Skip to main content
"It's your responsibility" หรือ "คุณนั่นแหละต้องรับผิดชอบ" เป็นคำพูดที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียนพูดย้ำหลายครั้งต่อหน้าผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 1 พันคนเมื่อบ่ายวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ห้องประชุมมหิตลาธิเบศร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเวทีมหกรรมภาคประชาชนอาเซียนครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 -22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

 

สุรินทร์ พิศสุวรรณ กล่าวย้ำด้วยความภาคภูมิใจถึงการมีกฎบัตรอาเซียน โดยบอกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อาเซียนสามารถก้าวไปข้างหน้า เพราะถือเป็นกฎหมายสูงสุดที่ประเทศสมาชิกจะต้องปฎิบัติตาม การมีกฎบัตรจะทำให้อาเซียนมีฐานะเป็นนิติบุคคล และสิ่งที่ ดร.สุรินทร์ เน้นเรื่องความรับผิดชอบของประชาชนนั้นก็มาจากที่เขามองว่า อาเซียนโฉมใหม่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง ดังนั้น ประชาชนจึงต้องเป็นหลักในการเข้ามาร่วมทำงานกับอาเซียน ช่วยกันผลักดันรัฐบาลของประเทศตัวเองให้ปฎิบัติให้เป็นไปตามกฎบัตรของอาเซียน

 

"อาเซียนมีพื้นที่ให้กับภาคประชาชนแล้ว ดังนั้นหากหลายๆ สิ่งไม่ได้ก้าวไปอย่างที่หวัง คงไม่ใช่เรื่องที่จะไปตำหนิรัฐบาล หรือผู้นำแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่พวกคุณประชาชนเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ ที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับอาเซียน คุณต้องเข้าไปผลักดันรัฐบาลของประเทศตัวเอง ...." ความตอนหนึ่งจากสุรินทร์ พิศสุวรรณ บนเวทีดังกล่าวพร้อมกับบอกด้วยว่า อย่าปล่อยให้เขาทำงานคนเดียว ประชาชนต้องมาร่วมกับเขาเพื่อทำงานนี้

ในฐานะของผู้ซึ่งเคยติดตามประเด็นเรื่องอาเซียนมาพอสมควร ตอนที่เห็นบรรดาผู้นำอาเซียนต่างภาคภูมิใจและฉลองความสำเร็จว่า กฎบัตรอาเซียนมีผลบังคับใช้แล้วก็แอบพลอยยินดีไปด้วย คิดว่า ต่อไปนี้ประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนอาจจะมีหลายอย่างที่ดีขึ้น อาเซียนจะเป็นหนึ่งเดียว โดยเฉพาะเรื่องสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคนี้ก็คงจะดีขึ้น แต่พอมาศึกษาเข้าจริงก็พบว่า นอกจากเราจะได้ฟังคำใหม่ที่มาพร้อมกับกลไกใหม่ๆ ที่ตั้งขึ้นภายใต้กรอบ อาเซียน เช่น กฎบัตรอาเซียน หรือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอาเซียนแล้ว ก็ไม่พบว่าในทางปฎิบัติแล้ว อาเซียนจะตอบคำถามที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ว่าอย่างไร และ ตอบสนองต่อปัญหาที่มีอยู่ในภูมิภาคนี้ได้อย่างไร

 

ได้ไปนั่งฟังที่ดร.สุรินทร์ พูดแล้วก็ยืนยันได้ว่า ทักษะทางการพูด ในเชิงการทูตของเขายังใช้ได้ดี สำนวนโวหารก็เป็นเลิศเหมือนเดิมจนอดเคลิ้มตามไม่ได้ และเข้าใจได้ว่า การที่บอกว่า "ประชาชนต้องรับผิดชอบด้วย" นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการปัดภาระให้กับประชาชน แต่เป็นการกระตุ้น รวมทั้งให้กำลังใจให้ภาคประชาชนหันมาให้ความสำคัญ ให้ความสนใจที่จะใช้กลไกอาเซียนและให้ภาคประชาชนร่วมมือในการทำงานกับอาเซียนให้มากขึ้น

