ที่แท้แล้วมนุษย์นั้นมีพัฒนาการน้อยเหลือเกิน

 
 
ญี่ปุ่น นับเป็นประเทศที่มีพัฒนาการอย่างมากในเรื่องของเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในทางวัตถุอย่างรวดเร็ว มีรถไฟหัวกระสุนที่มีความเร็วสูง มีตึกสูงๆที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ หรือแม้แต่โรงปฎิกรณ์ปรมาณูนั้นก็ยืนยันว่ามีระบบความปลอดภัยเป็นเยี่ยม นอกจากนั้นยังเป็นประเทศที่มีประชากรที่มีระเบียบวินัยและคุณภาพที่พร้อมรับมือกับภัยร้ายๆได้อย่างดี ทว่า สุดท้ายแล้วเมื่อธรรมชาติพิโรธอย่างหนัก ประเทศระดับญี่ปุ่นเองก็ยังยากที่จะรับมือ ประสาอะไรกับประเทศที่ไร้ระเบียบและขาดการเตรียมการอีกหลายประเทศ เห็นภาพภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นแล้ว ไม่ว่าใครที่เป็นมนุษย์ปุถุชนนั้นย่อมรู้สึกสะเทือนใจและแน่นอนหากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับใครก็ตามก็นับว่าคงยากที่จะรับมือหรือทำใจได้
แต่เมื่อหันกลับมามองเรื่องนี้ในอีกมุมหนึ่งก็พลันคิดได้ว่า ทุกๆอย่างช่างเป็นอนิจจังโดยแท้ เพราะเหตุการณ์ในขณะนี้ก็ได้พิสูจน์เรื่องของ อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา หรือเรื่องของการมีขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป ว่าเป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้และเลี่ยงไม่ได้ ถึงตรงนี้เองก็ยิ่งให้เกิดศรัทธาว่า “คำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาแห่งศาสนาพุทธทำไมถึงได้เป็นอกาลิโกเช่นนี้” คืออยู่เหนือการเวลาหรือไม่มีข้อจำกัดในเรื่องกรอบเวลา
นอกจากนั้น เหตุการณ์นี้ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าพัฒนาการในเรื่องต่างๆ และการรับมือกับเรื่องต่างๆ ที่มีอยู่ของมนุษย์ในขณะนี้นั้นเป็นเพียงพัฒนาการและการรับมือกับสถานการณ์จากภายนอกเท่านั้น หากแต่การเตรียมการหรือพัฒนาการภายในใจของมนุษย์นั้นกลับมีน้อยยิ่ง
สำหรับเรื่องพัฒนาการของมนุษย์นี้โดยส่วนตัวก็ได้คิดถึงเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้ และมาชัดขึ้นอีกครั้งในปีสองปีที่ผ่านมา  เรื่องก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งเพื่อนที่เพิ่งกลับมาจากตุรกีเอาภาพถ่ายมาให้ดูบอกว่า “นี่คือซ่องที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี”  ซ่องแห่งนี้อยู่ตรงข้ามกับสนามแข่งขันกีฬา ชมมหรสพ หรือพิธีการต่างๆ หรืออาจเรียกได้ว่า “โคลอสเซียม”ในยุคกรีกโบราณ เห็นภาพนี้ทีแรกก็คิดแค่ว่า “เออนะ อาชีพบริการทางเพศนั้นก็มีมากว่า 2,000 ปีแล้ว” แต่ว่าทุกวันนี้ผู้คนก็ยังคงตั้งคำถามกันอยู่ว่า โลกนี้สมควรจะมีอาชีพนี้หรือไม่ และยังคงให้อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ผิดกฎหมาย และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ก็มีข่าวภาพการสวมกอดกันอย่างหวานชื่นระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรีไทยกับนายกรัฐมนตรีตลอดกาลของกัมพูชาและในเวลาต่อมาความหวานชื่นแบบนั้นก็ไม่มีอีก ในขณะเดียวกันก็เห็นภาพรัฐบาลไทยและฝ่ายค้านและผู้แทนราษฎรทั้งหลายกำลังกล่าวโจมตีใส่ร้ายป้ายสีกันทั้งภายนอกและภายในสภาฯ เกมแย่งชิงอำนาจที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลปัจจุบันและอดีตผู้นำซึ่งติดอันดับมหาเศรษฐีของโลก ทว่า ในปัจจุบันจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่แต่ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะกลับเข้ามาแผ่นดินเกิด
ต่อมาเมื่อเอาสองสามเหตุการณ์นี้มาตรึกตรองอีกทีก็นำมาสู่ความคิดที่เป็นคำตอบว่า ทำไมคำสอนของพระพุทธเจ้าถึงไม่เคยล้าสมัยหรือไม่อยู่ในกรอบข้อจำกัดของเวลา คือจะใช้ที่ไหน เมื่อใดก็ยังใช้ได้อยู่เสมอแม้คำสอนนั้นจะผ่านมาแล้วเป็นเวลากว่า 2,500 ปีมาแล้ว คำสอนนั้นก็ยังเป็นปัจจุบันอยู่ คำตอบก็คือ “แท้ที่จริงแล้วมนุษย์มีการพัฒนาภายใน (inner) หรือพัฒนาในเรื่องจิตใจน้อยที่สุด”
