Skip to main content

การรวมกลุ่มประเทศในระดับภูมิภาคเพื่อสร้างนโยบาย หรือกฎหมายร่วมกันของรัฐสมาชิก ตั้งอยู่บนหลักความสมัครใจเข้าร่วมของรัฐ โดยส่วนใหญ่ยึดถือเจตจำนงของรัฐเป็นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด   เนื่องจากรัฐทั้งหลายที่เข้ารวมกลุ่มนั้นย่อมีความหวังที่จะบรรลุเป้าหมายความเจริญก้าวหน้า และประโยชน์ของรัฐตนเป็นที่ตั้ง  หลักการสำคัญที่สะท้อนให้เห็นในบางภูมิภาค คือ กิจกรรมใดที่จะผูกพันหรือบีบบังคับให้รัฐต้องยอมตามมติ หรือความเห็นของ ภูมิภาค จะกระทำไม่ได้ถ้าปราศจากความเห็นชอบของรัฐเสียก่อน

            การรวมกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้ยึด “หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในรัฐ” นี้เป็นที่ตั้งเสมอมานับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มตกลงเข้าสร้างความสัมพันธ์กัน   นักกฎหมายระหว่างประเทศและนักการทูตทั้งหลายจึงมักมองภูมิภาคอาเซียนว่าเป็น การรวมกลุ่มทางการทูต เสียมากกว่าการรวมกลุ่มประเทศในระดับภูมิภาคที่มีกฎหมายผูกพันให้รัฐต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันและหลักการสำคัญบางประการ แม้รัฐหรือรัฐบาลของรัฐนั้นไม่ยินยอมก็ตาม

            หากลองเทียบเคียงกับภูมิภาคยุโรปซึ่งเป็นต้นแบบสำคัญในการยกระดับการรวมกลุ่มของรัฐเป็นภูมิภาค(การรวมกลุ่มในทุกภูมิภาคล้วนได้รับอิทธิพลมาจาการรวมกลุ่มของภูมิภาคยุโรปนับจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ก็จะเห็นความแตกต่างที่สำคัญอยู่สองประการ คือ 1. การสร้างความสำพันธ์ระหว่างรัฐโดยใช้กฎหมายเป็นกรอบความสัมพันธ์หลัก 2. พัฒนาการทางวัฒนธรรมที่มุ่งสร้างภราดรภาพระหว่างประชาชนในภูมิภาคมากกว่ายึดติดเกียรติยศศักดิ์ศรีแบบ “ชาตินิยมเหนือสิ่งอื่นใด” (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน บทความของผู้เขียนที่เคยตีพิมพ์ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 4 ก.พ. 2553 หน้า 11 เรื่องการจัดการความขัดแย้งระดับภูมิภาค: จากผลประโยชน์รัฐ สู่ ผลประโยชน์ร่วม)

  1. นโยบายของภูมิภาคยุโรปตั้งอยู่บนฐานจิตสำนึกที่สำคัญประการหนึ่ง คือ   “การยึดถือกฎหมายเป็นใหญ่”   หรือนิติรัฐ(นิติภูมิภาค) นั่นเอง   หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างรัฐสมาชิกจำต้องมีการแสวงหาข้อยุติโดยกระบวนการทางกฎหมาย   อาทิ   การเริ่มต้นด้วยการสร้างพันธะระหว่างรัฐด้วยสนธิสัญญา   การสร้างสภายุโรปเพื่อออกกฎหมายระดับภูมิภาค   การสร้างคณะกรรมการบริหารงานเพื่อบังคับใช้กฎหมายของสหภาพยุโรป   รวมถึงการมีองค์กรชี้ขาดข้อพิพาทต่างๆ   ทั้งนี้ยังมีการบังคับให้ทุกประเทศที่เข้าร่วมต้องรับเอาปฏิญญาสิทธิมนุษยชนยุโรปและรับเขตอำนาจศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปด้วย   ทำให้ข้อพิพาทใดที่เกิดขึ้นมีแนวทางในการแสวงหาจุดร่วมสงวนจุดต่าง โดยอาศัยกติกาที่ประเทศต่างๆมีส่วนร่วมกำหนดมาบังคับใช้ หรือเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป   รวมถึงกรณีที่ภูมิภาคและรัฐต่างๆเห็นว่า รัฐใดละเมิดสิทธิของประชาชนมีลักษณะฝ่าฝืนกฎหมายของภูมิภาค เช่น กฎบัตรสิทธิมนุษยชน   ภูมิภาคก็จะมีบทบาทเข้าแก้ไข หรือเยียวยาความเสียหายให้กับประชาชนด้วย
  2. วัฒนธรรมการระงับข้อพิพาทโดยอ้างอิงกฎหมายถือเป็นการตกผลึกของอารยธรรมตะวันตกที่ผ่านการต่อสู้ช่วงชิงตลอดระยะเวลานับพันปี ไม่ว่าจะเป็นการทำสงครามระหว่างรัฐ สงครามกลางเมือง สงครามปลดแอกหรือสงครามปฏิวัติ   การทำสงครามเป็นจำนวนมากและมีผลกระทบมหาศาลนี้เองได้สร้างบทเรียนคอยย้ำเตือนให้ประชาชนชาวยุโรปตระหนักถึงคุณค่าของสันติภาพ จนอาจจะมากเสียกว่าความภาคภูมิใจในชาติหรือรัฐของตนแบบสุดลิ่มทิ่มประตู   ยิ่งไปกว่านั้นชนชั้นปกครองของยุโรปก็ต้องควบคุมการใช้อำนาจของตนให้มุ่งไปสู่ความร่วมมือ มากกว่าการทำลาย เนื่องจนประชาชนของตนตระหนักรู้และเพรียกหาความมั่นคงในสิทธิเสรีภาพ จนสามารถตรวจสอบควบคุมตัวแทนของตนได้อย่างเข้มแข็ง   หากมีกรณีที่ภูมิภาคและรัฐต่างๆเห็นว่า รัฐใดละเมิดสิทธิของประชาชนจนมีลักษณะกระทบต่อสันติภาพของภูมิภาค เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง   ภูมิภาคก็จะมีบทบาทเข้าแก้ไข หรือเยียวยาความเสียหายให้กับประชาชนด้วย

อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญที่ประชาชนในภูมิภาคอาเซียนอย่างเราๆท่านๆจะต้องร่วมกันตัดสินใจต่อไป คือ เราจะยังคงมีการคงนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายในรัฐสมาชิกประชาคมอาเซียนต่อไป หรือลดความเข้มข้นของหลักการนี้เพื่อนำไปสู่การรวมกลุ่มอย่างเป็นเอกภาพและมีสภาพบังคับในทางกฎหมายให้เกิดการดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ร่วมของภูมิภาค   เพราะหากเราเลือกที่จะมุ่งสู่การรวมกลุ่มอย่างจริงจังประเด็นสำคัญๆในการรวมกลุ่มจะต้องมีสภาพบังคับทางกฎหมายมากขึ้น อาทิ เศรษฐกิจเสรีและเป็นธรรมมากขึ้น การแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนร้ายแรงมิให้กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของสังคม เป็นต้น

            ความซับซ้อนซ่อนเงื่อน จึงอยู่ที่ว่า   เรามองผลประโยชน์ร่วมของใครเป็นสำคัญ ระหว่าง ผลประโยชน์ของประชาชน(ชนชั้นกลางไปจนถึงชนชั้นล่าง) หรือ ผลประโยชน์ของผู้ปกครองหรือกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลต่อผู้ปกครอง (ชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจ)

            หากมองประเด็นสำคัญที่มุ่งผลักดัน และไม่ผลักดันในภูมิภาคอาเซียนจะเห็นถึง นโยบายที่มุ่งผลักดันอย่างชัดเจนของ ผู้ปกครองหรือกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลต่อผู้ปกครอง   อาทิ   การเปิดตลาดการค้าเสรีที่มากขึ้นโดยไม่พูดถึงเรื่องความเป็นธรรมในการแข่งขันของธุรกิจท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายย่อยมากนัก   การปิดประตูประเทศไม่ให้ก้าวก่ายเรื่องการเมืองเมื่อมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในรัฐโดยหยิบหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในเป็นข้ออ้าง

            กฎบัตรอาเซียน แม้เป็นเอกสารทางกฎหมายที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน และได้กล่าวถึงความเป็นธรรมในการพัฒนา และส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค   แต่ก็ไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคเรื่องการห้ามแทรกแซงกิจการภายในโดยเฉพาะเรื่องการเมือง แม้ให้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอาเซียน แต่ก็ไม่สามารถบีบบังคับรัฐให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  ดังปรากฏในเหตุการณ์ความรุนแรงภายในรัฐไทย

            ประชาชนชาวไทยในฐานะ พลเมืองอาเซียน จะได้ประโยชน์อย่างไร หากผู้นำยังคงหลักไม่แทรกแซงกิจการภายในสืบไปเช่นนี้   หรือคนที่จะได้ประโยชน์จริงๆเป็นเพียง ผู้ปกครอง/กลุ่มผลประโยชน์

เขียนโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
ก่อนหน้านี้สัก 4-5 ปี มีการพูดถึงการพัฒนาประเทศโดยใช้เรื่อง “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness - GNH)  มาแทนเป้าหมายด้านการเพิ่ม “ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Product - GNP) โดยมีการหยิบยกกรณี ภูฐาน มาพูดกัน   แต่หลังจากที่มีรายงานข่าวสถานการณ์ความเปลี่ยนแ
ทศพล ทรรศนพรรณ
การท่องเที่ยวถือเป็นกิจกรรมที่ทุกประเทศสนใจและให้ความสำคัญมาก จนมีบรรษัทข้อมูลอย่าง Statista และองค์การท่องเที่ยวระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ ออกรายงานสรุปข้อมูลเป็นประจำทุกปี โดยสามารถถ้าสรุปง่ายๆ คือ 
ทศพล ทรรศนพรรณ
เหตุวินาศกรรมในเมืองหลวงโดยเฉพาะย่านธุรกิจที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของระบบทุนนิยมถือเป็นสิ่งที่รัฐทั้งหลายไม่ปรารถนามากที่สุด เนื่องจากความเสียหายสูงเพราะมีร้านค้าและผู้คนแออัดหนาแน่น แต่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือ สภาพจิตใจของผู้คนที่จับจ่ายใช้สอยและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเคยชินในบริเวณนั้น
ทศพล ทรรศนพรรณ
ตั้งแต่มาประกอบวิชาชีพนี้ สิ่งที่เห็น คือ ความเหนื่อยของคนรุ่นใหม่ต้องขยันตั้งใจเรียน ทำโน่นทำนี่ กระตือรือล้น ทะเยอทะยาน ให้ได้อย่างที่ คนรุ่นก่อนคาดหวังพอทำพังก็อยู่ในสภาพใกล้ตาย เพราะถูกเลี้ยงมาแบบ "พลาดไม่ได้"
ทศพล ทรรศนพรรณ
ประเด็นมาแรงของยุคนี้เห็นจะไม่พ้นสตาร์ทอัพนะครับ (Start-Up Business) เนื่องจากเป็นแนวทางที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมทุนนิยมที่รัฐต้องการจะผลักดันประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง หรือการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นเพื่อส่งออก มาเป็นการพัฒนาธุรกิจที่มีนวัตกร
ทศพล ทรรศนพรรณ
คนจบมหาวิทยาลัย ทำงานออฟฟิศ คือ กรรมกร?ไร้ตัวตน กว่า พวกเซเล็ปแถมรายได้ต่ำ กว่า คนหาเช้ากินค่ำ หาบเร่แผงลอย รับจ้างอิสระ วิเคราะห์ความคิด สศจ. บทสนทนากับ นิธิ เกษียร ชัดเจน
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชนผู้เสียภาษีไม่น้อย คือ ทำไมกองทัพไทยจึงต้องจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” ตอนนี้ และซื้อของ “จีน” ด้วยเหตุใด
ทศพล ทรรศนพรรณ
การศึกษาสายสังคมศาสตร์มนุษย์ศาสตร์ ณ ต่างประเทศของนักศึกษาไทยในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องตั้งคำถามให้มากว่า เรียนไปเพื่ออะไร เรียนแล้วได้อะไร ความรู้หรือทักษะที่ได้จะเป็นประโยชน์อะไรกับสังคม หรือครอบครัว   เนื่องจากนักเรียนแทบทั้งหมดใช้เงินทุนจากภาษีของรัฐ หรือทุนของครอบครัว&nbs
ทศพล ทรรศนพรรณ
กระแสการนึกย้อนคืนวันแห่งความหลังเมื่อครั้งยังเยาว์วัยในช่วงปี ค.ศ.1990-1999 หรือ ปี พ.ศ.2533-2543 ของผู้คนร่วมสมัยในตอนนี้สะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง
ทศพล ทรรศนพรรณ
รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปีนี้มอบให้แด่ ศาสตราจารย์ชอง ติโรล (Jean Tirole) แห่งมหาวิทยาลัยตูลูส ประเทศฝรั่งเศส    องค์กรให้เหตุผลอย่างชัดเจว่าเป็นผลจาก การวิเคราะห์อำนาจเหนือตลาดของผู้เล่นน้อยรายที่มักจะมีอำนาจเหนือตลาด ประสิทธิภาพของกลไกตลาดจึงเสียหาย และมีข้อเสนอในงานวิจัยของเขา