 

ทว่า ในขณะที่ฟังก็ได้คิดตามไปด้วย โดยไม่ได้ตั้งใจที่จะเห็นแย้งกับ ดร.สุรินทร์ แต่อดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วประชาชนจะไปมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบได้อย่างไร ในเมื่อจริงๆ แล้ว "พื้นที่ของภาคประชาชนไม่มีจริง" ถึงดร.สุรินทร์จะบอกว่า ตอนนี้ "Space is open for peoples of ASEAN" หรือมีการเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนแล้ว แต่คำถามก็คือ "อยู่ตรงไหนหรือ"

 

หากบอกว่า ก็กฎบัตรได้ระบุไว้ให้แล้วไงว่าประชาชนจะเป็นศูนย์กลาง แน่นอนในวัตถุประสงค์ที่ 13 ของกฎบัตรอาเซียนบอกว่า "ส่งเสริมการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง" แต่ขอโทษเถอะ หากดูกลไกการทำงานของอาเซียนแล้วก็เห็นว่า ในกลไกลการทำงานต่างๆ นั้นไม่มีภาคประชาชนอยู่เลย กลไกการทำงานทั่วไปตามแผนปฏิบัติการต่างๆ เป็นการผ่านกระบวนการของระบบราชการในแต่ละประเทศ แน่นอนรัฐสมาชิกแทบจะไม่มีการให้ข่าวสารของข้อตกลงกับอาเซียนสู่ภาคสาธารณะและการรับฟังความเห็นของประชาชนเกือบไม่เคยปรากฎ

 

เลขาธิการอาเซียนโน้มน้าวกระตุ้นผู้ฟังด้วยลีลาน่าเร้าใจว่า ต่อไปนี้แต่ละประเทศจะต้องแต่งตั้งผู้แทนถาวรให้ไปนั่งทำงานร่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียน ถ้าประเทศไหนที่ยังไม่ตั้ง นี่แหละบทบาทของภาคประชาชนที่มีหน้าที่ไปผลักดัน ไปทวงถามรัฐบาล ให้รัฐบาลให้แต่งตั้งผู้แทนถาวร แน่นอนนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่เนื่องจากการมีกฎบัตรอาเซียน ทว่า กระบวนเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้แทนถาวรก็เป็นการดำเนินการโดยภาครัฐอยู่ดี เพราะผู้แทนถาวรนั้นคือตัวแทนของรัฐ รัฐบาลก็ต้องตั้งคนจากภาครัฐ และในกฎบัตรอาเซียนไม่ได้บอกเลยว่า ผู้แทนถาวรจะต้องมาจากภาคประชาชน หรือให้ประชาชนเลือกมา หรือหากคิดในแง่ดีว่า ในบางรัฐบาลอาจมีความก้าวหน้ายินยอมที่จะเลือกบุคคลที่ไม่ใช่ภาครัฐบาลให้เป็นผู้แทนถาวรประจำอาเซียน แต่ผู้แทนถาวรก็ทำงานภายใต้รัฐบาลนั้นๆ อยู่ดี ไม่ใช่ในนามประชาชนอาเซียน นี่คือส่วนที่อยู่ในโครงสร้างการทำงานของอาเซียนที่ยังหาไม่เจอว่า ประชาชนเป็นศูนย์กลางนั้น ที่ทางของภาคประชาชนอยู่ตรงไหนในกลไกอาเซียน

 