นับตั้งแต่มีการพัฒนาทางร่างกายมาเรื่อยๆ จนมาเป็น  Homo Sapiens จนกระทั่งเป็นมนุษย์ปัจจุบันก็ได้สามารถประดิษฐ์คิดค้นหลายสิ่งหลายอย่างที่เรียกว่าเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ทำให้โลกนั้นแตกต่างไปจากเมื่อ 2,500  ปีเป็นอย่างมาก ทว่า ในเรื่องจิตใจนั้น มนุษย์กลับยังคงยึดติดอยู่กับ ราคะ โลภะ โทสะ และ โมหะอย่างไม่เปลี่ยนแปลงว่าเวลาจะนานเท่าใด ดังที่ได้เห็นว่าซ่องโสเภณีนั้นก็มีมานานกว่า 2,000 ปีมาแล้ว การติดยึดอยู่กับอำนาจ การโกงกิน ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ดังจะเห็นว่ามีการประท้วงต่อต้านระบอบอำนาจนิยมและรัฐบาลโกงกินอยู่ทั่วโลกจนเกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  คนที่โกงกิงจนร่ำรวยมหาศาลที่สุดแล้วพอถึงวันตายก็กลับเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ หรือเมื่อหายนะหรือภัยพิบัติมาเยือนแม้ร่ำรวยมหาศาลหรือมีระบบป้องกันความปลอดภัยดีแค่ไหนก็ตามก็ไม่สามารถรักษาสมบัติเหล่านั้นหรือแม้แต่ชีวิตของเจ้าของสมบัติเหล่านั้นก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้ ในขณะเดียวกันพวกที่หวงอำนาจไว้สุงสุดที่ไม่ยอมให้ใครมาพรากได้สุดท้ายก็หนีความตายไม่พ้น ทว่า คนที่ยังอยู่ต่อมาก็ไม่ได้เรียนรู้เรื่องนี้ และมีพฤติกรรมที่ไม่ได้มีพัฒนาการในทางที่ดีกว่าคนที่เกิดมาก่อนได้ก็ตาม หากอ่านประวัติศาสตรไม่ว่าประเทศใดก็ตามเราก็จะเห็นว่ามนุษย์ยังไม่มีพัฒนาการใดๆ ในเรื่องนี้
จากเหตุการณ์ต่างๆ การเห็นภาพความสูญเสียที่เกิดขึ้น การเห็นว่าซ่องโสเภณีนั้นมีมานานกว่า 2,000 ปี และ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบเมื่อกว่า 2,550 ปีมาแล้ว ก็ให้คิดเพิ่มเติมอีกว่า การปรากฏมีขึ้นของมนุษย์นั้นก็มีมาหลายพันปีแล้ว แต่ช่วงชีวิตหนึ่งของมนุษย์นั้นโดยทั่วไปแล้วสูงสุดก็คงจะไม่เกิน 100 ปี หรือหากจะเฉลี่ยก็อาจพูดได้ว่าไม่น่าจะเกิน 80 ปีซึ่งเรียกได้ว่า “ชีวิตหนึ่งของเรานั้นช่างเล็กน้อยยิ่งนัก” กระนั้น ทำไมมนุษย์ถึงยังไม่สังวรณ์เสียทีว่าเรานั้นช่างเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นในโลก และทำไมถึงไม่ยอมใช้โอกาสเพียงน้อยนิดที่อยู่ในโลกนี้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้แก่โลก ทำไมถึงไม่เลิกอหังการ์กันเสียทีหนอ ถึงตรงนี้สำหรับตัวเองแล้วก็พบว่า หลายๆครั้งที่เรากำลังเป็นทุกข์อยู่นั้น หรือหลายเรื่องที่เราคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อยู่นั้น จริงๆ แล้วเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับความยิ่งใหญ่ของโลก
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นในครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้มนุษย์สามารถพัฒนาวิทยาการและเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าไปแค่ไหนก็ตามแต่เมื่อเทียบกับพลังของธรรมชาติแล้วมนุษย์ก็ยังน้อยนิดอยู่ดี และอาจถึงเวลาที่มนุษย์หันกลับมาคิดเสียทีไหมว่าถึงวันนี้เราพัฒนาทางวัตถุกันมากพอแล้ว เราได้รับความสะดวกสบายจากการพัฒนาทางวัตถุกันในระดับที่เพียงพอแล้ว เราควรจะหันมาพัฒนาภายใจในให้มากกว่านี้กันเสียทีดีไหมหนอ เพื่อว่าการทำร้ายและทำลายซึ่งกันและกันและการทำร้ายและทำลายโลกจะได้ไม่มากไปกว่านี้และเราจะสามารถอยู่ในโลกนี้ได้อย่างสงบกันมากขึ้นกว่านี้
-------------------------------------
ขอไว้อาลัยแต่ผู้สูญเสียในเหตุการณ์สึนามิในญี่ปุ่นทุกคน ขอให้ผู้ที่จากไปจงไปสู่สุขคติ และผู้ที่ยังอยู่สามารถอยู่ได้อย่างมีสติ

