Skip to main content

ณ วงกาแฟ (กระป๋อง) ยามเช้า ตาผวน ลุงใบ และ ตาสุข สามเฒ่านั่งเสวนาเปรียบเทียบเรื่องข้าวกับเรื่องการเมือง


ข้าว่า เรื่องข้าวมันก็เหมือนเรื่องการเมืองนั่นแหละ” ตาสุข เปิดประเด็น

อธิบายที?” ลุงใบถาม

เวลาปลูกข้าว เราก็ต้องเลือกพันธุ์ดีๆ ใช่มั้ยล่ะ ถ้าข้าวพันธุ์ดีก็ไม่ต้องใส่ปุ๋ยใส่ยามาก ทดน้ำเข้านาอย่างเดียว มันก็งอกงาม แต่ข้าวพันธุ์แย่ๆ มันก็ต้องใส่ปุ๋ยหลายกระสอบ ฉีดยาหนักๆ แต่พอโตก็ดันเม็ดลีบ ทำให้ข้าวเสียราคาป่นปี้หมด การเมืองมันก็อย่างเดียวกันละว้า... ถ้าได้คนดีๆ ไปมันก็ไม่โกงกินมาก มันก็ทำงานของมันไป ดีๆ ชั่วๆ อย่างน้อยมันก็บริหารของมันได้ แต่ถ้าได้ไอ้พวกเลวๆ ไป มันก็โกงมันก็กิน ไม่รู้จักสิ้นสุด แล้วพอมันออกไป มันก็พลอยทำบ้านเมืองแย่ไปด้วย” ตาสุขว่าแบบปรัชญา


ถ้างั้น เอ็งว่า รัฐบาลนี้มันเปรียบเหมือนข้าวอะไร” ตาผวนแหย่

ข้าวเน่า” ตาสุขว่า

สามเฒ่าหัวเราะกันครืน


นี่แน่ะ...” ลุงใบเปิดประเด็นบ้าง “เอ็งพูดมาข้าก็คิดได้ ว่าไอ้การเมืองไทย มาเปรียบเทียบมันก็เหมือนเรื่องข้าวจริงๆ”

ยังไงล่ะ?” ตาสุขถาม

เก๊าะ...ทีเมล็ดข้าวเราเลือกเองได้ จะเอาพันธุ์ไหนแบบไหน ข้าวเบา ข้าวหนัก ข้าวนุ่ม ข้าวแข็ง แล้วทำไม นักการเมืองเราถึงเลือกเองบ้างไม่ได้?”

เอ๊า...เอ็งนี่ ส.. เขาก็เพิ่งจะเลือกไป เอ็งกับข้าก็เพิ่งจะเข้าคูหาไปกาบัตรกันมาหยกๆ ยังว่าเลือกเองไม่ได้อีกรึ?” ตาผวนท้วง


ลุงใบสั่นหัวดิก

ไม่ใช่...ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าหมายความว่า ไอ้พวกรัฐมนตรี รัฐมนโท นายก นาดำ ทั้งหลายน่ะ มันน่าจะให้ชาวบ้านเป็นคนเลือก ไม่ใช่ให้ไปเลือกกันเองอย่างทุกวันนี้”

อธิบายที?” ตาสุขกระดกกาแฟกระป๋อง

เก๊าะ...ทุกวันนี้รัฐบาลบริหารประเทศน่ะ เราไม่ได้เป็นคนเลือกนาโว้ย เราเลือกแต่ ส.. แล้วหัวหน้าพรรคไหนได้ ส..เยอะ หัวหน้าพรรคนั้นก็ได้จัดตั้งรัฐบาล เป็นนายกฯ ไป ทีนี้ไอ้นายกฯ นี่จะเลือกใครมาเป็นรัฐมนตรีมาร่วมรัฐบาล ชาวบ้านไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งด้วย มันจะเอาน้องเมีย พี่เขย หลานพี่สะใภ้ เพื่อนคนใช้ของเมียน้อย มาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ การเมืองบ้านเรามันก็เลยปั่นป่วนอลหม่าน มีแต่เรื่องผลประโยชน์ เรื่องพวกพ้อง วิ่งชิงเก้าอี้กันฝุ่นตลบอยู่ทุกวันนี้ไงเล่า” ลุงใบอธิบายทฤษฎีส่วนตัวให้ฟัง ตาผวนกับตาสุข พยักหน้าหงึกๆ


