Skip to main content

  


เจดีย์กิ่วหรือเจดีย์ขาว
เป็นเจดีย์ที่ไม่อยู่ในวัด เจดีย์องค์นี้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง อยู่กลางถนน เป็นวงเวียนให้รถวิ่งวนรอบ อยู่ใกล้กำแพงทางทิศเหนือของสถานกงสุลอเมริกัน ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ใกล้กับเจดีย์องค์นี้   เป็นที่ตั้งของเทศบาลนครเชียงใหม่ เป็นเจดีย์สีขาว มีตำนานเล่าขานพิสดารไม่น้อย 

เล่าต่อๆกันมาว่า
พม่ายกกองทัพมาประชิดเมืองเชียงใหม่
 เพื่อต้องการยึดเมืองเชียงใหม่ ได้ท้าพนันดำน้ำแข่งกันระหว่างไทยกับพม่า ด้วยพม่าเชื่อว่า คนเชียงใหม่ไม่มีใครดำน้ำเก่ง  โดยมีเมืองเชียงใหม่เป็นเดิมพัน ใครขึ้นจากน้ำแม่ปิงก่อนเป็นฝ่ายแพ้  หากไทยแพ้ พม่าจะยึดเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองขึ้น  หากไทยชนะ  พม่าจะยกทัพกลับ และทำสัญญาไมตรีต่อกัน พม่าให้ไทยประกาศหาชายชาวเชียงใหม่ ที่ดำน้ำทนดำน้ำเก่งมาแข่งกับพม่า โดยให้เวลาหาผู้กล้าที่ดำน้ำทนดำน้ำอึดภายใน  3  วัน เจ้าหลวงเวียงพิงค์ได้ป่าวประกาศหาคนเก่งมาแข่งดำน้ำทนที่แม่น้ำปิงกับพม่า เมื่อครบ 3 วันก็ยังไม่มีใครอาสา ที่สุดเจ้าเมืองเวียงพิงค์ก็ปลงตก เห็นทีต้องยกเมืองเชียงใหม่ให้พม่า   พอดีประกาศมาถึงห้างนาของ "ลุงเปียงแกไม่ลูกไม่มีหลานอยู่ตามลำพัง แกคิดว่า อยู่ไปวันๆก็รอวันตายเท่านั้น แกคิดจะตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน จึงรับอาสาประลองดำน้ำครั้งสำคัญ ทั้งๆที่แกดำน้ำไม่เก่งเลย 

วันแข่งขันมาถึง
มีการสร้างปะรำพิธีริมแม่น้ำปิง มีทั้งเจ้าหลวงพม่าและไทยเป็นสักขีพยาน ประชาชนคนเมืองมาชมกันมากมาย   รอชมการแข่งขันดำน้ำครั้งสำคัญ ที่เดิมพันด้วยเมืองเชียงใหม่ มีการตอกเสาในน้ำแม่ปิง 2 เสา ให้ผู้แข่งขันทั้งสองดำน้ำลงไปกอดเสาไว้คนละต้น ใครขึ้นมาก่อนเป็นผู้แพ้  "ปู่เปียง" ได้นำผ้าขะม้าลงไปด้วย  แกได้เอาผ้าขะม้ามัดตัวติดกับเสาไว้  ทำให้อยู่ในน้ำได้นานกว่าพม่า พม่าโผล่ขึ้นมาก่อนเป็นฝ่ายแพ้  ได้ยกทัพกลับตามสัญญา เจ้าหลวงเวียงพิงค์รอ "ปู่เปียง"ขึ้นจากน้ำ จนเวลาผ่านไป 1 วัน จึงให้คนดำน้ำลงไปค้นหา ปรากฏว่า "ปู่เปียง" ผู้รักบ้านเมืองได้เสียชีวิตแล้ว  โดยแกเอาผ้าขะม้าผูกตัวติดกับเสาไว้ เจ้าผู้ครองนครเวียงพิงค์หรือเชียงใหม่ในปัจจุบัน จึงได้สร้างเจดีย์ขึ้นบริเวณที่แข่งดำน้ำนั้น เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ "ลุงเปียง"  ชื่อว่า "เจดีย์กิ่ว" หรือ "เจดีย์ขาว

ที่เรียกชื่อว่า
"เจดีย์กิ่ว" นั้นมีเรื่องเล่าต่ออีกว่า สายน้ำปิงบริเวณตะลิ่งแม่น้ำปิง  องค์เจดีย์กิ่ว  น้ำเชี่ยวแรงมาก  เพราะเป็นทางโค้งแล้วหักออก ทำให้เจดีย์กิ่วลง  อีกแนวทางหนึ่งเล่าว่า บริเวณตะลิ่งแม่น้ำปิงตรง "เจดีย์กิ่วน้ำปิงกัดเซาะเข้าจนเป็นคอคอด ภาษาพื้นเมืองเรียกจุดคอดว่า "กิ่วตรงนี้เป็นจุดที่มีน้ำวน  น้ำเชี่ยวและลึกมาก น้ำวนนี้สามารถดูดซุงต้นใหญ่ๆหายไปได้ และมีผู้เสียชีวิตที่บริเวณนี้ทุกปี  ใต้ฐานเจดีย์กิ่ว  มีอุโมงค์ทอดยาวไปโผล่ที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร บ้างว่าอุโมงค์นี้ทะลุไปถึงถ้ำเชียงดาว จริงเท็จเพียงใด  ยังหาผู้กล้าทดลองลอดเข้าอุโมงค์ เพื่อพิสูจน์ไม่ได้จนบัดนี้.

