ใต้ผืนฟ้าสีมืด ใต้แสงริบรี่แห่งหมู่ดาว
ใต้สายลมเวิ้งว้างว่างเปล่า ใต้จิตสำนึกซึ่งรกร้างดุจดังสุสานฝังศพของสรรพสิ่ง
ฉันดำรงอยู่อย่างกระด้างกระเดื่อง ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
กระทั่งสิ่งทั้งปวงที่แหวกว่ายไหลเวียนรอบกาย
แม้แต่ร่างกายซึ่งถูกจองจำด้วยกฏเกณฑ์แห่งเพศพันธุ์ก็มิอาจรำงับความหยาบกระด้างของตนเอง
ฉันอาจกำลังเมามายแรงหมุนแรงเหวี่ยงสารพัดบนผืนดินนี้
อาจเมามายเมรัยซึ่งกลั่นรินจากน้ำตาที่ราดรดใบหน้าของใครต่อใคร
หรืออาจเมามายหยดเลือดแดงข้นแห่งมวลมนุษยชาติ
ฉันไม่อาจระบุถึงมันอย่างชัดเจน ฉันอยากอาเจียนเหลือเกิน
อยากขย้อนเอาซากบริโภคทั้งปวงในอดีตออกมาให้สิ้น
บางทีอาจอยากร่ำร้องคร่ำครวญฟูมฟายตีโพยตีพายกระฟัดกระเฟียด
ให้สาใจตนเอง ให้สาใจหมู่วิญญาณเศร้าสร้อยของผีไม่มีแหล่งอยู่
ให้สาใจผู้คนซึ่งย่างเท้าย่ำขยี้หัวใจผู้คนด้วยกันกระทั่งไล่บี้หัวใจของตัวเขาเอง
ให้สาสมกับความสามานย์ของเบื้องต่ำในใจ
ฉันเพียงอยากกลั่นน้ำตาซึ่งสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำค้างให้ออกมาจากเรือนร่างของตนเอง
ให้ออกมาจากตาคู่นี้ของตนเอง ตาที่พานพบแต่เพียงนาฎกรรมแห้งแล้ง
ตาที่กักเก็บเรื่องราวมากมายเป็นความทรงจำสีเขียวซึ่งราวกับว่ามันเป็นสีของเชื้อราที่งอกงามเติบโตบนบาดแผลสีน้ำตาล
ฉันรู้และเข้าใจดีว่าหยดน้ำอุ่นรสปร่านั้นคือส่วนสุดท้ายที่งดงามที่สุด ละเอียดที่สุด พิสุทธิ์ที่สุด ในฉัน...
ฉันเรียกร้องให้ตนเองปลดปล่อยสายน้ำแห่งความเศร้า ครั้งแล้วครั้งเล่า
เพื่อผลักไสไล่ส่งความมืดทึมเทาในหัวใจออกสู่อากาศ สู่ผิวไม้ สู่ใบหญ้า กระทั่งสู่เวิ้งจักรวาล
ฉันรับรู้เพียงสำนึกแห่งตน ขณะที่มิอาจรู้เหตุแห่งมัน
เหตุแห่งสำนึกลึกลับนับล้านที่กรุยกรายเหยียบย่ำทำลายความไร้เดียงสา ความงดงาม ความอ่อนโยน ในฉัน...
บนผืนดินแข็งแห้งผาก บนกรวดหินเม็ดทรายเกลื่อนกระจาย
บนสายรุ้งฟุ้งฝันที่ลับหาย บนสำนึกรุงรังพรั่งพรายด้วยความเคลื่อนไหวนับประการของสรรพสิ่ง
ฉันเรียนรู้ความกระด้างกระเดื่อง ทั้งจากตนเองและผู้อื่น