แถมแต่ละกระทรวง มันเอาใครมานั่งก็ไม่รู้ เจ้าเล่ห์หัวหมอยิ่งกว่าปลาหมอก็มี หน้าด้านยิ่งกว่าถนนก็มี ถ้าชาวบ้านเลือกเองได้ว่าใครจะมานั่งกระทรวงอะไร ทีนี้ไอ้การแบ่งเค้ก สัดส่วน โควต้ง โควต้า ส.. อะไร ก็เอวังไปเลย”

แล้วถ้าทำงานไม่ดี หรือ ทุจริตคอรัปชั่นล่ะ?” ตาสุขสงสัย

ก็ถอดถอนสิ แล้วเลือกตั้งใหม่”


แล้วนายกรัฐมนตรีล่ะ”

ก็เลือกเหมือนกันน่ะแหละ”

แล้ว ส..ล่ะ”

ก็เลือกเหมือนเดิม”


ตาสุข กับ ตาผวน นิ่งอึ้งไปกับความคิดแหวกแนวของลุงใบ

ถ้างั้น...” ตาผวนพยายามตั้งข้อสังเกตุ “ เวลาเลือกตั้งที ไม่ยุ่งยากตายเลยรึ ไหนจะผู้สมัคร ส.. ไหนจะผู้สมัครเป็นรัฐมนตรี”

แหม...ไม่เห็นยาก ส.. ก็เลือกเหมือนเดิมจะแบ่งเขตรวมเขตก็เถอะ แต่เลือกรัฐมนตรีอาจจะยุ่งหน่อยเพราะมีหลายตำแหน่ง หลายตัวเลือก แต่ก็ยุ่งแค่ตอนแรกเท่านั้นแหละ เพราะว่าพอเข้าไปทำงาน ถ้าไม่ดีจริง ก็อยู่ได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ต้องโดนเปลี่ยนออก”

เออ...ก็เข้าท่าดีแฮะ” ตาสุขชักจะเห็นด้วย “แต่ถ้าอย่างนั้น มันมิต้องเลือกตั้งกันถี่ยิบเลยเรอะ รัฐมนตรีมีตั้งหลายตำแหน่ง”

เอ๊า ! ยิ่งดีสิ” ลุงใบหัวเราะชอบใจ “ปีหนึ่งๆ เลือกตั้งสัก 5-6 ครั้ง ชาวบ้านจะได้ตื่นตัวเรื่องการเมือง กกต. ก็จะได้มีงานทำบ้าง ปปช. ก็พุ่งเป้าเป็นรายๆ ไปเลย ทีนี้ ใครมันเหมาะจะไปบริหารกระทรวงไหน เราก็เลือกได้ ไม่ใช่ให้พวกนักการเมืองมันเลือกกันเอง อย่างนี้สิ อำนาจมันถึงเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เหมือนเราได้เลือกพันธุ์ข้าวเอง ยังไงมันก็ต้องออกมาดี ” ลุงใบตบท้ายอย่างฮึกเหิม


แต่ข้าว่า...ถ้าการเมืองไทยเปรียบกับเรื่องข้าวอย่างเอ็งว่า การเมืองไทยไปไม่รอดหรอกว่ะ ” ตาผวนแย้งบ้าง

ไหนว่ามาซิ...?”

คนทำไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ทำ เดี๋ยวนี้คนทำนา ได้ข้าวก็ขายหมด พอได้เงินค่อยเอาเงินไปซื้อข้าวกิน ส่วนคนกินข้าว เขาก็ไม่สนใจอะไรหรอก ขอให้ข้าวราคาถูกอย่างเดียว”

แล้วมันเหมือนเรื่องการเมืองยังไงเล่า?”

เก๊าะ...เราเลือกคนเข้าไปเป็นนักการเมือง แต่เราก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการที่เราเลือกพวกมันเข้าไป ส่วนพวกมัน พอได้เป็นน้กการเมืองแล้ว ก็ไม่สนอะไรอีก ขอให้อยู่จนครบสมัยก็พอแล้ว ไอ้ระบบที่เอ็งเสนอข้าก็ว่าเข้าท่าดี แต่ไม่มีไอ้รัฐมนโทคนไหนมันเอาด้วยหรอก เพราะมันเสียประโยชน์ มันโกงกินไม่ได้”


ตาสุข กับลุงใบพยักหน้าเห็นตาม

ตาผวนถอนหายใจเฮือกใหญ่

...ถ้านักการเมืองมันเลว มันก็เหมือนอย่างที่เอ็งว่านั่นละ...จะทำนาหว่าน หรือนาดำ ถ้าข้าวมันเน่า ต่อให้ใส่ปุ๋ยเป็นตันๆ มันก็ไม่ขึ้น ต่อให้เปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ แต่ถ้ายังมีไอ้หน้าเดิมๆ อยู่ มันก็เน่าเหมือนเดิมนั่นละว้า...”