ความเห็น

Submitted by โสมคาน on

เจริญแล้วโค่นฆ่าล้มป่าไม้
เจริญแล้วขุดขายดินแร่หลวง
เจริญแล้วบ้านโตตึกทั้งปวง
เจริญแล้วหลังกลวงขอหน้างาม

สรรค์สร้างเสพสมสะดวกสนุก
มิรู้ทุกข์ สุขล้นพ้นหาบหาม
ภูมิปัญญาแต่ก่อนห่อนรู้ความ
หากทำตาม กลัวเขลาเป็นเต่าปลา

เหมือนลูกเลวดื้อด้านดั่งพาลชาติ
อวดบ้าสามารถฉลาดกล้า
แดกทุกอย่างขวางลิ้นแทบปลิ้นตา
บริโภคเกินกว่า แม่มีแรง

วันนี้หลั่งน้ำตาสึนามิ
วันนี้มีพลิกกาย คลายเนื้อแข็ง
ความร้อนไข้นิวเคลียร์ เหมือนโรคแซง
อกแม่แห้งหนาวเย็นหิมะโปรย

Submitted by น้ำลัด on

ญี่ปุ่นเหมือนเป็นโรงงานของโลก...
ทุกวันคืน...แปรเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นสินค้าแลกกับเงินตรา
โลกคงอยากจะรักษาตัวเองไม่ให้ถูกแปรเปลี่ยนไปมากกว่านี้
โลกอาจจะโกรธชาวญี่ปุ่นที่แปรเปลี่ยนโลกมากเกินไปหรือเปล่า
โลกอาจทำร้ายชาวญี่ปุ่นเพียงเพราะไม่อยากถูกแปรเปลี่ยนไปมากกว่านี้