หากมองว่า การจัดเวทีภาคประชาชนนี่ไงที่เป็นการรับรองบทบาทของภาคประชาชน คำถามก็คือ เวทีภาคประชาชนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลนั้นเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน และให้ความสำคัญขนาดไหน ยกตัวอย่าง เวทีภาคประชาชนที่เพิ่งจัดกันไป เทียบกันได้หรือไม่กับการประชุมสุดยอดผู้นำที่ผ่านๆ มาและที่กำลังจะเกิดขึ้น การประชุมผู้นำนั้นจะต้องเกิดขึ้นในโรงแรมหรู มีอาหารชั้นเลิศแทบทุกมื้อ ดินเนอร์ เปิดแชมเปญ เดินทางด้วยเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส นอกจากนั้นแล้วก่อนที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำ หรือ Summit ก็มีการประชุมอีกหลายระดับ ตั้งแต่ ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสที่เป็นคณะทำงานชุดต่างๆ จนกระทั่งมาถึงระดับรัฐมนตรี มีเพื่อนนักข่าวผู้คร่ำหวอดในวงการและทำข่าวมาอาเซียนมานานเกิน 10 ปี ลองนั่งนับให้ดูเล่นๆ บอกว่า มีคณะทำงานงานในระดับเจ้าหน้าที่ชุดต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะทำงาน เฉลี่ยแล้วปีละ 600 ครั้ง ที่ภาครัฐของแต่ละประเทศมาประชุมพูดคุยกันในนามของอาเซียน และการประชุมแต่ละครั้งก็หมายถึงการใช้จ่ายมากมายที่แน่นอนว่ามาจากภาษีประชาชนทั้งสิ้น หากเปลี่ยนมาเป็นงบประมาณให้ประชาชนได้นำมาดำเนินงานจะเป็นไปได้หรือไม่ จึงน่าจะเรียกว่าทำให้ภาคประชาชนสามารถมีส่วนร่วมกับอาเซียนได้มากขึ้น

 

สิ่งที่เห็นในการประชุมของภาคประชาชนที่เพิ่งจะผ่านไปกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เพราะการประชุมภาคประชาชนเกิดขึ้นในพื้นที่เล็กๆ แคบๆ คล้ายแอบจัด เพราะการจัดงานเป็นไปแบบเงียบๆ อาหารการกินก็เป็นแบบสงบเสงี่ยมเจียมตนตามสไตล์ประชาชนที่ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ มีข้าวกล่อง กับข้าวสองอย่างให้กิน และมีอาหารว่างเล็กๆน้อย หรือส้มสักผล ซึ่งเป็นรูปแบบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการประชุมภายใต้การจัดงานของภาครัฐบาล

 

จริงๆ แล้ว ถ้าให้ความสำคัญกับภาคประชาชนจริง ทำไมอาเซียนไม่สนับสนุนให้การประชุมภาคประชาชนนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับการประชุม summit รวมทั้งจัดให้ภาคประชาชนอยู่ร่วมในการประชุมผู้นำและมีวาระการประชุมอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่การประชุมคู่ขนาน แต่ต้องมีสถานะที่เท่าเทียมกัน หรือการประชุมหลักควรเป็นการประชุมภาคประชาชน โดยให้ผู้นำนั้นเข้ามาช้อปปิ้งปัญหาที่ภาคประชาชนมานำเสนอ เพื่อนำมาเป็นวาระในการทำงานของรัฐบาล ไม่ใช่ข้อเสนอของภาคประชาชนถูกมาวางไว้เป็นน้ำจิ้ม หรือเครื่องเคียงประจำโต๊ะอาหารเท่านั้น

 

แน่นอนว่า ในการจัดเวทีมหกรรมภาคประชาชนอาเซียนครั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยในฐานะประธานอาเซียนได้ให้งบประมาณมาด้วยส่วนหนึ่งซึ่งก็ไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นเงินจำนวนเท่าไร แต่คาดว่า คงไม่มากเท่ากับที่ใช้จัดการประชุมผู้นำแน่ และคงไม่มีเงินมากพอที่จะสามารถจัดการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริงได้รู้ว่า มีเวทีอาเซียนภาคประชาชนด้วย คงมีเฉพาะคนที่อยู่ในแวดวงเอ็นจีโอเท่านั้นที่รู้ว่ามีงานนี้เกิดขึ้น และแต่ละคนที่มาร่วมงานก็เดินทางกันมาเอง หาที่พักกันเอง เพื่อนำเสนอปัญหาที่เป็นของประชาชนแท้ๆมานำเสนอให้ที่ประชุมสุดยอดผู้นำได้พิจารณา และก็คงไม่มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนกันมากเท่าที่ภาครัฐพบปะกันเป็นแน่ ซึ่งหากพูดว่าประชาชนเป็นศูนย์กลางจริงนั้นภาคประชาชนต้องยิ่งใหญ่กว่านี้

