1.
เช้านี้ เรามากันที่ Foreign Press Center เจอกับ Tom Rosentiel ผู้อำนวยการ American Press Institute และผู้เขียนหนังสือ Elements of Journalism.

หลักๆ พูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการบริโภคสื่อจากสื่อดั้งเดิมเช่นวิทยุ หนังสือพิมพ์ ทีวี มาสู่สื่ออนไลน์มากขึ้น มีสถิติว่าคนอเมริกันเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนและแทบเบล็ตมากขึ้น ในขณะที่อายุเฉลี่ยของผู้บริโภคข่าวจาก mobile devices อยู่ที่ราว 34 ปี เมื่อเทียบกับผู้บริโภคสื่อเก่าที่มีอายุราว 56 ปี ฉะนั้นถือเป็นโอกาสใหม่ๆ สำหรับสื่อออนไลน์ในการเข้าถึงผู้บริโภคข่าวในกลุ่มที่เด็กกว่าและมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกว่า
ความท้าทายสำหรับก็ยังเป็นเรื่องรายได้ที่เข้าเว็บไซต์ มีสถิติว่าร้อยละ 90% ของคนใช้เน็ตไม่เคยคลิกเข้าโฆษณาป๊อบอัพหรือโฆษณาออนไลน์เลย และทำอย่างไรให้ข่าวออนไลน์มีความสอดคล้อง หรือเข้าไปอยู่ในบทสนทนาที่กำลังเกิดขึ้น เพราะผู้บริโภคมีอำนาจในการกำหนดความคิดเห็น (opinion shapers) และเป็นผู้ที่แชร์ข่าวสารในสังคมตนเอง
สำหรับหนังสือพิมพ์ที่มีจุดแข็งสุดตอนนี้ในอเมริกาคือนิวยอร์คไทมส์ เพราะสามารถคลุมการรายงานในประเทศและต่างประเทศได้ อีกทั้งมีตลาดระหว่างประเทศมีคนอเมริกันแค่ร้อยละหนึ่งเท่านั้นที่อ่านนิวยอร์คไทสม์ ส่วนใหญ่เป็นพวกเอลีทที่สุดและมีการศึกษาสูงที่สุด แต่ก็ส่งอิทธิพลมากสุด
วอชิงตันโพสต์ ชิคาโก้ทรีบูน หรือหนังสือพิมพ์เมือง อยู่ในจุดที่อ่อนแอที่สุดเพราะอยู่ในระหว่างกลาง ไม่สามารถรายงานเมืองอื่นได้ และก็รายงานข่าวต่างประเทศสู้อย่างนิวยอร์คไทมส์ไม่ได้
สำหรับการลงโฆษณา ก็นิยมลงในสิ่งพิมพ์หรือโทรทัศน์ที่เป็นกลางมากกว่า เพราะอย่างฟอกซ์เป็นช่องเคเบิลที่ป๊อบที่สุด แต่โฆษณาเลือกจะไปลงกับซีเอ็นเอ็นมากกว่าซึ่งดูเป็นกลางกว่า ซึ่งจะส่งผลเรื่องความน่าเชื่อถือของผู้ลงโฆษณา
2.