 

บล็อกของ ถนอมรัก เดือนเต็มดวง

ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  อ่านกวีนิพนธ์ ของโอมาร์ คัยยัม กวีชาวเปอร์เซียหรืออิหร่าน โดยแคน สังคีต แปลเป็นภาษาไทย ได้เนื้อหาเกี่ยวกับความรักว่า                                                     อันความรัก คืออะไร          ควรใคร่คิด          …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  เนาวรัตน์กวาดสายตา เข้าไปในตัวบ้านไม้ชั้นเดียว พื้นบ้านต่ำกว่าระดับถนนคอนกรีตเล็กน้อย   ข้างฝามีปฏิทิน มีรูปคณะซอ   มีรูปแม่จันทร์สม สายธารา   นั่งคู่กับผู้ชายวัยใกล้เคียงกัน   เนาวรัตน์คาดคะเนว่า คงเป็นครูคำผาย นุปิง ทั้งคู่อยู่ในชุดคนเมือง   ข้างหลังนั่งล้อมวง   สวมเสื้อหม้อฮ่อม ปี่ 3 คน ซึง 1 คน เนาวรัตน์มองดูที่หน้าบ้านริมถนน มีสิ่งก่อสร้าง คล้ายโรงครัวเล็กๆ   มีป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดข้างฝา   บอกชื่อแม่จันทร์สม สายธารา   ที่อยู่  …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  เสียงปี่ผสมเสียงซึงดังขึ้น  รับกับเสียงผู้ขับซอ   เสียงปีและซึงผสมกลมกลืนมีทั้งหวานแหลมและนุ่มนวล   ก่อเกิดบรรยากาศความเป็นชาวเหนือขึ้นมาทันที   ผู้ขับซอชายนั่งขัดสมาธิ มือถือไมโครโฟนไร้สาย ผู้หญิงนั่งพับเพียบเคียงกัน หันหน้าอวดผู้ชม   ยามผู้ชายขับซอ   ผู้หญิงเอียงตัวไปมา มือไม้ขยับรับเสียงดนตรี   ทำนองดนตรีนั้นเนาวรัตน์ฟังไม่ออก เป็นเพลงอะไร สมัยเด็กๆเขาเข้าใจว่า คนเป่าปี่และคนดีดซึง คงเล่นเพลงเดียวตลอดงาน เพราะฟังทีไรก็เหมือนเดิมทุกที …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
    เนารัตน์ข้าราชการบำนาญ นั่งเก้าอี้พลาสติกของวัด   ดูซอที่ตั้งเวทีข้างประตูวัด สถานที่ซอเป็นยกพื้นขึ้นสูงราวคอผู้ใหญ่ ปูพื้นด้วยไม้กระดาน ล้อมสามด้านด้วยไม้ไผ่ลำโตขนาดข้อมือเด็ก ด้านละ 2 ต้น คล้ายเชือกกั้นเวทีมวย อีกด้านมีบันไดพาด สำหรับให้คณะซอปีนขึ้นไป สถานที่ขับซอเรียกว่า “ผามซอ” พื้นจะปูด้วยเสื่อ ความจริงเนาวรัตน์ไม่อยากมาชมเท่าไร   อยากได้เรื่องราวเกี่ยวกับด้านบันเทิงของชาวเหนือ นำไปเขียนลงเวบเพื่อเผยแพร่ หรือส่งไปยังหนังสือที่เขาต้องการ...ในวัยเด็กย่าบอกว่า ซอสนุกมาก …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
    ผู้ใหญ่บ้านได้พูดเสริมต่อจากเจ้าอาวาส “กรรมการวัด ได้มีการประชุมหารือกันก่อนแล้วแล้วรอบหนึ่ง มีเจ้าอาวาสเป็นประธาน คณะกรรมการวัด มีข้อคิดความเห็นว่า จะขอความร่วมมือร่วมใจจากศรัทธาญาติโยมทุกคน ช่วยกันบริจาคเงินเพื่อจัดงานบวช ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 โดยจะขอเก็บหลังคาละ 140 บาท เงิน 40 บาทจะเป็นค่าจัดทำอาหารกลางวัน  เลี้ยงศรัทธาทั้งหมู่บ้าน ส่วนอีก 100 บาท จะเป็นค่าทำบุญและค่าจ้างซอมาเล่นเฉลิมฉลอง จึงอยากถามหมู่เฮาชาวบ้านว่า  จะเห็นด้วยไหม ?” มีเสียงพึมพำอึงในวิหาร …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
    เสียงเคาะลำโพงปลายเสาไฟฟ้า   ในหมู่บ้านทุ่งแป้ง   ดังขึ้น 3 ครั้ง แล้วมีเสียงพูด “ ฮัลโหล !   ฮัลโหล !   ครับ !   ขอประชาสัมพันธ์ วันนี้กินข้าวแลงแล้ว   เวลาประมาณ 1 ทุ่มเศษ   ขอเชิญทุกบ้านทุกหลังคาเรือน   มาประชุมพร้อมกันที่วัดทุ่งแป้งนะครับ มีหลายเรื่องที่จะประชุมหารือกัน   อย่าได้ขาดกันเน้อ   บอกต่อๆกันไปด้วยเน้อครับ...ขอขอบคุณครับ”
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
   
