Skip to main content

ดูเหมือนเหตุการณ์จะประจวบเหมาะมากที่จู่ๆ ชายชาวอเมริกันคนหนึ่งได้เข้าไปบ้านพักของนางออง ซานซูจีจี ผู้นำพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ในช่วงที่นางจะหมดวาระการถูกกักบริเวณเพียงไม่กี่วัน และหากนางอองซาน ซูจีถูกตัดสินจำคุกก็เท่ากับว่านางและพรรคฝ่ายค้ายนั้นอาจไม่มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมกับแผน แผนปรองดองแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (Road Map for Democracy) เป็นแน่แท้ซึ่งเรื่องนี้ชาวโลกต่างให้ความสนใจว่า จริงๆ แล้วพม่ามีความจริงใจที่จะดำเนินการให้เกิดประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน

ที่ผ่านมานั้น พม่าได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะเดินตาม road map โดยพยายามร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จ ทว่า เป็นการร่างรัฐธรรมนูญที่ต็มไปด้วยความคลางใจของผู้สังเกตการณ์ในประเด็นเรื่องการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน นอกจากนั้นเนื้อหาในรัฐธรรมนูญก็ไม่เอื้อให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมือง และยังเอื้อประโยชน์หรือยังคงให้อำนาจกับทหารและกองทัพอย่างเต็มที่ แม้จะมีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาในรัฐธรรมนูญแต่รัฐบาลพม่าไม่ได้สนใจต่อคำท้วงติงใดๆ ในทางกลับกันรัฐบาลพม่าได้ดำเนินแผนการขั้นที่หนึ่งไปแล้วอย่างเร่งด่วน นั้นคือการจัดให้มีการลงประชามติให้มีการ “รับรอง” รัฐธรรมนูญขึ้น แม้ว่าในช่วงนั้นผู้คนยังตกอยู่สภาวะยากลำบากเพราะเพิ่งจะประสบภัยนาร์กิสอยู่ก็ตาม

ถึงแม้ว่าจะยังสรุปไม่ได้ว่า ผลการตัดสินกรณีที่มีชายชาวอเมริกันเข้าไปยังที่พักของนางอองซาน ซูจีจะออกมาเช่นไร แต่ คืนใส ใจเย็น บรรณาธิการบริหารสำนักข่าวสารไทใหญ่ (Shan Herald Agency for News-S.H.A.N) และอดีตโฆษกส่วนตัวของขุนส่าและฝ่ายประชาสัมพันธ์แห่งกองทัพสหปฎิวัติรัฐฉาน (SURA) เชื่อว่า รัฐบาลทหารพม่าคงจะต้องทำทุกวิถีทางที่จะไม่ไม่ให้นางซูจีเข้ามามีส่วนร่วมในแผน road map ดังนั้น ทางที่พม่าจะเลือกก็คือต้องหาเหตุผลอะไรก็ให้สามารถตัดสินให้นางซูจีติดคุกให้ได้ และทางรัฐบาลก็คงจะพยายามจัดการเลือกตั้งตามแผนที่วางเอาไว้คือปีหน้า

ทั้งนี้ พม่าได้กำหนดเงื่อนไขเอาไว้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ทันในปีหน้าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย ปัจจัย 4 ประการ คือ ประการแรก การสำรวจประชากรพม่าใหม่จะเสร็จทันหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาพม่าเคยทำสำรวจสำมะโนประชากรไปแค่ 2 ครั้งคือเมื่อมี 1931 และ 1941 เท่านั้น แสดงว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันจำนวนตัวเลขประชากรในพม่าเป็นเพียงแค่ตัวเลขที่เดาไปเองเท่านั้น

ประการที่สอง คือ ในเรื่องปัญหากับกลุ่มต่างๆ จะแก้ได้หรือ เช่นว่าจะสามารถเอากลุ่มหยุดยิงทั้งหลายเข้ามาร่วมกับกองทัพพม่าได้หรือไม่ หรือจะสามารถสลายกำลังพวกนี้ได้มั้ย รวมทั้งปัญหาของว้า ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มที่มีกองกำลังที่ค่อนข้างเข้มแข็งที่สุด