ถัดมา นั่งรถมาต่อไม่ไกลนัก มาเยี่ยมออฟฟิศของ Reporters Committee for Freedom of the Press ก่อตั้งเมื่อปี 1971 เพื่อพิทักษ์สิทธิ์ของนักข่าวตาม First Amendment จากรัฐบาล เพราะรู้สึกว่าบรรณาธิการและ publisher ทำไม่เพียงพอในการพิทักษ์สิทธิของพวกเขา นักข่าวอเมริกันจึงรวมตัวกันก่อตั้งขึ้นมา ให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำด้านกฎหมาย ตอนนี้มีทนายประจำศูนย์อยู่ราวสามคนที่เข้ามาทำงาน นอกจากนี้ก็ยังตีพืมพ์สิ่งพิมพ์ในแง่การส้รางความเข้าใจเรื่องสิทธิของนักข่าว นอกจากนี้ก็ยัังช่วยเหลือเรื่องการเข้าถึงข้อมูลของรัฐบาลและเอกสารของศาล พูดง่ายๆ คือการใช้สิทธิตามบทบัญญัติที่ 1
นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องสิทธิในการรักษาความลับกับแหล่งข่าว มีการดีเบตมาหลายสิบปีเรื่องนี้ เพรานักข่าวต้องมีสิทธิ์ในการรักษาความลับแหล่งข่าว แม้จะมีหมายศาลเรียกไปให้การก็ตาม ในขณะเดียวกันศาลก็บอกว่านี่ไม่ใช่สิทธิ์ตาม First Amendment ของรัฐธรรมนูญ
ไม่เพียงแต่นักข่าวเท่านั้น แต่บล็อกเกอร์หรือนักข่าวพลเมืองเขาก็ให้ความช่วยเหลือด้วย
Student Press Law Center ก็แชร์ออฟฟิศอยู่ด้วยกัน ก่อตั้งเมื่อปี 1974 เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องสิทธิเสรีภาพในการรายงานข่าวของนักเรียนและนักศึกษาในการรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์โรงเรียน เพราะก็มีหลายครั้งที่โรงเรียนเซ็นเซอร์การเขียนบทความหรือข่าวเรื่องยาเสพติดหรือร็อคแอนด์โรล บางที่ก็มีเรื่อง sexual assault ในมหาวิทยาลัย ที่นักข่าวจำเป็นต้องเข้าถึงเอกสารที่จำเป็นแต่ก็ยังมีอุปสรรค ที่นี่ก็รณรงค์และให้ความช่วยเหลือเรื่องการเข้าถึงข้อมูลด้วย
ตัวแทนจาก SPC เล่าให้ฟังว่า หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยตอนนี้มีการเซ็นเซอร์อยู่ทุกวี่ทุกวันเป็นเรื่องปรกติ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์การบริหารจัดการของโรงเรียน/มหาวิทยาลัย หรือผู้บริหาร "แล้วเขาเซ็นเซอร์ยังไงล่ะ?" ฉันถาม "พวกอาจารย์หรือผู้บริหารก็เอาหนังสือพิมพ์ไปเก็บ แบบไม่พูดพร่ำทำเพลง" เขาตอบ
นอกจากนี้ก็มีเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ โดยจุดยืนพวกเขาคือสนับสนุนเรื่องการใ้ช้สิ่งลิขสิทธิ์อย่างเป็นธรรม เช่นสามารถยืมได้ ไม่หวังผลกำไร ซึ่งเรื่องนี้บรรจุอยู่ใน First Amendment ด้วย เรื่องการหมิ่นประมาท การให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย
มีนักข่าวฟีจิที่ถูกฟ้องหมิ่นประมาท ถูกจำคุกและปรับประมาณ 30,000 ดอลลาร์ จากการตีพิมพ์บทความวิจารณ์ศาลของนสพ. นิวซีแลนด์ในหนังสือพิมพ์ตัวเอง ถามว่าทางนี้มองกรณีนี้หรือช่วยเหลือได้อย่างไร เขาก็อธิบายว่า นักข่าวที่นี่ไม่ถูกฟ้องอาญาเรื่องหมิ่นประมาท และไม่มีกรณีแบบนี้มาหลายสิบปีมากแล้ว เพราะเหมือกับมี protection ตามกฎหมายอยู่
คนจาก RCPJ เล่าต่อว่า สำหรับเรื่องของฟรีสปีชที่นี่ ก็เป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสำคัญและยึดถือค่อนข้างมาก ถึงแม้จะมีข้อจำกัดบ้างในกรณีที่เคยได้ยิน แต่โดยทั่วไปเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าแม้ฟรีสปีชจะทำให้มีราคาค่าเสียหายหรือสร้างปัญหา หรือทำให้เกิดความเจ็บช้ำใจระหว่างกัน แต่ you just have to live with that และเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่สูงสุดตามรัฐธรรมนูญ
"หลายประเทศก็บอกว่าตัวเองเชื่อในฟรีสปีชทั้งนั้นแหละจนกระทั่งมันสร้างปัญหา แต่สำหรับอเมริกาเราภูมิใจที่พูดว่าแม้ฟรีสปีชจะสร้างปัญหา แต่เราก็ยึดถือมัน"
อย่างในแคนาดา ก็น่าสนใจมากเพราะในระยะสามสิบปีที่ผ่านมา มีการตีความฟรีสปีชตามกฎหมายที่แคบขึ้น (เข้าใจว่าหมายถึงทำให้ขอบเขตการพูดกว้างขึ้น) เพราะก็มีดีเบตเรื่องความสมดุลระหว่างฟรีสปีชกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เขาอธิบายว่าแม้ฟรีสปีชจะทำให้สองสามคน injured แต่ในทางหลักการแล้วมันก็ยังยึดชูเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนในสังคมโดยรวม
3.
