Skip to main content

แกชื่อยายอิ่ม

ผู้เคยเฉิดฉายในวงสังคม เพราะคัดสรรเฉพาะสามีรวย หนีออกจากบ้านไปมีผัวตั้งแต่อายุสิบสอง

ผ่านมาสี่สิบกว่าปี มีผัวมากี่คน คงนับได้ยากเสียแล้ว


พอยายอิ่มแก่ตัวลูกก็หนีหาย ต่างคนต่างไป ไม่มีใครเลี้ยง สุดท้าย แกคว้าตาหงอก ผู้(อ้างว่า)เป็นผู้ดีเก่ามาไว้หาเลี้ยงจนได้


สมัยสาวๆ ยายอิ่มได้มรดกจากพ่อแม่ไปเยอะ แต่ขายกินจนหมด แกมีชื่อเสียงมากด้านความคด ในข้องอในกระดูก ถึงขนาดที่ แม้แต่พี่น้องด้วยกันก็ยังโดน จนต้องตัดพี่ตัดน้องกันนั่นแหละ


ในที่สุด พอแก่ตัวไม่มีที่จะอยู่ ต้องมาบีบน้ำตาขอที่จากแม่เฒ่า ซึ่งแม่เฒ่าแกก็ค่อยอยากจะให้ เพราะให้ไปมากแล้ว (แต่เอาไปขายกินหมด) แล้วแกก็ตั้งใจว่าจะเอาไว้แบ่งให้หลานๆ ที่ดูแลแก


สุดท้ายด้วยความสงสารลูก แม่เฒ่าก็จำต้องขายให้ในราคาถูกๆ กะว่าจะได้พอมีเงินเก็บไว้ใช้ในยามชราบ้าง ทว่า เมื่อปลูกบ้านเสร็จ ยายอิ่มกลับทำเฉย เบี้ยวเงินค่าที่ของแม่ตัวเองซะงั้น


ก่อนแม่เฒ่าจะตาย แกบอกหลานๆ ไว้ว่า แกแช่งไว้แล้ว ใครเบี้ยวเงินแกขอให้มันมีอันเป็นไป

ตอนงานศพแม่เฒ่า ยายอิ่มแทบไม่มาดูดำดูดี ไม่ช่วยเงินสักบาท ไม่ออกแรงช่วยอะไรทั้งสิ้น

ชะรอยคำแช่งของคนแก่จะมีผล ยายอิ่มทำอะไรไม่เคยรอด


ขายข้าวแกง ก็ขออาศัยที่หน้าบ้านหลานสาว แต่ไปใช้ไฟใช้แก๊สเขาไม่เคยให้เงิน ไหว้วานหลานเขยไปขนของก็ไม่เคยให้ค่าน้ำมัน มากินมาใช้ที่บ้านหลานสาวตลอด แถมหยิบฉวยข้าวของในบ้านเขาไปใช้ก็ไม่เคยคืน แต่พอหลานสาวจะขอมะม่วงกินสักลูก สะบัดหน้าหนีเหมือนคนไม่รู้จักกัน


แรกๆ ข้าวแกงก็ขายดีแม้จะแพงไปหน่อย แต่แล้วยายอิ่มก็เริ่มเป็นแผลที่ขาเหวอะหวะ เรื้อรังรักษาไม่หาย แกบอกว่าแกเป็นเบาหวาน แต่ชาวบ้านคิดว่า เอ ไอ ดี เอส แน่ๆ เลยไม่มีใครกล้ากินของแก สุดท้ายต้องเลิกขาย


ยังไม่พอ ที่หน้าบ้านหลานสาวที่อาศัยขายของ แกยังทำท่าจะฮุบเป็นของตัวเอง หลานสาวเลยจำใจต้องกั้นรั้ว ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า


ยายอิ่มตระเวนหางานไปทั่ว แต่ไม่มีใครให้ทำ เพราะเข็ดขามกับนิสัย มีไม่เคยแบ่ง แต่ชอบแย่งคนอื่นกิน แม้จะพยายามคบหากับคนมีตังค์เพื่อหวังผลประโยชน์บ้าง แต่คนรวยส่วนใหญ่ก็ไม่โง่ให้แกเอาเปรียบ