ประการที่สาม คือ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างพม่ากับบังคลาเทศจะดีขึ้นมั้ย ซึ่งตรงนี้ คืนใส มองว่าได้เริ่มผ่อนคลายลงไปแล้วจึงอาจไม่ได้เป็นอุปสรรคมากมายใด ส่วนประการสุดท้าย คือ ประเด็นเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติด ที่จะเป็นประเด็นจะสามารถเอาใจสหรัฐฯได้หรือไม่ 

คืนใสได้ให้ความเห็นต่อประเด็นเรื่องความสัมพันธ์กับสหรัฐฯว่า แรกทีเดียวพม่าคิดว่า สหรัฐฯ จะปรับความสัมพันธ์กับพม่าแล้วแต่พอมีเรื่องการจับกุมนางนางซูจี สหรัฐฯก็หันกลับมาใช้นโยบายเดิมแล้วและ อย่างน้อยก็คิดว่าก็คงใช้เวลาอีกเป็นปีกว่าที่จะมาทบทวนเรื่องความสัมพันธ์อีกที

“คราวนี้อันนี้ก็เป็นเรื่องที่พม่าต้องคิดหนัก จะเอายังไงดี จะจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จมั้ย หรือจะปล่อยนางอองซานแล้วยอมให้มีส่วนร่วมกับแผน road map มั้ย บางทีอาจก็ขึ้นอยู่ว่าพม่าจะใจบุญหรือเปล่า” อดีตกระบอกเสียง SURA กล่าวติดตลกในตอนท้าย

อย่างไรก็ตาม คืนใส เห็นว่า กรณีการตัดสินคดีของนางอองซาน ซูจีซึ่งคาดว่าจะจัดการให้เสร็จตั้งแต่วันศุกร์ 29 พ.ค.2552 นั้น มาตอนนี้กลับเลื่อนออกไปนั้นก็แสดงว่า พม่ากำลังปรับแผนใหม่อยู่ เพราะในการจับกุมนางอองซาน ซูจีในครั้งนี้นั้น พม่าได้รับแรงกดดันจากนานาชาติอย่างรุนแรงชนิดที่พม่าคาดไม่ถึง ความกดดันจากนานาชาติที่ไม่เพียงแค่จากองค์การสหประชาชาติ และสหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังมีทั้งอาเซียน จีน อินเดีย และรัสเซียด้วย และการที่พม่าไม่ตัดสินคดีให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้นั้น คืนใส ชี้ว่า สามารถตีความได้ 2 อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือ ศาลไม่มีอำนาจในการตัดสินใจและอย่างทที่สองคือ พม่าต้องคิดอย่างหนักว่าจะการกับเรื่องนี้อย่างไร แต่คืนใสก็เชื่อว่า พม่าก็คงจะหาทางที่จะขัดขวางการเข้าร่วมในแผน road map ของนางซูจีอย่างแน่นอน

คืนใสมองประเด็นของการเลือกตั้งที่พม่าพยายามจะให้มีขึ้นว่า จำเป็นที่ทุกฝ่ายควรจะได้หารือกันก่อน หากเพียงเลือกตั้งเฉยๆก็คงจะไม่มีความหมายใดๆ และทางฝ่ายค้านเองก็ขอให้มีการเจรจา (dialogue) นางอองซาน ซูจีเอง ก็ได้ออกมาพูดว่า ถ้าจะมีการมาทบทวนเรื่องความสมานฉันท์แห่งชาติก็ยังไม่สายเกินไป ทว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นจังหวะก้าวสำคัญอีกประการหนึ่งนอกเหนือจากปัจจัยจากฝั่งของรัฐบาลในเรื่องของความปรองดองแห่งชาตินั้นก็คือ ความเข้มแข็งของฝ่ายค้านเอง

“ขณะนี้มันถึงเวลาแล้วที่ฝ่ายค้านทั้งหมดจะต้องมาร่วมมือกันก่อน ถ้าหากฝ่ายค้านสามารถร่วมมือกันได้ สามารถวางแนวนโยบายที่ชัดเจนที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ปีหน้าพม่าจะจัดการเลือกตั้งอย่างไรก็แล้วแต่ ฝ่ายค้านต้องมาร่วมกันให้ได้ แต่ถ้าปีหน้าเราทำไม่ได้ ในช่วงชีวิตของผมก็อาจจะไม่ได้เห็นความปรองดองในชาติเกิดขึ้นได้” คืนใสกล่าว

สำหรับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์เพื่อสร้างให้เกิดความปรองดองแห่งชาติ ทั้งเป็นผู้เคยอยู่ในเกมเองและผู้เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาเป็นเวลายาวนาน คืนใส กล่าวถึงเงื่อนไขที่จะทำให้ประเทศพม่ามีความสมานฉันท์เกิดขึ้นว่า ทุกฝ่ายจะต้องหันหน้าเข้ามาหากันและยอมกันทั้งหมด

“ผมเชื่ออยู่อย่างเดียวว่า การที่สถานการณ์จะดีขึ้นได้นั้นทุกฝ่ายต้องยอมกันทั้งหมดไม่ใช่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยอม ไม่ใช่ตานฉ่วนยอมฝ่ายเดียว ไม่ใช่ประชาชนยอมฝ่ายเดียวและไม่ใช่ฝ่ายค้านยอมฝ่ายเดียว” คืนใส กล่าว

นอกเหนือจากนี้แล้ว เขามองว่าความเปลี่ยนแปลงในพม่าจะเกิดขึ้นหรือไม่หรือจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหนเพราะต้องขึ้นกับหลายปัจจัยสำคัญ เช่น จีนจะเอาอย่างไร รัฐบาลจะเอาอย่างไร ฝ่ายค้านจะเอาอย่างไร และว้าจะเอาอย่างไร ซึ่งนั้นหมายความว่า ทั้งหมดนี้อาจจะต้องยอมให้กันเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์เกิดขึ้นในพม่า ทว่า เมื่อถามว่าเขาเองนั้นพอจะเห็นทางว่าพอจะเป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐบาลจะยอมให้ คำตอบก็คือ “ขณะนี้ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”
 