สุดท้าย เวทีภาคประชาชนคงไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือไปจากการออกแถลงการณ์ นำเสนอผลจากการประชุม ส่วนที่ว่า อาเซียนจะนำไปเป็นประเด็นในการเจรจา หรือพิจารณาหรือไม่ ไม่อาจรับประกันได้

 

นอกจากนี้ จากการที่ดร. สุรินทร์ บอกว่า เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องออกมาผลักดันให้รัฐบาลดำเนินการไปตามกฎบัตรอาเซียน ก็เกิดคำถามจากเวทีฯ เพิ่มเติมว่า แล้วในบางประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งพม่า ที่ไม่อนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง จะให้ประชาชนพม่าทำอย่างไร อาเซียนจะนำความสงบสุข หรือความสมานฉันท์กลับคืนสู่พม่าได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ ดร. สุรินทร์ได้ใช้ทักษะทางการทูตในการตอบว่า ทุกประเด็นที่เป็นปัญหาจะถูกหยิบยกขึ้นมาบนโต๊ะเจรจา จากการที่มีกฎบัตรแล้ว แต่ละประเด็นที่เป็นกังวลจะต้องไม่เป็นความลับ และยกตัวอย่างที่อดีตประธานาธิบดี วาฮิด แห่งอินโดนีเซียได้ออกมาพูดถึงประเด็นอาเจะห์ เนื่องจากเป็นที่เคลือบแคลงของสมาชิก ทว่า กรณีการละเมิดสิทธินุษยชนที่เกิดขึ้นในพม่า ที่ทุกคนเป็นห่วงอยู่นั้น รัฐบาลพม่าจะยอมพูดหรือ?

 

การมีกฎบัตรอาเซียนไม่ได้เป็นคำตอบหรือไม่ได้รับประกันว่าประชาชนจะได้รับความสำคัญจริง และไม่ได้รับประกันว่าทุกประเทศจะต้องทำตามกฎบัตรอันนั้น เพราะในกฎบัตรเป็นเพียงแนวทางให้สมาชิกปฎิบัติเท่านั้น ทั้งนี้เพราะทั้ง 55 มาตราของกฎบัตรอาเซียนก็ไม่มีมาตราไหนเลยที่ระบุว่า ถ้าหากสมาชิกไม่ปฎิบัติตามกฎบัติอาเซียนแล้วจะต้องถูกลงโทษอย่างไร กล่าวคือไม่มีบทลงโทษใดๆ ดังนั้น จึงเป็นไปตามความสมัครใจ หรือบางคนเรียกว่า สัญญาสุภาพบุรุษ ที่ถ้าใครไม่เป็นสุภาพบุรุษก็ไม่มีใครว่าอะไร ปล่อยให้ขายหน้าเอาเอง (ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล หรือภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "ไม่เวิร์ก")

 

นอกจากนั้นแล้ว อาเซียนยังคงใช้ระบบ "ฉันทามติ" ที่หากมีปัญหาต้องตกลงร่วมกัน หมายความว่าสมาชิกทั้ง 10 ประเทศต้องเห็นด้วยกันหมด อาเซียนคงไม่สามารถก้าวไปไหนได้ เพราะแต่ละประเทศนั้นต่างมีวาระของตัวเอง ดังนั้นหากมีแค่ประเทศเดียวคัดค้านก็หมายความว่า ประเด็นนั้นๆ ต้องตกไป