หลังๆ ตาหงอก ไปค้าขายที่กรุงเทพฯ ทำให้ยายอิ่มอยู่สบาย วันๆ ไม่ต้องทำอะไร ผัวหาเลี้ยง แถมทำเลี้ยงด้วย ว่ากันว่า ตาหงอกทำพระปลอม ตะกรุดปลอมขาย กระนั้นก็ยังมีคนปัญญาเบาเชื่อว่า ยายอิ่มกับผัว เป็นคนใจพระธรรมะธัมโม


ตาหงอกเองก็เอาเปรียบคนเก่งไม่แพ้ยายอิ่ม แถมยังชอบคุยเขื่อง จนทำให้ชาวบ้านหมั่นไส้


ทุกเช้าแกจะไปนั่งที่ร้านค้าประจำหมู่บ้าน กินกาแฟ (กระป๋อง) พูดถึงงานที่มีคนมาจ้าง แล้วพูดถึงเงินเรือนหมื่นเรือนแสน ถ้ามีใครสนใจไถ่ถาม แกยิ่งคุยฟุ้ง


สังเกตเสียหน่อยก็จะรู้ ถ้ารวยอย่างที่คุย คงไม่ปั่นจักรยานต๊อกๆ อยู่ ซื้อรถเครื่องไว้ใช้สักคันก็ไม่มีใครว่าหรอก


วันหนึ่ง ยายอิ่ม ติดจานดาวเทียม ต่อห้องให้นายอู๊ดลูกชาย กับเมียที่จะย้ายมาอยู่ด้วย ซึ่งในเวลาต่อมา ยายอิ่มคงจะคิดได้ว่า ไม่น่าเลย


นายอู๊ด ลูกชายยายอิ่ม ชาวบ้านรู้จักกันดี ในฐานะของคนที่ “คุณก็รู้ว่าไม่ควรไปยุ่ง” เพราะได้นิสัยแม่มาเต็มๆ ดูเหมือนจะคูณสองเสียด้วย


ขณะที่ยายอิ่มโกงอย่างเงียบๆ แต่นายอู๊ด โกงแบบซึ่งๆ หน้า ยืมเงินใครก็ชักดาบเฉยๆ เสียอย่างนั้น เงินร้อยเงินพัน ไม่เคยใช้คืน จนใครต่อใครเขารู้กันทั่ว กระทั่งญาติพี่น้องยังระอา ถ้าใครไม่ช่วย ไม่ให้ยืมเงิน นายอู๊ดก็จะตัดพ้อด้วยประโยคคลาสสิก

...ไม่เอาพี่เอาน้องเลย...”


ขณะที่ญาติๆ เริ่มคิดได้แล้วว่า พี่น้องแบบนี้ ไม่เอาเสียดีกว่า

นายอู๊ดเคยเมาเข้าไปยืมตังค์ญาติแล้วเขาไม่ให้ ก็ตามไปชกเขาถึงในบ้าน นายอู๊ดเกือบจะต้องไปนอนในคุก ถ้าผู้ใหญ่ไม่มาขอไว้


นายอู๊ดเคยก่อความเดือดร้อนไปทั่ว ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รอด เพราะปากดี แต่ไม่เคยทำความดีพฤติกรรมก็ใกล้เคียงโจรเข้าไปทุกขณะ ต่างตรงที่ไม่ได้เอาปืนไปจี้เท่านั้น

ร้ายยิ่งกว่านั้น ใครๆ ก็รู้ว่า นายอู๊ดเป็น “จ๊อกกี้” ชอบควบม้าเป็นประจำ แม้ตอนนี้จะราคาเม็ดละหลายร้อย แต่คนมันติดเสียแล้วก็ต้องหามาจนได้ เล่นเองไม่พอ ยังเอามาขายให้เด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านติดงอมแงมไปตามๆ กัน