งั้นเอ็งว่า...อนาคตการเมืองไทย...จะมืดมิดมืดมนหรือเปล่าวะ?” ลุงใบพยายามสรุป

ตาผวนหัวเราะจนเห็นเหงือก


มันก็เหมือนเรื่องข้าวไงเล่า...เอ็งเห็นอนาคตของข้าวบ้างหรือเปล่าล่ะ...เหมือนกันนั่นแหละ ฮ่า – ฮ่า-ฮ่า !”


บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
พี่หวี จอดรถเครื่องที่ใต้ร่มมะขาม แกเดินหน้าเซ็งมานั่งที่เปล คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง นอนแกว่งเปลถอนหายใจสามเฮือกใหญ่ ก่อนจะระบายความในใจออกมาด้วยประโยคเดิมๆ ว่า "...เบื่อว่ะ...ไอ้เปี๊ยกกับเมียมันทะเลาะกันอีกแล้ว..."เจ้าบุญ น้าเปีย เจ้าปุ๊ก ที่กำลังนั่งแกะมะขามสุกเอาไว้ทำมะขามเปียก ก็หันมาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็ปล่อยให้พี่หวีได้พูดระบายความเครียดไป ถามบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ทุกคนจะนั่งฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ
ฐาปนา
  ปลายสัปดาห์นั้น หมู่บ้านคึกคักเป็นพิเศษ เพราะผู้ใหญ่บ้านประกาศล่วงหน้ามานานหลายวันแล้วว่า วันศุกร์สุดท้ายของเดือน ผู้ว่าราชการจังหวัดจะลงพื้นที่มาตรวจเยี่ยมชาวบ้าน มารับฟังปัญหา จึงขอเชิญชาวบ้านมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุขดิบกันซึ่งอันที่จริง การขอเชิญ นั้น ก็มีการขอร้อง กึ่งๆ ขอแรง ปะปนอยู่ด้วย เพราะช่วงเวลาดังกล่าว ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังวุ่นกับงานในไร่ เตรียมจะปลูกแตงกวา มะเขือเทศ ถั่วฝักยาวกันนานๆ จะมีเจ้าใหญ่นายโตมาเยี่ยมหมู่บ้าน ใครต่อใครก็เลยต้องทำความสะอาด ปัดกวาดบ้านกันใหญ่ เพราะเดี๋ยวถ้าเกิดแจ๊กพ็อต ผู้ว่าฯ เดินเข้ามาหาถึงบ้าน แล้วบ้านรกยังกับรังนก เป็นได้อายเขาตายเลย…
ฐาปนา
ชาวนาชาวไร่ ฟังวิทยุ มากกว่าดูโทรทัศน์ มากกว่าดูหนัง มากกว่าอ่านหนังสือ เพราะการงานในไร่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่เอื้ออำนวยให้เอาสายตาและเวลาไปใช้อย่างอื่น เสียงเพลงและ เสียงข่าว จึงดังแว่วมาตามลมตั้งแต่ริมคลองส่งน้ำด้านทิศเหนือไปจนจรดทุ่งนาติดชายป่า ด้านทิศใต้ สมัยนี้วิทยุเครื่องเล็กๆ ใช้ถ่านก้อนเดียว เครื่องละแค่ไม่กี่ร้อย ใครๆ ก็ซื้อได้ ขนาดเจ้าโหน่ง เด็กเลี้ยงวัว ยังห้อยโทรศัพท์มือถือฟังวิทยุได้ ... น่าน! เท่ห์ซะไม่มี ฟังกันมากที่สุด ก็ต้องเป็นเพลงลูกทุ่งทั้งเก่าทั้งใหม่ รองลงมาก็สตริง ส่วนคนมีอายุก็ชอบฟังข่าว ฟังเทศน์ฟังธรรม
ฐาปนา
สองเดือนผ่านไป คณะลิเก กลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน กลายเป็นมหรสพประจำหมู่บ้าน ซึ่งไม่เพียงแค่คนในหมู่ แต่คนต่างหมู่ ต่างตำบลยังพากันมาดู แต่ละคืน ที่ศาลาประจำหมู่บ้านซึ่งกลายสภาพเป็นโรงลิเก จะมีเก้าอี้พลาสติกสะอาดสะอ้านจำนวนสิบกว่าตัววางไว้อย่างมีระเบียบ รอผู้ชมขาประจำมานั่ง