 

อาจจะเป็นครั้งแรกที่มีการพูดถึงภาคประชาสังคม โดยที่กฎบัตรอาเซียนได้ยอมรับองค์กรภาคประชาสังคม แต่ดูในรายชื่อแล้วกลับพบว่าน่าสงสัย เช่นการยอมรับสมาพันธ์นายจ้าง แต่กลับไม่มีองค์กรแรงงานอยู่ในรายชื่อ มีคำถามเช่นนี้ไปยังเลขาธิการอาเซียนเช่นกัน ทว่า คำตอบคือ ถึงไม่มีชื่ออยู่ในนี้คุณก็ทำงานได้ หรือคุณอยากมีชื่ออยู่ในนี้จริงหรือ คำถามนี้ใช่เป็นคำถามที่องค์กรภาคประชาชนต้องถามกับตัวเองและถามไปยังอาเซียนด้วยว่าถึงจะมีชื่ออยู่ในนั้น แต่คุณสามารถออกเสียงหรือมีบทบาทได้แค่ไหน การประชุมในวาระต่างๆ ยังคงถูกครอบงำโดยรัฐบาลแต่ละประเทศอยู่ดี

 

แน่นอนว่ามีเวทีให้พูดดีกว่าไม่มี อย่างเช่น เวทีภาคประชาชนที่ผ่านมานี้ ตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ กลุ่มผู้พิการทางหู ทางสายตา นักศึกษา แรงงานข้ามชาติ กลุ่มเยาวชน ผู้ติดเชื้อเอชไอวี เกษตรกร ชาวนา ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง และอื่นๆอีกมาก ต่างได้โอกาสมาหยิบยกประเด็นที่เป็นปัญหาของประชาชนจริงๆ แม้รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย กษิต ภิรมย์ ในฐานะประธานอาเซียน และ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ ที่เป็นเลขาธิการอาเซียนไปนั่งรับฟังปัญหาแล้วบอกว่าพร้อมจะนำปัญหาไปสู่บนโต๊ะ แต่ก็ยังอีกหลายประเด็นที่ไม่ได้ถูกบรรจุในวาระที่เป็นทางการของอาเซียน เช่น การเรียกร้องให้ยกเลิกการสร้างเขื่อนในพม่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า ประเด็นโรฮิงญา เป็นต้น

 

ในขณะที่บางประเด็น เช่น แรงงานข้ามชาติ ซึ่งประมาณการว่ามีจำนวนประมาณเกือบ 6 ล้านคนในประเทศอาเซียนนั้น อาเซียนได้ออกปฎิญญาอาเซียนที่ว่าด้วยเรื่องของแรงงานข้ามชาติ หรือที่รู้จักกันในนามของปฎิญญาเซบูขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ยืนอยู่บนฐานของความเป็นจริงและไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาเรื่องแรงงานข้ามชาติที่แท้จริงได้ เพราะในปฎิญญาเป็นการคุ้มครองเฉพาะแรงงานที่เดินทางเข้าประเทศโดยมีเอกสารรับรองจากประเทศต้นทางเท่านั้น แต่เพิกเฉยต่อแรงงานที่ไม่มีเอกสารที่มีอยู่ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขแรงงานย้ายถิ่นในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้ พิจารณาจากตัวเลขแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาในประเทศไทย ที่มีอยู่ประมาณกว่า 2 ล้านคน หรือแรงงานอินโดนีเซียในมาเลเซียจำนวนมากที่เป็นแรงงานที่ไม่มีเอกสาร ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ว่าจะมีเอกสารหรือไม่ ต่างก็เป็นประชาชนอาเซียนเช่นกัน และการเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่มีเอกสารนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นปัญหาของแต่ละประเทศที่ไม่ยอมรับและออกเอกสารรับรองพวกเขาเหล่านั้น ประเด็นเหล่านี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนชาวอาเซียนจริงๆ ทว่า การมีกฎบัตรอาเซียนไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาให้พวกเขาได้จริงๆ มีแต่เสียงจากรัฐบาลประเทศต่างๆ ตอบอึกๆ อักๆ ว่า มันก็คงไม่เสรีขนาดว่าใครจะเข้าไปประเทศไหนก็ได้