ตามแบบของคนเล่นของ เล่นมากเข้างานการก็ไม่ทำ เคยรับจ้างญาติทำงานในตลาดสบายๆ ก็ไม่ไป นอนอยู่บ้านให้ภรรยาหาเลี้ยง วันๆ เพื่อนฝูงแวะเวียนมาหา ทีละคนสองคน มาแล้วก็แวะเวียนเข้าไปในห้อง ทำอะไรกันเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง ก็กลับออกไป


ตั้งแต่นายอู๊ดมาอยู่บ้านยายอิ่ม เพื่อนบ้านต้องระวังข้าวของให้ดี เผลอเมื่อไรมันขนไปขายหน้าตาเฉย


คนที่เดือดร้อนคือยายอิ่ม กับตาหงอก กลัวว่าสักวันจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเคาะประตู ถ้าเปิดมาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ คงต้องทรุดตัวลงกราบสถานเดียว


ทั้งนายอู๊ดเองก็ไม่เคยเกรงใจใครทั้งสิ้น อย่าว่าแต่ห้ามปรามหรือตักเตือนเลย อยู่ๆ ไปคิด(เอาเอง)ว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน ชี้นิ้วสั่งตาหงอกให้ทำกับข้าวให้ จนตาหงอกชักจะเหลืออด ต้องบ่นออกมาดังๆ ว่า

...ถ้าไม่ไหว กูก็ไปละโว้ย...”


นั่นคือ ถ้าทนไม่ไหวแกก็กลับไปอยู่เมืองกรุง สบายใจกว่า ทำมาหากินสะดวกกว่า

ยายอิ่มเองก็เริ่มจะคิดได้ว่า ตัดสินใจผิดที่ให้ลูกชายมาอยู่ด้วย เพราะนิสัยที่ติดตัวมันมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเปลี่ยนเลย เงินมันหามาได้ก็ไม่เคยให้แม่สักกะบาทเดียว ถ้าตาหงอกหนีกลับไปอยู่กรุงเทพฯ ยายอิ่มก็หมดสิ้นทุกอย่าง เพราะทุกวันนี้ ตาหงอกหาเลี้ยงทั้งนั้น


ในที่สุด ยายอิ่มก็เริ่มเปรยกับญาติที่มีเงินว่าอยากจะขายบ้าน กลับไปอยู่กรุงเทพฯ

เหตุผลนั้นถึงไม่บอกก็รู้ ยายอิ่มอยากจะย้ายหนีลูกชาย เพราะไล่มัน มันก็คงไม่ไปแน่ๆ


ชาวบ้านนินทากันหน้าร้านขายหมู

...ยายอิ่มทำกับแม่ตัวเองไว้ยังไง ตอนนี้ไอ้อู๊ดทำกับยายอิ่มยิ่งกว่าเสียอีก...”


เดี๋ยวนี้ พอตาหงอกจะเข้ากรุงเมื่อไร ยายอิ่มก็หวาดระแวงทุกครั้ง กลัวตาหงอกจะทิ้งแกไป ขณะที่ไอ้ลูกชายตัวดี ก็ไม่รู้วันไหนมันจะพาตำรวจเข้าบ้าน หรือจะพาความเดือดร้อนอะไรมาให้อีก


ไปๆ มาๆ จะพลอยซวยติดร่างแห เข้าตะรางตอนแก่ยิ่งแย่หนัก


คนเรายิ่งอายุมาก ความเสื่อมยิ่งเข้าครอบงำ

ร่างกายเสื่อมมันก็เป็นธรรมดาของสังขาร ไม่อาจฝืนได้

แต่จิตใจคนเรานั้น หากไม่พยายามยกขึ้นให้สูง มันก็จะเสื่อมเร็วยิ่งกว่าร่างกายเสียอีก

ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไม่น่าคบแบบบ้านๆ อย่างยายอิ่มกับตาหงอก หรือ ครอบครัวอดีตผู้นำที่กำลังเผชิญชะตากรรม “ฟ้าเคืองสันหลัง” ดูๆ ไปก็คล้ายกัน


บั้นปลายชีวิตที่เต็มไปด้วยกิเลศ เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว

กับบั้นปลายชีวิตที่วางได้ ละได้

แตกต่างกันแค่ไหน


เราทุกคนมีสิทธิ์เลือกอย่างเท่าเทียม


บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
แกชื่อยายอิ่ม ผู้เคยเฉิดฉายในวงสังคม เพราะคัดสรรเฉพาะสามีรวย หนีออกจากบ้านไปมีผัวตั้งแต่อายุสิบสอง ผ่านมาสี่สิบกว่าปี มีผัวมากี่คน คงนับได้ยากเสียแล้ว พอยายอิ่มแก่ตัวลูกก็หนีหาย ต่างคนต่างไป ไม่มีใครเลี้ยง สุดท้าย แกคว้าตาหงอก ผู้(อ้างว่า)เป็นผู้ดีเก่ามาไว้หาเลี้ยงจนได้ สมัยสาวๆ ยายอิ่มได้มรดกจากพ่อแม่ไปเยอะ แต่ขายกินจนหมด แกมีชื่อเสียงมากด้านความคด ในข้องอในกระดูก ถึงขนาดที่ แม้แต่พี่น้องด้วยกันก็ยังโดน จนต้องตัดพี่ตัดน้องกันนั่นแหละ ในที่สุด พอแก่ตัวไม่มีที่จะอยู่ ต้องมาบีบน้ำตาขอที่จากแม่เฒ่า ซึ่งแม่เฒ่าแกก็ค่อยอยากจะให้ เพราะให้ไปมากแล้ว (แต่เอาไปขายกินหมด)…
ฐาปนา
นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่ ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด…
ฐาปนา
ทุกเช้า ประมาณตีสี่ครึ่ง หอกระจายข่าวกลางหมู่บ้านจะเปิดข่าวเช้า(มืด)จากสถานีวิทยุของจังหวัด เป็นสัญญาณให้ทุกบ้านตื่นนอน เตรียมตัวมาปฏิบัติภารกิจประจำวัน หุงข้าว ทำกับข้าว เตรียมใส่บาตร เตรียมตัวรอขึ้นรถไปโรงเรียน เตรียมตัวรอขึ้นรถไปทำงาน ใครไม่ตื่นก็ต้องตื่น เพราะเสียงดังจนตามเข้าไปถึงในฝัน รายการเช้ามืด เริ่มต้นด้วยเพลงปลุกใจให้ยึดมั่นในสถาบัน แล้วตามด้วยธรรมเสวนา จากเจ้าอาวาสวัดที่เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด ตามด้วยสาระน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องการเกษตร การทำมาหากิน โครงการต่างๆ จากรัฐบาล และ การปฏิบัติงานของหน่วยงานในจังหวัด
ฐาปนา
เช้าตรู่ของวันอากาศดีเสียงตามสายประกาศให้สมาชิกสหกรณ์การเกษตร เข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกันตอนบ่ายโมงตรง ณ ศาลาของหมู่บ้านพอบ่ายโมงครึ่ง สมาชิกสหกรณ์ฯ ก็มากันพร้อมหน้าเจ้าหน้าที่สหกรณ์มากันสามคน คนที่ดูอาวุโสกว่าใคร พูดมากกว่าใคร และเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าใคร เป็นหัวหน้าชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมได้รับกระดาษคนละหนึ่งแผ่น ปากกาคนละหนึ่งด้าม อ่านดู ก็เห็นว่าเป็นแบบฟอร์มสำรวจเรื่อง “ความพอเพียงในครัวเรือน”
ฐาปนา
ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากทะเล ป่าและเขาก็อยู่ไม่ไกล มีคลองส่งน้ำจากเขื่อนผ่านพื้นที่อย่างทั่วถึง ทำนาได้ปีละสองครั้ง ด้านป่าบนติดเขื่อน เขาปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ได้ผลที่มีรสชาติไม่น้อยไปกว่าทางภาคใต้หรือทางภาคตะวันออก แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ ถนัดปลูกผัก เพราะเก็บขายได้ตลอดทั้งปี แต่ละวันจะมีรถสิบล้อขนผักผลไม้ วันละหลายสิบคันวิ่งจากตำบลต่างๆ ในอำเภอ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ พระประแดง สมุทรปราการ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ฯลฯ พร้อมด้วยผลิตผลทางการเกษตรสารพัดอย่าง ตั้งแต่ของจำเป็นในครัวอย่าง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว พริก หอม กระเทียม ไปจนถึงผักเจ้าประจำบนแผงผักทั้ง กะเพราะ โหระพา สะระแหน่ บวบ…