บล็อกของ สุทธิดา มะลิแก้ว

สุทธิดา มะลิแก้ว
กลายเป็นเรื่องฮือฮาสำหรับการฉลองสงกรานต์ในปีนี้ (2554) เมื่อมีคนนำคลิปของเด็กสาวขึ้นเต้นโชว์เปลือยอกในการฉลองสงกรานต์ย่านสีลมที่มีผู้คนชมและเชียร์กันอย่างเมามันมาเผยแพร่กันอย่างแพร่หลายผ่านทางสังคมออนไลน์ รวมทั้งนักข่าวทุกสำนักก็ให้ความสนใจและนำเสนอกันอย่ากว้างขวาง มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมายว่า นี่เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมหรือการกระทำที่ทำลายวัฒนธรรม บางคนถึงขั้นกล่าวหาเด็กสาวเหล่านี้ว่าเป็นโรคจิตด้วยซ้ำ
สุทธิดา มะลิแก้ว
    ญี่ปุ่น นับเป็นประเทศที่มีพัฒนาการอย่างมากในเรื่องของเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในทางวัตถุอย่างรวดเร็ว มีรถไฟหัวกระสุนที่มีความเร็วสูง มีตึกสูงๆที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ หรือแม้แต่โรงปฎิกรณ์ปรมาณูนั้นก็ยืนยันว่ามีระบบความปลอดภัยเป็นเยี่ยม นอกจากนั้นยังเป็นประเทศที่มีประชากรที่มีระเบียบวินัยและคุณภาพที่พร้อมรับมือกับภัยร้ายๆได้อย่างดี ทว่า สุดท้ายแล้วเมื่อธรรมชาติพิโรธอย่างหนัก ประเทศระดับญี่ปุ่นเองก็ยังยากที่จะรับมือ ประสาอะไรกับประเทศที่ไร้ระเบียบและขาดการเตรียมการอีกหลายประเทศ เห็นภาพภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นแล้ว…
สุทธิดา มะลิแก้ว
  เป็นเวลานานหลายสิบปีที่พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจนนั้นไม่ได้ถูกให้ความสนใจ ประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่น แม้ต่างตอบตัวเองได้ว่าตัวเองเป็นพลเมืองของชาติใดหากต้องติดต่อกับทางราชการแต่ก็อยู่ร่วมกันด้วยดี ถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกันและทำมาหากินร่วมกันมายาวนาน การเดินข้ามไปข้ามมาในบริเวณนั้นก็มิได้เป็นปัญหา มิได้คิดว่าใครจะเข้ามารุกล้ำดินแดนใคร และในการใช้ชีวิตนั้นสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข ทว่า บัดนี้มาเกิดกรณีพิพาทอันเนื่องมาจากการอ้างสิทธิ์บนพื้นที่นี้เกิดขึ้นจากรัฐบาลทั้งสองประเทศและยังไม่อาจแน่ใจว่าข้อพิพาทนี้จะยุติลงได้เมื่อใด…
สุทธิดา มะลิแก้ว
    “พี่รีบๆไปดูเถอะ ตอนนี้ยังดีอยู่ ได้ข่าวว่านายทุนเข้าไปซื้อที่ตรงนั้นไปเยอะแล้ว ไม่ช้าก็คงจะเปลี่ยนไปแน่นอน” ผู้จัดการเกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งใน อ.ปาย บอก เมื่อถามว่า อำเภอใหม่เป็นไงบ้าง เพราะว่าดูจะไม่ไกลจากปายมากนัก และในอนาคตอาจไม่เห็นความเป็นธรรมชาติของที่นั่นแล้ว  
สุทธิดา มะลิแก้ว
“การย้ายถิ่นไม่ได้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติทางประวัติศาสตร์แต่เป็นมิติของการพัฒนาที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจุบัน” ตอนหนึ่งในรายงานการพัฒนามนุษย์ปี 2552 (Human Development Report 2009) จัดทำขึ้นโดยโครงการการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Programme –UNDP) ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้
สุทธิดา มะลิแก้ว
เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่า อินโดนีเซียมีความไม่พอใจมาเลเซียเป็นอย่างยิ่งที่มาเลเซียนำเพลง ราซา ซายัง เอห์ ( Rasa Sayang Eh) มาเป็นเพลงประกอบโฆษณาการท่องเที่ยว โดยระบุว่าเพลงนั้นเป็นเพลงของอินโดนีเซียและบอกว่าเนื้อเพลงที่ร้องนั้นเป็นภาษาท้องถิ่นของเกาะอัมบน
สุทธิดา มะลิแก้ว