 

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว กฎบัตรอาเซียนจะมีคำขวัญว่า "One Caring and Sharing Community" ไปเพื่ออะไร ขณะที่มีการเปิดเสรีทางด้านการค้าและบริการเพื่อให้สินค้าเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แต่ประชาชนที่เป็นแรงงานผลิตสินค้าและใช้บริการนั้นกลับไม่สามารถเดินทางเลื่อนไหลไปได้

 

ดังนั้น "อาเซียนเป็นหนึ่งเดียว ประชาชนเป็นศูนย์กลาง" คงเป็นเพียงคำที่ใส่เพิ่มเข้ามาให้ดูดี หรือเรียกเล่นๆ ว่าเป็น "กิมมิค" เท่านั้น และเมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่คุณสุรินทร์ บอกว่า It's your responsibility นั้นก็เห็นจะจริง เพราะสามารถตีความได้ว่า "ประชาชนชาวอาเซียนทั้งหลาย คุณรับผิดชอบตัวเองเถอะ เพราะอาเซียนช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก"

 

บล็อกของ สุทธิดา มะลิแก้ว

สุทธิดา มะลิแก้ว
กลายเป็นเรื่องฮือฮาสำหรับการฉลองสงกรานต์ในปีนี้ (2554) เมื่อมีคนนำคลิปของเด็กสาวขึ้นเต้นโชว์เปลือยอกในการฉลองสงกรานต์ย่านสีลมที่มีผู้คนชมและเชียร์กันอย่างเมามันมาเผยแพร่กันอย่างแพร่หลายผ่านทางสังคมออนไลน์ รวมทั้งนักข่าวทุกสำนักก็ให้ความสนใจและนำเสนอกันอย่ากว้างขวาง มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมายว่า นี่เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมหรือการกระทำที่ทำลายวัฒนธรรม บางคนถึงขั้นกล่าวหาเด็กสาวเหล่านี้ว่าเป็นโรคจิตด้วยซ้ำ
สุทธิดา มะลิแก้ว
    ญี่ปุ่น นับเป็นประเทศที่มีพัฒนาการอย่างมากในเรื่องของเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในทางวัตถุอย่างรวดเร็ว มีรถไฟหัวกระสุนที่มีความเร็วสูง มีตึกสูงๆที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ หรือแม้แต่โรงปฎิกรณ์ปรมาณูนั้นก็ยืนยันว่ามีระบบความปลอดภัยเป็นเยี่ยม นอกจากนั้นยังเป็นประเทศที่มีประชากรที่มีระเบียบวินัยและคุณภาพที่พร้อมรับมือกับภัยร้ายๆได้อย่างดี ทว่า สุดท้ายแล้วเมื่อธรรมชาติพิโรธอย่างหนัก ประเทศระดับญี่ปุ่นเองก็ยังยากที่จะรับมือ ประสาอะไรกับประเทศที่ไร้ระเบียบและขาดการเตรียมการอีกหลายประเทศ เห็นภาพภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นแล้ว…
สุทธิดา มะลิแก้ว
  เป็นเวลานานหลายสิบปีที่พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจนนั้นไม่ได้ถูกให้ความสนใจ ประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่น แม้ต่างตอบตัวเองได้ว่าตัวเองเป็นพลเมืองของชาติใดหากต้องติดต่อกับทางราชการแต่ก็อยู่ร่วมกันด้วยดี ถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกันและทำมาหากินร่วมกันมายาวนาน การเดินข้ามไปข้ามมาในบริเวณนั้นก็มิได้เป็นปัญหา มิได้คิดว่าใครจะเข้ามารุกล้ำดินแดนใคร และในการใช้ชีวิตนั้นสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข ทว่า บัดนี้มาเกิดกรณีพิพาทอันเนื่องมาจากการอ้างสิทธิ์บนพื้นที่นี้เกิดขึ้นจากรัฐบาลทั้งสองประเทศและยังไม่อาจแน่ใจว่าข้อพิพาทนี้จะยุติลงได้เมื่อใด…