ฐาปนา
ดั้งเดิม ก่อนที่แต่ละบ้านจะมีเอกสารกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินของตัวเอง บ้านส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “รั้ว” อย่างเป็นทางการ เพราะแต่ละบ้านในละแวกก็ล้วนพี่น้อง หรือนับไปนับมาก็ญาติกันทั้งนั้น อาจปลูกต้นไม้เป็นแนวให้บอกได้ว่าเป็นแดนใคร แต่จะถึงขั้นปักเสาขึงลวดหนาม หรือก่อกำแพงล้อมนั้นน้อยราย เพราะถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเงิน เขตบ้านใครก็บ้านมัน ถึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ ถึงไม่มีรั้วรอบขอบชิด ก็ไม่ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครคนหนึ่งเกิดอยากทำเอกสารสิทธิ์ที่ดินของตน จากที่เคยชี้นิ้วบอกว่านี่เขตใคร การออกเอกสารสิทธิ์…
ฐาปนา
วัยเยาว์ของเธอ ขณะที่หัวใจครึ่งหนึ่งเปี่ยมด้วยความฝันและความหวัง ทะเยอทะยานปรารถนา แต่หัวใจอีกครึ่งกลับอ่อนไหว บอบช้ำง่าย ทั้งยังอ่อนด้อยต่อโลกแห่งเหตุผล อนาคตเลือนลางอยู่ในความฝันยามหลับ และวนเวียนอยู่ในความคิดยามตื่น เธอร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจบอกได้ มองไม่เห็น ไม่รู้จุดเริ่มต้น ไม่รู้จุดสิ้นสุด พลังสร้างสรรค์ของเธอฟุ้งกระจาย ไร้ทิศทาง เมื่อคำว่า ความพร้อม อยู่ห่างจากความเข้าใจ เธอจึงได้แต่ก่นโทษตนเองอยู่เป็นนิจ เธอร่อนเร่ไปในเมืองของผู้อื่น จากเมืองสู่เมือง แลกความเพียรกับเงินเลี้ยงชีพ ยิ้มแย้มให้คำดูหมิ่นเพื่อจะได้เห็นเกียรติของตนเสื่อมค่าลง
ฐาปนา
(มะพร้าวกะทิ)ตอนอายุสิบขวบ ผมค้นพบว่าโลกนี้มีผลไม้ประหลาดที่เรียกว่า “มะพร้าวกะทิ” เมื่อพ่อซื้อมันมาจากตลาดฟังดูน่าหัวเราะ เหมือนชาวเมืองมาคอนโดค้นพบว่าโลกนี้มีน้ำแข็ง ในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวแต่นี่คือเรื่องจริงในวัยเด็กของผมอาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่นที่ผมอยู่ ไม่ใช่ของที่หากินได้ทั่วไป จึงได้มีราคาสูงถึงลูกละ 50 บาท ซึ่งแน่ละ สำหรับยี่สิบปีก่อน ถือว่า แพงมาก แล้วเมื่อแพงขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ใช่ของที่จะซื้อกันบ่อยๆผมจำความตื่นเต้นในการเจอหน้าครั้งแรกได้ดี มะพร้าวอะไรกัน มีเนื้อเต็มลูก ไม่แข็งแต่นิ่มๆ หยุ่นๆ รสชาติก็ลื่นๆ มันๆ…
ฐาปนา
