของรัฐเหนือดินแดนหลังหมดยุคอาณานิคมนั้น ก็มีความชัดเจนว่าบังคับกับทุกคนที่อยู่ในดินแดนนั้น  ไม่ว่าคนไทย จีน อาหรับ ฝรั่ง ขแมร์ พม่า เวียต หากเข้ามาอยู่ในดินแดนไทยแล้วก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย ดุจเดียวกับ “คนชาติ” ไทย   แต่ความยากลำบากเกิดขึ้นเมื่อปัจจุบันการข้ามพรมแดนย
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้จะทำให้ทุกท่านเข้าใจแจ่มแจ้งเลยนะครับว่า “เงินทองมันไม่เข้าใครออกใคร” จริงๆ ให้รักกันแทบตาย ไว้ใจเชื่อใจกันแค่ไหนก็หักหลังกันได้ และบางทีก็ต้องคิดให้หนักว่าที่เขามาสร้างความสัมพันธ์กับเรานั้น เขารักสมัครสัมพันธ์ฉันคู่รัก มิตรสหาย หรืออยากได้ทรัพย์สินเงินผลประโยชน์จากเรากันแน่  
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังจาก คสช. ได้เรียกคนไทยในต่างแดนมารายงานตัว และมีความพยายามนำคนเหล่านั้นกลับมาดำเนินคดีในประเทศทำให้เกิดคำถามว่า กฎหมายใช้ไปได้ถึงที่ไหนบ้าง?  ขอบเขตของกฎหมายก็เชื่อมโยงกับองค์ประกอบของ รัฐยังจำกันได้ไหมครับ ว่า รัฐประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องต่อมาคงเคยผ่านหูผ่านตาหลายท่านกันมามากแล้วนะครับ นั่นคือ การออกโปรโมชั่นต่างๆของบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือสองสามเจ้าที่แข่งกันออกมายั่วยวนพวกเราให้หลงตามอยู่เรื่อยๆ   ผมเองก็เกือบหลงกลไปกับภาษากำกวมชวนให้เข้าใจผิดของบริษัทเหล่านี้อยู่หลายครั้งเหมือนกันนะครับ ต้องยอมรับเลยว่าคนที่
ทศพล ทรรศนพรรณ
หลังจากที่เครือข่ายเฟซบุคล่มในประเทศไทยเป็นเวลาเกือบชั่วโมงจนเพื่อนพ้องน้องพี่เดือดดาลกัน    ตามมาด้วยข่าวลือว่า "คสช. จะตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต และไล่ปิดโซเชียลเน็ตเวิร์ค" นั้น  สามารถอธิบายได้ 2 แนว คือ1. เป็นวิธีการที่จะเอาชนะทางการเมืองหรือไม่ และ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เวลาคนทะเลาะกัน จะหาทางออกอย่างไร ? 
ทศพล ทรรศนพรรณ
กฎหมายมีผลตั้งแต่วันที่ประกาศใช้ กฎหมายที่มีผลร้ายห้ามมีผลย้อนหลัง  การออกกฎหมายมาลงโทษการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตจะทำไม่ได้ กฎหมายสิ้นผลเมื่อประกาศยกเลิก 
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรามักได้ยินคนพูดว่า ดูละครแล้วย้อนมองตน เพราะชีวิตของคนในละครมักสะท้อนให้เห็นแง่มุมต่างๆในชีวิตได้ใช่ไหมครับ แต่มีคนจำนวนมากบอกว่าชีวิตใครมันจะโชคร้ายหรือลำบากยากเย็นซ้ำซ้อนแบบตัวเอกในละครชีวิตบ้างเล่า  แต่เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ทำให้ผมมั่นใจว่าเรื่องราวในชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย หากมันจะทำให
ทศพล ทรรศนพรรณ
ภัยใกล้ตัวอีกเรื่องที่ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ไม่อยากเจอคงเป็นเรื่องลึกๆ ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวซึ่งเป็นความในไม่อยากให้ใครหยิบออกมาไขในที่แจ้ง แม้ความคิดของคนในสังคมเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์และความบริสุทธิ์จะเปลี่ยนไปแล้ว คือ เปิดกว้างยอมรับกับความหลังครั้งเก่าของกันและกันมากขึ้น &nbsp
ทศพล ทรรศนพรรณ
                ประเทศไทยประกาศต่อประชาชนในประเทศว่าจะรับประกันสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และประกาศต่อโลกว่าเป็น รัฐประชาธิปไตย มีกฎหมายใช้จัดการความขัดแย้งอย่างยุติธรรม รวมไปถึงป้องกันการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐ   แต่การประกาศใช้กฎอัยการศึกได้ทำลายสิทธ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของน้องคนหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตได้ทำให้ครอบครัวเค้าสูญเสียทุกอย่างไป   น้องได้ลำดับเรื่องราวให้ฟังว่า