Skip to main content

การศึกษาสายสังคมศาสตร์มนุษย์ศาสตร์ ณ ต่างประเทศของนักศึกษาไทยในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องตั้งคำถามให้มากว่า เรียนไปเพื่ออะไร เรียนแล้วได้อะไร ความรู้หรือทักษะที่ได้จะเป็นประโยชน์อะไรกับสังคม หรือครอบครัว   เนื่องจากนักเรียนแทบทั้งหมดใช้เงินทุนจากภาษีของรัฐ หรือทุนของครอบครัว   ดังนั้นความคุ้มค่า อรรถประโยชน์ และการชั่งวัดเรื่องการเสียโอกาสและสิ่งที่จะได้รับตอบแทนมาจึงเป็นสิ่งสำคัญ

                ผู้เขียนขอเปรียบเทียบระหว่างการศึกษากลุ่มประเทศอังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย กับ ภาคพื้นทวีปยุโรป  โดยลองยกการศึกษากฎหมายมาเป็นกรณีตัวอย่าง เนื่องจากในสาขานี้มีผู้ไปศึกษาต่อเป็นจำนวนมาก   และการได้ใบปริญญาทางกฎหมายเป็นใบเบิกทางสำคัญสู่อาชีพสำคัญ ที่ทำให้คนจบเมืองไทยโดนกีดกันโอกาสการได้ทำงานในอาชีพ ผู้พิพากษา อัยการ ซึ่งมีการเปิดสนามสอบเล็ก และจิ๋ว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า อัตราการแข่งขันต่ำกว่า การสอบสนามใหญ่เป็นอย่างมาก

                อย่างไรก็ดีการศึกษากฎหมายย่อมสะท้อนให้เห็นการเรียนในสาขาวิชาอื่นด้านสังคมศาสตร์มนุษย์ศาสตร์ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากมีลักษณะเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง หรือในบางมหาวิทยาลัยการเรียนกฎหมายสังกัดอยู่ในคณะเดียวกับสาขาวิชาอื่น   และในปัจจุบันการพยายามศึกษากฎหมายโดยเชื่อมโยงกับศาสตร์อื่นๆ เริ่มเป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย   โดยที่ในภาคพื้นยุโรปการศึกษากฎหมายมิได้ตัดขาดจากการศึกษาความรู้อื่นๆที่เป็นฐานความคิดของกฎหมายนั้นๆ เช่น กฎหมายธุรกิจก็ต้องรู้ที่มาทางเศรษฐกิจ กฎหมายมหาชนก็ต้องศึกษาหลักรัฐศาสตร์ กฎหมายสิทธิมนุษยชนก็ต้องมีมุมมองแบบสังคมวิทยามานุษยวิทยา เป็นต้น

                สิ่งแรกที่ต้องตระหนักเป็นอย่างมากโดยเฉพาะที่จะไปเรียนในระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท และเอก) โดยเฉพาะแบบที่ต้องไปทำวิทยานิพนธ์กับอาจารย์ที่ปรึกษาในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ก็คือ ปัจจุบันระบบการศึกษาในต่างประเทศแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งซึ่งออกแบบการให้การศึกษาแบบอุตสาหกรรม   ความคาดหวังเรื่องจิตวิญญาณความเป็นครู การเรียนการสอนแบบโลกตะวันออกที่มีการดูแลเอาใจใส่มาก ความผูกพันแบบครูกับศิษย์นั้น เป็นสิ่งที่ต้องตรวจสอบล่วงหน้าว่า อาจารย์ที่จะไปหานั้นเป็นคนอย่างไร แต่ที่อันตรายกว่า คือ ต้องตรวจทานว่า อาจารย์จะอยู่ประจำที่มหาวิทยาลัยนั้นอีกนานแค่ไหน