ที่ที่สามเข้าเขตมหาวิทยาลัย มีหนุ่มๆ สาวๆ นักศึกษานัั่งปิคนิครับแดดอยู่บนสนามหญ้า เรามาที่ journalism lab ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์ที่ดูเรื่อง media startup/entrepreneur โดยเฉพาะ ก่อตั้งเมื่อปี 2002 เป็นส่วนหนึ่งของคณะนิเทศศาสตร์ของ American University มีอาจารย์มาบรรยายเรื่องแนวโน้มของสื่อใหม่ในอเมริกา สรุปได้ประมาณนี้

- มีวิธีการเล่าเรื่องแบบใหม่ๆ มากขึ้น เช่น Storify, twitter รวมถึงมี startups ใหม่ๆ เยอะขึ้นมากที่สุดในช่วงนี้
- เว็บไซต์อย่าง linkedin หรือ google มาผลิตคอนเทนท์ด้วยตัวเองเยอะขึ้น
- มีเพย์วอลล์สำหรับเว็บข่าวมากขึ้น
- คนที่เป็นเจ้าของมือถือสมาร์ทโฟนมีราวร้อยละ 44 ในขณะที่เจ้าของแท็บเล็ตสูงขึ้นจากปี 2011 ถึงร้อยละ 50 การผลิตข่าวสำหรับการอ่านในแท็บเล็ต เช่นแอพพลิเคชั่นจึงมีมากขึ้นและเป็นเรื่องจำเป็น
- มีผู้เล่นใหม่ๆ ในเว็บข่าวมากขึ้น เช่น เว็บ Polygon ที่รายงานเฉพาะเกมส์เท่านั้น แต่มีนักข่าวกว่าร้อยคน (!) และก็มีรายได้จากการโฆษณาค่อนข้างดีด้วย
- ยังมี Sensor Journalism ที่ใช้เซ็นเซอร์ช่วยในการรายงานข่าวไว้แทร็กความเคลื่อนไหว
- นอกจากนี้ยังมี Non-Narrative Journalism ที่ออกมาในรูปแบบของการ์ตูน ดาต้าเบส, visualizations,
- มีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกืดขึ้นเช่น Tumblr, Vine
- News Games: "Playing" the News สื่อสารข่าวผ่านเกม
- Watchdog reporting site at the state level like California Watch, The Texas Tribune, ProPublica --> investigative news network, non-profit
- Local Indy Startups
- Expanding with Satellite site davidsonnews.net, corneliusnews.net
- Soft Advocacy siites like the notebook.org covering only public schools to advocate of good schools with journalistic reporting. or advocate for sustainable cities like bikeportland.org
- Rise of Arts and Culture coverage sites because in newspaper it's decreasing
- Also the niche sites on environment and health
- University News sites เพื่อให้เป็นที่ฝึกฝีมือให้นักศึกษาด้วยแต่ก็เห็นเป็นโอกาสในการรายงานในสิ่งที่สำนักข่าวใหญ่ไม่รายงานในชุมชนและก็ถือว่าทำได้ดีด้วย
-MSM/blogs collaboration/ News Partner Network
- Indie/Public Radio Partnership เป็นความร่วมมือระหว่างสถานีวิทยุกับ news start up ที่แลกเปลี่ยนคอนเทนท์ให้กัน
- Events as Journalism ทำให้เป็นทอล์คหรือฟอรั่ม เพื่อให้เป็นข่าวด้วย และก็ขายตั๋วก็สามารถเป็นรายได้ได้อีกทาง
- Repurposing Content, Ebooks, Publications from the news
- Sponsored Content