โลกอาจเชือดไก่ให้ลิงดู...บังเอิญญี่ปุ่นเป็นไก่ตัวนั้น

เต้นเปลือยอก...ผิดตรงไหน

กลายเป็นเรื่องฮือฮาสำหรับการฉลองสงกรานต์ในปีนี้ (2554) เมื่อมีคนนำคลิปของเด็กสาวขึ้นเต้นโชว์เปลือยอกในการฉลองสงกรานต์ย่านสีลมที่มีผู้คนชมและเชียร์กันอย่างเมามันมาเผยแพร่กันอย่างแพร่หลายผ่านทางสังคมออนไลน์ รวมทั้งนักข่าวทุกสำนักก็ให้ความสนใจและนำเสนอกันอย่ากว้างขวาง มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมายว่า นี่เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมหรือการกระทำที่ทำลายวัฒนธรรม บางคนถึงขั้นกล่าวหาเด็กสาวเหล่านี้ว่าเป็นโรคจิตด้วยซ้ำ

ที่แท้แล้วมนุษย์นั้นมีพัฒนาการน้อยเหลือเกิน

 
 
ญี่ปุ่น นับเป็นประเทศที่มีพัฒนาการอย่างมากในเรื่องของเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในทางวัตถุอย่างรวดเร็ว มีรถไฟหัวกระสุนที่มีความเร็วสูง มีตึกสูงๆที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ หรือแม้แต่โรงปฎิกรณ์ปรมาณูนั้นก็ยืนยันว่ามีระบบความปลอดภัยเป็นเยี่ยม นอกจากนั้นยังเป็นประเทศที่มีประชากรที่มีระเบียบวินัยและคุณภาพที่พร้อมรับมือกับภัยร้ายๆได้อย่างดี ทว่า สุดท้ายแล้วเมื่อธรรมชาติพิโรธอย่างหนัก ประเทศระดับญี่ปุ่นเองก็ยังยากที่จะรับมือ ประสาอะไรกับประเทศที่ไร้ระเบียบและขาดการเตรียมการอีกหลายประเทศ เห็นภาพภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นแล้ว ไม่ว่าใครที่เป็นมนุษย์ปุถุชนนั้นย่อมรู้สึกสะเทือนใจและแน่นอนหากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับใครก็ตามก็นับว่าคงยากที่จะรับมือหรือทำใจได้

เมื่อ ไทย- กัมพูชา หันหน้ากันคนละทาง สร้างดาวกันคนละดวง

 

เป็นเวลานานหลายสิบปีที่พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจนนั้นไม่ได้ถูกให้ความสนใจ ประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่น แม้ต่างตอบตัวเองได้ว่าตัวเองเป็นพลเมืองของชาติใดหากต้องติดต่อกับทางราชการแต่ก็อยู่ร่วมกันด้วยดี ถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกันและทำมาหากินร่วมกันมายาวนาน การเดินข้ามไปข้ามมาในบริเวณนั้นก็มิได้เป็นปัญหา มิได้คิดว่าใครจะเข้ามารุกล้ำดินแดนใคร และในการใช้ชีวิตนั้นสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข ทว่า บัดนี้มาเกิดกรณีพิพาทอันเนื่องมาจากการอ้างสิทธิ์บนพื้นที่นี้เกิดขึ้นจากรัฐบาลทั้งสองประเทศและยังไม่อาจแน่ใจว่าข้อพิพาทนี้จะยุติลงได้เมื่อใด ที่น่าเศร้าคือปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนในพื้นที่นั้นไม่ได้ถูกสร้างโดยคนในพื้นที่และคนในพื้นที่เองไม่ได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา>

อำเภอ 878 ไปทางไหน

 
 
“พี่รีบๆไปดูเถอะ ตอนนี้ยังดีอยู่ ได้ข่าวว่านายทุนเข้าไปซื้อที่ตรงนั้นไปเยอะแล้ว ไม่ช้าก็คงจะเปลี่ยนไปแน่นอน” ผู้จัดการเกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งใน อ.ปาย บอก เมื่อถามว่า อำเภอใหม่เป็นไงบ้าง เพราะว่าดูจะไม่ไกลจากปายมากนัก และในอนาคตอาจไม่เห็นความเป็นธรรมชาติของที่นั่นแล้ว
 

การย้ายถิ่นเป็นการพัฒนาคน




การย้ายถิ่นไม่ได้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติทางประวัติศาสตร์แต่เป็นมิติของการพัฒนาที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจุบัน” ตอนหนึ่งในรายงานการพัฒนามนุษย์ปี 2552 (Human Development Report 2009) จัดทำขึ้นโดยโครงการการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Programme –UNDP) ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้