                นักศึกษาไทยจำนวนมากที่เดินทางไปศึกษาที่อังกฤษ ออสเตรเลีย และอเมริกา พบว่า อาจารย์จำนวนมากที่ตนเล็งไว้ให้เป็นที่ปรึกษา หรืออยากจะไปเรียนเพื่อดูดซับวิชานั้น ได้ย้ายมหาวิทยาลัยไปแล้ว ลาออกกะทันหัน ไปรับตำแหน่งใหม่ที่อื่น หรือบางกรณีลาไปทำงานวิชาการที่อื่น เช่น แลกเปลี่ยน วิจัย ลาพักเพื่อเขียนหนังสือ   รายละเอียดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะการไปเรียนคือการไปตามหาปรมาจารย์ มิใช่การไปใช้ ห้องสมุดหรืออินเตอร์เน็ตของมหาวิทยาลัยเท่านั้น   การโยกย้ายตำแหน่งของอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นไปตามระบบทุนนิยมที่มหาวิทยาลัยต่างๆทุ่มซื้อ คนดังไปประดับองค์กร เพื่อสร้างภาพลักษณ์ และผลงาน ในการไต่อันดับโลก ไม่ต่างอะไรกับทีมฟุตบอลออาชีพที่ทุ่มซื้อ นักฟุตบอลระดับซุปเปอร์สตาร์เพื่อเพิ่มยอมดขายเสื้อและของที่ระลึก และเพิ่มผลงานของทีม   และการซื้อตัวผู้จัดการก็มีให้เห็นประปราย เช่น อาจารย์ที่เป็นระดับผู้บริหารย้ายไปรับตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยอื่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อนักศึกษาที่กำลังทำวิทยานิพนธ์ กำลังจะมาทำด้วย หรือจะมาเรียนเพื่อดูดวิชา

                ถัดมาเป็นเรื่อง “เนื้อหา” ที่จะได้จากการศึกษา ปัจจุบันฐานข้อมูลจำนวนมากได้ย้ายไปอยู่บนอินเตอร์เน็ต ทั้งในรูปของหนังสือ บทความ ที่มีการส่งเข้าไปอยู่ในฐานข้อมูลแบบเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยก็ได้ลงทุนในส่วนนี้สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก ขอเพียงผู้ศึกษารู้ประเด็น และมีความสามารถในการค้นหา ก็เข้าถึงข้อมูลได้ไม่ต่างจากคนที่ไปเรียนในต่างประเทศ   ยิ่งไปกว่านั้นบางมหาวิทยาลัยมีการแสดงรายละเอียดของเนื้อหา และโครงสร้างหลักสูตร ประเด็นสำคัญจนสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง   ที่พูดอย่างนี้เนื่องจากเมื่อไปเรียนจริง การศึกษาแบบ Student-Centered ก็มีลักษณะการค้นคว้าด้วยตัวเอง อาจารย์เพียงชี้แนะ แต่ไม่มาป้อนให้แบบอาจารย์ในประเทศไทยแน่ๆ มากที่สุดก็มีวิชาสัมมนาที่อาจารย์จะมาแนะนำ ชี้แนะ ให้ความเห็นเพื่อการศึกษาเพิ่มเติม   การบรรยายมีบ้างแต่ไม่ใช่วิธีการหลักในการศึกษาอีกต่อไป  

สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนนั้นมาจากอาจารย์ต้องใช้เวลาจำนวนมากไปกับการผลิตผลงานวิชาการเพื่อเพิ่มแต้มให้กับมหาวิทยาลัย และดึงดูดงบวิจัย และงบประมาณจากภาครัฐ เพราะมหาวิทยาลัยต้องยืนด้วยตัวเองโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในอังกฤษ ออสเตรเลีย อเมริกา ซึ่งแนวทางนี้มหาวิทยาลัยในไทยหลายๆแห่ง พยายามจะนำมาใช้แต่ยังมีความลักลั่น กล่าวคือ อยากจะเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย แต่ยังให้อาจารย์มีภาระ “สอน” เป็นจำนวนมาก   ซึ่งมหาวิทยาลัยในต่างประเทศจัดการโดยเลือกให้อาจารย์สอนน้อยลง มีเวลาอ่านหนังสือ ทำวิจัย และเขียนหนังสือมากขึ้น  แต่ผลก็เกิดกับนักศึกษา คือ มีเวลาในชั้นเรียนกับอาจารย์น้อยลงมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศไทย                        