สุทธิดา มะลิแก้ว
    “พี่รีบๆไปดูเถอะ ตอนนี้ยังดีอยู่ ได้ข่าวว่านายทุนเข้าไปซื้อที่ตรงนั้นไปเยอะแล้ว ไม่ช้าก็คงจะเปลี่ยนไปแน่นอน” ผู้จัดการเกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งใน อ.ปาย บอก เมื่อถามว่า อำเภอใหม่เป็นไงบ้าง เพราะว่าดูจะไม่ไกลจากปายมากนัก และในอนาคตอาจไม่เห็นความเป็นธรรมชาติของที่นั่นแล้ว  
สุทธิดา มะลิแก้ว
“การย้ายถิ่นไม่ได้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติทางประวัติศาสตร์แต่เป็นมิติของการพัฒนาที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจุบัน” ตอนหนึ่งในรายงานการพัฒนามนุษย์ปี 2552 (Human Development Report 2009) จัดทำขึ้นโดยโครงการการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Programme –UNDP) ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้
สุทธิดา มะลิแก้ว
เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่า อินโดนีเซียมีความไม่พอใจมาเลเซียเป็นอย่างยิ่งที่มาเลเซียนำเพลง ราซา ซายัง เอห์ ( Rasa Sayang Eh) มาเป็นเพลงประกอบโฆษณาการท่องเที่ยว โดยระบุว่าเพลงนั้นเป็นเพลงของอินโดนีเซียและบอกว่าเนื้อเพลงที่ร้องนั้นเป็นภาษาท้องถิ่นของเกาะอัมบน
สุทธิดา มะลิแก้ว
ไม่ว่าการตัดสินคดีของอองซาน  ซูจีจะปรากฎออกมาเยี่ยงใดก็ตาม  มินท์ เมี้ยต รู้ดีว่า คงไม่ได้เป็นไปตามตัวบทกฎหมายใดๆหรอก แต่คำตัดสินนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าผู้นำรัฐบาลทหารพม่าต้องการให้ออกมาเช่นไร ตัวเขาเองนั้นรู้ซึ้งในเรื่องนี้ดีเพราะเคยมีโอกาสได้เข้าไปสู่กระบวนการนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว และเขารู้ดีว่า ชะตากรรมของชาวพม่านั้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก หากคนๆ นั้นบังเอิญไปทำอะไรขวางหูขวางตารัฐบาลเข้า เช่นเดียวกับตัวเขาและภรรยาที่เป็นวิศวกรอยู่ดีๆ ก็ต้องมากลายเป็นนักโทษ และสุดท้ายต้องมาลงเอยด้วยการเป็นแรงงานข้ามชาติอยู่ในประเทศไทย 
สุทธิดา มะลิแก้ว
ดูเหมือนเหตุการณ์จะประจวบเหมาะมากที่จู่ๆ ชายชาวอเมริกันคนหนึ่งได้เข้าไปบ้านพักของนางออง ซานซูจีจี ผู้นำพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ในช่วงที่นางจะหมดวาระการถูกกักบริเวณเพียงไม่กี่วัน และหากนางอองซาน ซูจีถูกตัดสินจำคุกก็เท่ากับว่านางและพรรคฝ่ายค้ายนั้นอาจไม่มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมกับแผน แผนปรองดองแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (Road Map for Democracy) เป็นแน่แท้ซึ่งเรื่องนี้ชาวโลกต่างให้ความสนใจว่า จริงๆ แล้วพม่ามีความจริงใจที่จะดำเนินการให้เกิดประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน
สุทธิดา มะลิแก้ว
1   ในระหว่างที่เห็นการนำเสนอข่าวอย่างครึกโครมเรื่องเด็กชายเคอิโงะ ลูกครึ่งญี่ปุ่นที่ออกมาตามหาพ่อ ก็คิดต่อทันทีว่า ไม่นานก็จะมีเด็กแบบเดียวกับเคอิโงะออกกันมาอีกแน่ๆ เพราะรู้ดีว่าเด็กแบบนี้ไม่ได้มีคนเดียวในประเทศไทยและยังคิดต่ออีกว่า หลังจากสื่อสามารถทำเรื่องชีวิตเด็กคนหนึ่งให้ฮือฮาได้แล้ว เรื่องของเด็กคนอื่นก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไป แล้วทั้งรัฐและเอกชนที่โหมกระหน่ำความช่วยเหลืออย่างเช่นกรณีเคอิโงะก็จะหายไปด้วย
สุทธิดา มะลิแก้ว
ท่ามกลางเปลวแดดที่แผดเผาจนผิวไหม้เกรียมแทบจะกลายเป็นเนื้อแดดเดียว  แม้จะสี่โมงเย็นแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าแสงแดดในบ้านเราจะยอมอ่อนแรงลงเลย  ยังคงสาดแสงอย่างเกรี้ยวกราดทำให้คนที่กำลังเดินอยู่นั่นแหละอ่อนแรงลงไปก่อน และแล้วก็ตั้งใจจะเรียกแท๊กซี่ (อีกแล้ว) แต่ก็ต้องยอมทนอีกนิดข้ามสะพานลอยไปเรียกรถอีกฝั่งหนึ่งดีกว่า เพื่อความสะดวกให้กับแท๊กซี่ไม่ต้องกลับรถ
สุทธิดา มะลิแก้ว
ตอนที่ 1 สุข-ทุกข์อยู่บนท้องถนนเห็นจะต้องยอมรับเสียทีว่า ตัวเองนั้นเป็นที่ใช้รถเปลืองมากๆ ส่วนใหญ่ถ้าวันไหนต้องออกจากบ้านก็คงจะใช้อย่างน้อย 2 คันทีเดียว ทั้งหมดนี้ไม่ได้อวดโอ้แต่ประการใด เพียงแต่ว่า พาหนะหลักในการเดินทางของผู้เขียนเวลาที่อยู่กรุงเทพฯ นั้นก็คือแท็กซี่ แม้จะใช้รถไฟฟ้าหรือใต้ดินบ้างก็ยังต้องนั่งแท๊กซี่ไปที่สถานีรถไฟฟ้าหรือใต้ดินอยู่ดี   ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีมานี้จึงได้พบเรื่องราวหลากหลายในระหว่างการนั่งรถแท๊กซี่ และผ่านบทสนทนากับคนขับแท๊กซี่ที่ผู้เขียนได้ใช้บริการไม่ว่าสีไหนก็ตาม (อันนี้หมายถึงสีของรถแท๊กซี่ไม่เกี่ยวกับสีในอุดมการณ์ของคนขับ)…
สุทธิดา มะลิแก้ว
"It's your responsibility" หรือ "คุณนั่นแหละต้องรับผิดชอบ" เป็นคำพูดที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียนพูดย้ำหลายครั้งต่อหน้าผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 1 พันคนเมื่อบ่ายวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ห้องประชุมมหิตลาธิเบศร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเวทีมหกรรมภาคประชาชนอาเซียนครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 -22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  สุรินทร์ พิศสุวรรณ กล่าวย้ำด้วยความภาคภูมิใจถึงการมีกฎบัตรอาเซียน โดยบอกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อาเซียนสามารถก้าวไปข้างหน้า เพราะถือเป็นกฎหมายสูงสุดที่ประเทศสมาชิกจะต้องปฎิบัติตาม การมีกฎบัตรจะทำให้อาเซียนมีฐานะเป็นนิติบุคคล และสิ่งที่ ดร.สุรินทร์…