ฐาปนา
ปลายเดือนตุลาคม ผมกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดครั้งแรกในรอบหลายปี ทั้งที่จริง ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องไปแต่อย่างใด เพราะครอบครัวของผม บ้านของผม ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว สิ่งที่ยังเหลืออยู่ มีเพียงความทรงจำตลอดสิบแปดปีที่ผมได้เติบโตมา โรงเรียน บ้านพักอาจารย์ สนามเด็กเล่น หอนาฬิกา ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน สถาบันราชภัฎซึ่งเมื่อก่อนคือวิทยาลัยครู ทุกๆ สถานที่ที่คุ้นเคย ยังปรากฎภาพชัดเจนทุกครั้งที่ระลึกถึง แต่กับสิ่งที่เห็นตรงหน้าในวันนี้ เหลือเพียงแค่ร่องรอยบางส่วนจากอดีต เพราะวันนี้ เมืองเติบโตขึ้นมาก อาคารเก่าๆ ถูกรื้อถอนกลายเป็นห้างสรรพสินค้า พื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่เห็นมาตั้งแต่เล็ก…
ฐาปนา
คณะลิเกมาสู่หมู่บ้านด้วยเหตุบังเอิญวันหนึ่ง ยายนุ้ยทำบุญที่บ้านตอนเช้า พอตกบ่าย ก็นิมนต์พระหลานชายที่บวชมาได้สามพรรษาสอบได้นักธรรมโท มาเทศน์ พอตกค่ำ แกก็จ้างลิเกมาเล่นที่ศาลากลางหมู่บ้านวันนั้น ที่บ้านยายนุ้ยจึงมีคนหนาตา โดยเฉพาะช่วงที่มีลิเก เพราะนานนักหนาแล้วที่ไม่มีลิเกมาเล่นในหมู่บ้าน สมัยนี้เวลามีงาน ถ้าไม่ใช่วงดนตรี(อิเลกโทน)นุ่งน้อยห่มน้อย ก็เป็นหนังกลางแปลง ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ใครต่อใครก็อยากดู พระเอกรูปหล่อ นางเอกนัยตาคม ตัวโกงหน้าโหด ตัวตลกน่าเตะ เครื่องเพชรแวววับทิ่มทะแยงตา เสียงระนาด ตะโพน รัวเร้าใจ “แหม...ถ้าเป็นไชยา มิตรชัย ละก้อ...เหมาะเลยนิ..…
ฐาปนา
เรื่องมันเริ่มจากคำบอกเล่าของทิดช่วง ในงานศพงานหนึ่ง แกเล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า กลางดึกคืนก่อน แกลุกจากที่นอนมายืนฉี่ที่ริมรั้ว อากาศเย็น น้ำค้างกำลังลง ขณะที่แกกำลังระบายน้ำทิ้งอย่างสบายอารมณ์ สายตาของแกก็เหลือบไปเห็น ดวงไฟดวงใหญ่ ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในความมืดที่ปลายรั้วอีกด้านหนึ่ง ห่างจากตัวแกไปสักสี่ห้าสิบเมตร พอแกเสร็จภารกิจ ชะรอยจะคิดว่าเป็นตัวอะไรสักอย่างมาหากิน แกเลยออกปากไล่ว่า “ชิ้วๆ” เท่านั้นเอง ดวงไฟนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาหาแก ทำเอาแกสะดุ้งโหยงจนต้องเผ่นเข้าไปใต้ถุนบ้าน แกกดสวิทช์เปิดไฟใต้ถุน สว่างพรึบ มองซ้าย...มองขวา...มองหน้า...มองหลัง มันคืออะไรกันวะ...? หรือว่า...…
ฐาปนา