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
    ได้ยินเสียงหมอเรียก เราทั้งคู่รีบเข้าไป เห็นเจ้าเหมียวนอนตะแคงนิ่งเหมือนท่อนไม้ ลิ้นแดงเล็กห้อยคาปาก หมอบอกว่า เอาลิ้นมันคาปากไว้ หากลิ้นค้างในปากขณะมันสลบ ลิ้นอาจจุกปากหายใจไม่ออกอาจตายได้ มันจะสลบสัก 1 ชั่วโมง ลุงกับป้าช่วยกันอุ้มมันขึ้นรถ   วางมันบนเบาะหลังที่มีผ้าขนหนูรอง พอถึงบ้านอุ้มมันไปวางราบบนม้ายาวที่มีหมอนรอง ลิ้นยังคาปากเหมือนเดิม อดนึกไม่ได้ว่าตอนแมว
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
 
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  ผมมองผ่านทางเดิน ไปห้องครัว เห็นแมวต่างบ้าน เดินย่องเงียบกริบออกมา เจ้าตัวนี้มาขโมยอะไรกินบ่อยๆ ผมหมายตาจะเล่นงานมันหลายครั้ง แต่มันรอดปลอดภัยทุกที ไม่ทำร้ายอะไรมากมายหรอก จะหาไม้เล็กๆไม่ทันแล้ว เราก็นักฟุตบอล ใช้เท้าเคลื่อนไหวประจำ เตะได้ทั้งซ้ายขวา ไม่รู้จักศูนย์หน้าทีมโรงเรียนดังซะแล้ว จะหลบซ้ายขวาเจอหมด  ฮะฮ่า !..เสร็จแน่เจ้าเหมียว แมวขาวดอกลายเดินกลับออกมาใกล้ถึงมุมห้องแล้ว ผมโผล่พรวดออกไป มันตกใจยืนตลึง ผมส่งเสียงข่มขวัญ มันตั้งหลักได้ขยับวิ่งไปทางขวาแล้วแวบมาทางซ้าย …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
      พออากาศเริ่มเย็น เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว นกเอี้ยงที่เคยหายไป เริ่มกลับมาส่งเสียงแก๋ๆ ตามยอดต้นโพธิ์ข้างวัด ส่วนนกเขาอยู่ประจำถิ่นในหมู่บ้าน ฤดูไหนผมก็ยังเห็นนกเขาเสมอ เดินไปมาตามถนนบ้าง เกาะสายไฟบ้าง บ้านนี้นกเขามากจริงๆ คนแปลกหน้าเข้ามา จะได้ยินเสียงนกเขาคูระงมหมู่บ้าน คงนึกว่าหมู่บ้านนี้เลี้ยงนกเขา ความจริงไม่เห็นใครเลี้ยงนกเขาเลย มันเป็นนกที่หากินเอง ว่างจากหาอาหาร มันจะคูเสียงขับกล่อมผู้คนชาวทุ่งแป้ง ขณะผมพิมพ์หนังสือ ยังได้ยินเสียงคูทุ้มๆ มาจากทิศเหนือ ละแวกบ้านน้าบุญแว่วมา …
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
  แปรงฟันล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย ผมกลับมายืนดูที่หน้าต่างดังเดิม ฝูงนกยางยังคงบินตามกันเต็มท้องฟ้า ไม่รู้จักหมดสิ้น อากาศเริ่มเย็น ลมเย็นพัดมาจากทุ่งหน้าบ้านเอื่อยๆ บอกสัญญาณย่างเข้าสู่ฤดูหนาว นกมากมายไม่รู้มันมาจากไหน มาไกลแค่ไหน บ้างว่ามันมาจากไซบีเรีย จีน มองโกล หิมาลัย มันเป็นนกปากห่าง  นกยาง ฯลฯ จำนวนเป็นแสนตัวทีเดียว สิ่งที่ตามมาคือโรคติดต่อ ต้องระวังไข้หวัดนก ที่มันนำมาฝากเจ้าของบ้าน