เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2559 ก่อนวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับมีชัย วันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสนำรายชื่อจากการรณรงค์ change.org ภายใต้ชื่อแคมเปญ 'คำขอสงวนสิทธิไม่ยอมรับ-นับผลประชามติ ที่ไม่แฟร์ ไม่ฟรี' ไปยื่นต่อยูเอ็น กรรมการสิทธิฯ และ กกต. (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : เดินสาย 'กสม.-กกต.-UN' แจ้งสงวนสิทธิไม่ยอมรับ-นับผลประชามติ ที่ไม่แฟร์ ไม่ฟรี)
จากนั้น คุณจอม เพชรประดับ ได้สัมภาษณ์ผม และเผยแพร่ทาง Thaivoicemedia เมื่อวันที 5 ส.ค.59 ซึ่งผมได้ยืนยันเหตุผลที่บอยคอตไม่ยอมรับและนับผลประชามติครั้งนี้ เนื่องจากเราเชื่อว่า 'วิธีการ' เป็นตัวกำหนดหรือหน่ออ่อนของ 'ผล/เป้าหมาย' ของมัน ดังนั้นเมื่อวิธีการหรือประชามติไม่แฟร์ไม่ฟรี ย่อมส่งผลที่มีปัญหาตามมา
เรายื่นยันว่าที่มา และกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งวิธีการการทำประชามติ ล้วนแล้วเป็นการกระทำที่ไม่เห็นหัวประชาชนมาโดยตลอด ซึ่งมีผู้ร่วมลงชื่อประมาณ 200 กว่าคนจึงขอใช้สิทธิ์ไม่ไปใช้สิทธิ์เพราะไม่ต้องการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในสังคมไทย แต่ก็เคารพสิทธิ์ของประชาชนทุกคนทั้งการรับ และไม่รับร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีหลายเป้าหมายในการออกเสียงประชามติในครั้งนี้
ผมยืนยันในจุดยืนนี้ตั้งแต่ร่างชุดบวรศักดิ์ เมื่อกลางปีที่แล้ว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : 5 เหตุผล ที่ไม่ควรหนุนให้มี ‘ประชามติ’ ต่อร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับผลไม้พิษ, 18 May, 2015) ซึ่งในครั้งนั้นจุดยืนที่ผมไม่เห็นด้วยกับการให้มีการทำประชามติที่ย่อมพอทราบได้ว่าเป็นกระบวนการภายใต้เผด็จการทหาร ย่อมไม่แฟร์ไม่ฟรี และสามารถประเมินผลมันได้ชัด เนื่องจากมองว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นการเซตวาระของ คสช. ซึ่งไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เป้าหมายของ คสช. โดยแท้จริงอยู่ที่การเซตวาระต่างๆ ขึ้นมา เพื่อสร้างความชอบธรรมในการซื้อเวลาที่จะครองอำนาจไว้เท่านั้น