แกชื่อยายหอม เป็นคนอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีแม่ของแกมีเชื้อลาวพวน พ่อของแกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน แต่เดิมแกอยู่ตำบลอื่น แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ แกเป็นคนรุ่นแรกที่มาหักร้างถางพงทำไร่ทำนาหมู่บ้านยุคบุกเบิก มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า สัตว์ป่าชุกชุม เข้าป่าเจอเสือ หรือเสือแอบเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน เป็นเหตุการณ์ประจำวัน คอกวัวสมัยนั้น ต้องกั้นเป็นฝาจึงพอกันเสือได้ ชาวบ้านกินเนื้อเก้ง เนื้อกวาง เนื้อไก่ป่า บ่อยกว่าเนื้อหมู หนองน้ำเต็มไปด้วยปลาตัวโตๆ ตะพาบตัวเท่ากระด้ง เรื่องผีสางนางไม้อยู่แนบชิดชุมชนมากกว่าเรื่องวัดเรื่องพระแกเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นแกยังเป็นสาว…
ฐาปนา
ในวัยหนุ่มสาว ขณะที่จิตใจยังถูกครอบงำด้วยความโรแมนติกเช่นเดียวกับหลายคน ผมฝันถึงบ้านที่มองเห็นภูเขา ฟ้ากว้าง ได้เฝ้ามองหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย อาบกายด้วยแสงอัสดงทุกวัน หรือ บ้านที่อยู่ริมทะเล เห็นเส้นขอบฟ้าไร้จุดสิ้นสุด ไกวเปลตามลมเห่ ต้นมะพร้าวโยกเอน นอนฟังเสียงคลื่นกล่อมชั่วกาลทว่าในบริบทของชีวิต ผู้ที่สามารถมีบ้านอย่างที่ฝันมีไม่มากเลย ทั้งเมื่อมีแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี กว่าจะแต่งเติมภาพฝันจนเสร็จจริง คนที่ให้ค่ากับความฝันสูงยิ่งทั้งไม่ยอมให้ความยากลำบากในชีวิตจริงมาบั่นทอนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับที่พำนักของหัวใจชั่วชีวิตเงื่อนไขของแต่ละคนไม่เท่ากัน…
ฐาปนา
เสียงจักจั่นกรีดปีกจากป่าเชิงดอย ฝ่าไอแดดร้อนมาถึงเคหะสถานเงียบงัน รถกระบะบรรทุกหนุ่มสาวร่างเปียกปอนยืนล้อมถังน้ำใบใหญ่แล่นผ่านไปหญิงชราถือสายยางเดินออกมาหน้าบ้าน ฉีดน้ำใส่พื้นถนน ไอน้ำระเหยขึ้นเด็กๆ หิ้วถังพลาสติก ขัน ปืนฉีดน้ำ มองสองข้างทางอย่างมีความหวังร้านขายน้ำปั่น น้ำแข็งไส ขายดีจนต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มในช่วงบ่ายเจ้าของโรงทำน้ำแข็ง หน้าบาน แต่ลูกจ้างหน้าเหี่ยว เพราะข้าวสารขึ้นราคาลิตรละหลายบาทแต่ค่าแรงเท่าเดิม    ดวงอาทิตย์กลับมาอยู่ใกล้ชิดโลก เหมือนคนรักที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้งมวลอากาศอบอ้าวเข้าเกาะกุมผิว ยึดทุกรูขุมขน เหงื่อเค็มถูกขับซึมเสื้อ เหนอะหนะ…
ฐาปนา
“...ทว่าการเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ครั้งนี้ต้องอาศัยปัญญามหาศาล ความกล้าหาญมหึมา และความมุ่งมั่นเหลือคณา เพราะความกลัวจะจู่โจมถึงแกนกลางของแนวคิดนี้ และป่าวร้องว่าผิดพลาด ความกลัวจะกัดกินเข้าไปยังแก่นแห่งสัจธรรมล้ำเลิศและแปลงให้เป็นเรื่องเท็จเทียม ความกลัวจะบิดเบือน และทำลาย ฉะนั้นความกลัวจะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ทว่าเธอไม่อาจมีและไม่อาจสร้างสังคมที่ปรารถนาและใฝ่ฝันมาช้านานจนกว่าจะเห็นปัญญาและกระจ่างชัดถึงปรมัตถ์สัจจ์ที่ว่า สิ่งที่เธอทำแก่ผู้อื่นเธอก็ได้ทำแก่ตัวเอง สิ่งที่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่น เธอก็ไม่ได้ทำให้ตัวเอง ว่าความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็คือความเจ็บปวดของตัวเธอ…