แต่ระบบมหาวิทยาลัยรัฐสวัสดิการในภาคพื้นทวีปยุโรปมีความแตกต่างในแง่ที่ว่า มหาวิทยาลัยเป็นบริการสาธารณะซึ่งอยู่ภายใต้การจัดการของรัฐ เพื่อประกันสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงการศึกษา ระบบธุรกิจการศึกษาแบบทุนนิยมเต็มรูปแบบยังน้อยกว่าที่กล่าวไปโลกภาษาอังกฤษ   ดังนั้นจึงเห็นข่าวมหาวิทยาลัยชั้นนำ ที่มีความเชี่ยวชาญในบางศาสตร์ ตัดตัวเองออกจากการจัดอันดับระดับโลก เนื่องจากการบริหารจัดการไม่เอื้อให้ต่อสู้แบบมหาวิทยาลัยเชิงธุรกิจ ดูดคนดังไม่ได้ ไม่อาจจ้างอาจารย์มานั่งเขียนงานโดยไม่ต้องสอน หรือให้อาจารย์สอนน้อยก็อันตรายเพราะอาจโดนร้องเรียนจากนักศึกษาซึ่งเป็นผู้รับบริการ   ประเด็นนี้น่าสนใจเนื่องจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์(ทราบกันดีว่าเป็นฝ่ายซ้าย นักศึกษาที่สนใจแนวสังคมนิยม แรงงานจะไปเรียนกันมาก) จะมีการสอนและบรรยายเยอะมาก เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่น  อาจมีสาเหตุมาจากประเด็นวิญญาณของรัฐสวัสดิการ และเกรงว่านักศึกษาฝ่ายซ้ายอาจประท้วงได้ หากไม่คุ้มกับเงินจำนวนมากที่ต้องจ่ายและกู้ยืมมาเรียน   เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดใน มหาวิทยาลัยบริสตอลในปี 2553-54 ที่นักศึกษาปาไข่ใส่รถเสด็จของเจ้าฟ้าชายชาร์ล เนื่องจากรัฐบาลจะตัดงบประมาณด้านการศึกษาแต่ไม่ตัดงบฯของราชวงศ์ (มหาวิทยาลัยฝ่ายซ้ายอีกเช่นกัน) อนึ่งกิจกรรมของนักศึกษาฝ่ายซ้ายเข้มแข็งและเปิดเผยมากในอังกฤษ

เมื่อถามว่าเรียนอะไร จะเห็นได้ชัดว่า โลกของภาษาอังกฤษซึ่งมีระบบกฎหมายคอมมอนลอว์เป็นกรอบคิดหลัก จึงเน้นไปที่การสร้าง “ข้อถกเถียง” และการโต้แย้งกันในเรื่องนั้นๆ เพื่อให้เห็นว่าในประเด็นที่ศึกษามีคนคิดไว้ว่าอย่างไร จะหาข้อโต้แย้งของนักคิดทั้งหลายมาสนับสนุนน้ำหนักในข้อถกเถียงของตนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตาม “ธง” ที่ตนวางไว้ได้อย่างไร เนื่องจากระบบคอมมอนลอว์ การเถียงกันในศาล การเถียงกันในรัฐสภา หรือแม้แต่การโต้กันระหว่างศาลกับรัฐสภา ถือเป็นสาระสำคัญของการ สร้างกฎหมาย ตีความกฎหมาย และสู้เพื่อชัยชนะแห่งคดี   จึงถนัดการ “ถกเถียง”

ต่างจากระบบซิลวิลลอว์ของภาคพื้นยุโรปมีรากฐานความคิดจากพัฒนาการทางสังคมการเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งต่อเนื่องมานานหลายร้อยปี จนมีการพิสูจน์ทฤษฎีและหลักการบางอย่างจนเกิด “กติกา” ซึ่งกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าสังคมจะยึดถือแนวทางนี้ เมื่อมีมีความขัดแย้งก็จะควักเอาหลักการนี้มาตัดสิน   ดังนั้นการศึกษาในภาคพื้นยุโรปจึงเน้นไปที่การแสวงหาจุดกำเนิดทางความคิด ปรัชญา และเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อใช้เป็นกรอบหลักในการตีความกฎหมาย วินิจฉัยข้อเท็จจริง และการสร้างกฎหมาย จึงถนัดการ “วิเคราะห์ และค้นหา”

จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดในโลกภาษาอังกฤษจึงมีคนทยอยเลิกศึกษาในระบบ เพราะการถกเถียงนั้นเกิดขึ้นได้ในประสบการณ์จริงของการทำงาน และหากดูปรากฏการณ์ในอินเตอร์เน็ตก็จะเห็นรูปแบบการศึกษาอยู่บนนั้นแล้วนั่นคือ “การถกเถียง” เพียงแต่ไม่ต้องจ่ายแพง และเป็นหนี้อีกบานเมื่อจบการศึกษา ต่างจากภาคพื้นยุโรปที่รัฐเป็นคนจ่ายอุดหนุน

 

ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
หากสังคมไทยมีแนวโน้มจะเป็น สังคมทุนนิยม องค์กร สถาบัน จารีต ต่างๆ เสื่อมลง คนสัมพันธ์ผ่านระบบตลาด แคร์คนอื่นน้อยลง ขาดสำนึกร่วมในความอยุติธรรมทางสังคม หรือ มีสำนึกเชิง “ปัจเจก” มากขึ้นเรื่อยๆ
ทศพล ทรรศนพรรณ
อาจจะดูแปลกประหลาดไปสักหน่อยสำหรับบางท่านเมื่อพูดว่ากฎหมายได้รับรอง “สิทธิที่จะพักผ่อน” ไว้เป็นสิทธิมนุษยชนประการหนึ่ง เพราะคนไทยถือว่าการขยันตั้งใจทำมาหากินหามรุ่งหามค่ำเป็นศีลธรรมอันดีงามประเภทหนึ่งที่ต้องยึดถือปฏิบัติ หรือต้องแสดงออกให้สังคมเห็นเป็นประจักษ์ และสังคมก็ยกย่องบุคคลสำคัญโดยพิจารณา
ทศพล ทรรศนพรรณ
การลดช่องว่าง ด้วยการใช้อำนาจทางการเมืองมาจัดการเศรษฐกิจรัฐสวัสดิการ สร้างความมั่นคงขจัดความขัดแย้งด้วยแนวทางเจือจานบนพื้นฐานของภราดรภาพป้องกันการลุกฮือของมวลชน 
ทศพล ทรรศนพรรณ
มหกรรมฟุตบอลโลกจบลงไปแล้วด้วยชัยชนะของกองเชียร์ฝ่ายสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะกลุ่มสนับสนุนสิทธิของผู้อพยพ เนื่องทีมแชมป์โลกเป็นการรวมตัวของนักฟุตบอลที่มิได้มีพื้นเพเป็นคนฝรั่งเศส (พูดอย่างถึงที่สุด คือ มิได้มีบุพการีที่เกิดในดินแดนฝรั่งเศส)
ทศพล ทรรศนพรรณ
พอมาอยู่ที่ยุโรป ถึงได้รู้ว่า อิตาลี กับ สเปน มันไม่แคร์เรื่อง ขาดดุลตัวเลขเลย เพราะมันเอาไปลงทุนไว้กับคน รอถอนทุนคืน
ทศพล ทรรศนพรรณ
การเลือกตั้งท้องถิ่นในแคว้นคาตาลุนญ่า ราชอาณาจักรสเปน จะเกิดขึ้นในวันที่ 27 กันยายน 2015 ก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศสเปนประมาณ 2 เดือน ความตื่นตัวของประชาชนสูงเพราะอยู่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ประชาชนได้รับผลกระทบกันไปทั่ว
ทศพล ทรรศนพรรณ
เกษตรพันธสัญญาที่ดี มีการสร้างความร่ำรวยให้กับเกษตรกรจำนวนมาก ลดความไม่แน่นอนในการผลิตและประกันว่ามีตลาดขายสินค้าแน่นอน หากมีปัญหาระหว่างการเพาะปลูก/เลี้ยงสัตว์จะมีการแบ่งรับความเสียหายกับบรรษัท นั้นมีจริง
ทศพล ทรรศนพรรณ
ผลิตบนหลักการอย่างหนึ่ง เช่น ทำกำไรจากกิจการอะไรที่ให้เงินเยอะ ไม่คำนึงถึงชีวิตเพื่อนมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อมบริโภคบนหลักการอีกอย่างหนึ่ง เช่น การอุดหนุนสินค้าที่โฆษณาว่าห่วงใยสังคม หรือแสดงออกว่าเสพกิจกรรมการกุศลอาการ พร่องความดี
ทศพล ทรรศนพรรณ
การพัฒนาชนบทถือเป็นภารกิจของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ยุคต้านภัยคอมมิวนิสต์ที่ต้องการขจัดภัยคุกคาม ด้วยการเปลี่ยนพื้นที่กันดารให้มี น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก เพื่อขับไล่พวกที่ปลุกระดมโดยอาศัยความแร้นแค้นเป็นข้ออ้างให้ฝ่อไปเพราะเชื่อว่าเมื่อ “การพัฒนา” มาถึง คอมมิวนิสต์ก็จะแทรกซึมไม่ได้
ทศพล ทรรศนพรรณ
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ ผมได้ตกเป็นเหยื่อ "ความมักง่าย" เข้าแล้วครับท่านผู้อ่าน
ทศพล ทรรศนพรรณ
            ความสัตย์ซื่อและยึดถือกฎหมายด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า            มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสำนักกฎหมายบ้านเมือง ว่า คำสั่งทั้งหลายของรัฐาธิปัตย์ถือเป็นกฎหมายอย่างเด็ดขาด