ไม่ว่าการตัดสินคดีของอองซาน  ซูจีจะปรากฎออกมาเยี่ยงใดก็ตาม  มินท์ เมี้ยต รู้ดีว่า คงไม่ได้เป็นไปตามตัวบทกฎหมายใดๆหรอก แต่คำตัดสินนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าผู้นำรัฐบาลทหารพม่าต้องการให้ออกมาเช่นไร ตัวเขาเองนั้นรู้ซึ้งในเรื่องนี้ดีเพราะเคยมีโอกาสได้เข้าไปสู่กระบวนการนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว และเขารู้ดีว่า ชะตากรรมของชาวพม่านั้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก หากคนๆ นั้นบังเอิญไปทำอะไรขวางหูขวางตารัฐบาลเข้า เช่นเดียวกับตัวเขาและภรรยาที่เป็นวิศวกรอยู่ดีๆ ก็ต้องมากลายเป็นนักโทษ และสุดท้ายต้องมาลงเอยด้วยการเป็นแรงงานข้ามชาติอยู่ในประเทศไทย 
สุทธิดา มะลิแก้ว
ดูเหมือนเหตุการณ์จะประจวบเหมาะมากที่จู่ๆ ชายชาวอเมริกันคนหนึ่งได้เข้าไปบ้านพักของนางออง ซานซูจีจี ผู้นำพรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ในช่วงที่นางจะหมดวาระการถูกกักบริเวณเพียงไม่กี่วัน และหากนางอองซาน ซูจีถูกตัดสินจำคุกก็เท่ากับว่านางและพรรคฝ่ายค้ายนั้นอาจไม่มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมกับแผน แผนปรองดองแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (Road Map for Democracy) เป็นแน่แท้ซึ่งเรื่องนี้ชาวโลกต่างให้ความสนใจว่า จริงๆ แล้วพม่ามีความจริงใจที่จะดำเนินการให้เกิดประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน
สุทธิดา มะลิแก้ว
1   ในระหว่างที่เห็นการนำเสนอข่าวอย่างครึกโครมเรื่องเด็กชายเคอิโงะ ลูกครึ่งญี่ปุ่นที่ออกมาตามหาพ่อ ก็คิดต่อทันทีว่า ไม่นานก็จะมีเด็กแบบเดียวกับเคอิโงะออกกันมาอีกแน่ๆ เพราะรู้ดีว่าเด็กแบบนี้ไม่ได้มีคนเดียวในประเทศไทยและยังคิดต่ออีกว่า หลังจากสื่อสามารถทำเรื่องชีวิตเด็กคนหนึ่งให้ฮือฮาได้แล้ว เรื่องของเด็กคนอื่นก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไป แล้วทั้งรัฐและเอกชนที่โหมกระหน่ำความช่วยเหลืออย่างเช่นกรณีเคอิโงะก็จะหายไปด้วย
สุทธิดา มะลิแก้ว
ท่ามกลางเปลวแดดที่แผดเผาจนผิวไหม้เกรียมแทบจะกลายเป็นเนื้อแดดเดียว  แม้จะสี่โมงเย็นแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าแสงแดดในบ้านเราจะยอมอ่อนแรงลงเลย  ยังคงสาดแสงอย่างเกรี้ยวกราดทำให้คนที่กำลังเดินอยู่นั่นแหละอ่อนแรงลงไปก่อน และแล้วก็ตั้งใจจะเรียกแท๊กซี่ (อีกแล้ว) แต่ก็ต้องยอมทนอีกนิดข้ามสะพานลอยไปเรียกรถอีกฝั่งหนึ่งดีกว่า เพื่อความสะดวกให้กับแท๊กซี่ไม่ต้องกลับรถ
สุทธิดา มะลิแก้ว
ตอนที่ 1 สุข-ทุกข์อยู่บนท้องถนนเห็นจะต้องยอมรับเสียทีว่า ตัวเองนั้นเป็นที่ใช้รถเปลืองมากๆ ส่วนใหญ่ถ้าวันไหนต้องออกจากบ้านก็คงจะใช้อย่างน้อย 2 คันทีเดียว ทั้งหมดนี้ไม่ได้อวดโอ้แต่ประการใด เพียงแต่ว่า พาหนะหลักในการเดินทางของผู้เขียนเวลาที่อยู่กรุงเทพฯ นั้นก็คือแท็กซี่ แม้จะใช้รถไฟฟ้าหรือใต้ดินบ้างก็ยังต้องนั่งแท๊กซี่ไปที่สถานีรถไฟฟ้าหรือใต้ดินอยู่ดี   ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีมานี้จึงได้พบเรื่องราวหลากหลายในระหว่างการนั่งรถแท๊กซี่ และผ่านบทสนทนากับคนขับแท๊กซี่ที่ผู้เขียนได้ใช้บริการไม่ว่าสีไหนก็ตาม (อันนี้หมายถึงสีของรถแท๊กซี่ไม่เกี่ยวกับสีในอุดมการณ์ของคนขับ)…
สุทธิดา มะลิแก้ว
"It's your responsibility" หรือ "คุณนั่นแหละต้องรับผิดชอบ" เป็นคำพูดที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียนพูดย้ำหลายครั้งต่อหน้าผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 1 พันคนเมื่อบ่ายวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ห้องประชุมมหิตลาธิเบศร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเวทีมหกรรมภาคประชาชนอาเซียนครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 -22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  สุรินทร์ พิศสุวรรณ กล่าวย้ำด้วยความภาคภูมิใจถึงการมีกฎบัตรอาเซียน โดยบอกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อาเซียนสามารถก้าวไปข้างหน้า เพราะถือเป็นกฎหมายสูงสุดที่ประเทศสมาชิกจะต้องปฎิบัติตาม การมีกฎบัตรจะทำให้อาเซียนมีฐานะเป็นนิติบุคคล และสิ่งที่ ดร.สุรินทร์…