บ้านนอก แม้จะไม่สะดวกแต่ก็สบาย ถึงจะร้อนแดดแต่พอเข้าร่มก็เย็น ผิดกับเมืองใหญ่ ที่ร้อนอบอ้าวตลอดปี ฝนจะตกแดดจะออก ความร้อนก็ยังคงสถิตย์อยู่เสมือนเป็นอุณหภูมิประจำเมือง ใครเลยจะคิดว่า ความร้อนจากในเมืองจะแผ่ลามเข้ามาถึงหมู่บ้านที่ปราศจากกลิ่นฟาสต์ฟู้ด ข้อมูลข่าวสารปรากฎทั้งรูปและเรื่องบนหนังสือพิมพ์ในร้านกาแฟ เสียงรายงานข่าวลอยมาจากวิทยุที่แขวนอยู่ข้างตัวเด็กเลี้ยงวัว ทั้งภาพเคลื่อนไหวทั้งเสียงส่งตรงมาเข้าจานดาวเทียมสีเหลืองสดใสเหนือหลังคาร้านค้าของป้านุ้ย ที่ๆ ใครต่อใครก็มาชุมนุมกันตั้งแต่เช้า บ้างซื้อยาสูบ ซื้อขนมเป็นเสบียงก่อนไปนาน บ้างตั้งวงกาแฟกระป๋อง เขียวบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง…
ฐาปนา
ณ วงกาแฟ (กระป๋อง) ยามเช้า ตาผวน ลุงใบ และ ตาสุข สามเฒ่านั่งเสวนาเปรียบเทียบเรื่องข้าวกับเรื่องการเมือง “ข้าว่า เรื่องข้าวมันก็เหมือนเรื่องการเมืองนั่นแหละ” ตาสุข เปิดประเด็น “อธิบายที?” ลุงใบถาม “เวลาปลูกข้าว เราก็ต้องเลือกพันธุ์ดีๆ ใช่มั้ยล่ะ ถ้าข้าวพันธุ์ดีก็ไม่ต้องใส่ปุ๋ยใส่ยามาก ทดน้ำเข้านาอย่างเดียว มันก็งอกงาม แต่ข้าวพันธุ์แย่ๆ มันก็ต้องใส่ปุ๋ยหลายกระสอบ ฉีดยาหนักๆ แต่พอโตก็ดันเม็ดลีบ ทำให้ข้าวเสียราคาป่นปี้หมด การเมืองมันก็อย่างเดียวกันละว้า... ถ้าได้คนดีๆ ไปมันก็ไม่โกงกินมาก มันก็ทำงานของมันไป ดีๆ ชั่วๆ อย่างน้อยมันก็บริหารของมันได้ แต่ถ้าได้ไอ้พวกเลวๆ ไป มันก็โกงมันก็กิน…
ฐาปนา
แต่ไหนแต่ไรมา ราคาข้าวแต่ละปีไม่เคยห่างไปจากระดับเกวียนละสี่พัน ห้าพัน อย่างดีที่สุดคือหกพัน เขยิบขึ้นๆ ลงๆ อยู่แค่ สองร้อยบ้าง สามร้อยบ้าง ชาวนาได้ข้าวพอกิน เหลือก็ขาย แต่พอหักค่าปุ๋ยค่ายา ค่าไถ ค่าเกี่ยว ก็ไม่พอกิน สุดท้ายก็ต้องเข้าเมืองไปหางานทำอยู่ดี หน้านาก็ทำนา หมดหน้านาก็เข้ากรุง เป็นวัฎจักรชีวิตสืบทอดจาก ชาวนาเจเนอเรชั่นปู่ จนถึง รุ่นหลาน ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มาปีนี้ ข้าวเกวียนละหมื่นต้นๆ พอหายใจหายคอได้บ้าง กระนั้นหนี้สินก้อนโตก็ยังยืนค้ำหัวให้กลุ้มใจทุกครั้งที่คิดถึง ตาจิ้มเกี่ยวข้าวได้แปดเกวียน หักนู่นหักนี่ไปแล้วเหลือเข้ากระเป๋าสามหมื่นกว่า บางคนว่า…
ฐาปนา
ยุคข้าวยากหมากแพง สินค้าเกษตรจำพวกพืชผักเวลานี้ ราคาดีแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ข้าวซี่งแม้จะราคาตกมาหน่อย แต่ก็ดีกว่าปีก่อนๆ มากอื่นๆ ก็อาทิเช่นกะเพรา-ผักใบ ขาดไม่ได้สำหรับร้านอาหารตามสั่ง แม่ค้าขายที่หน้าแผงกำละ 5-7 บาท แต่แม่ค้าคนกลางมารับซื้อที่หน้าไร่กิโลกรัมละ 5-10 บาทบวบ-ผักธรรมดาแต่ราคาไม่เคยตก ราคาจากสวนกิโลกรัมละ 7-10 บาทกล้วยน้ำว้า-ผลไม้บ้านๆ ธรรมดาสุดๆ แต่ขอโทษที-นาทีนี้ พ่อค้ามารับซื้อถึงสวนกล้วย หวีละ 8 บาทเป็นอย่างน้อย(ลูกเล็ก) เครือหนึ่งมีสักสิบหวี ก็เกือบร้อยบาทแล้ว
ฐาปนา
สังคมชาวบ้าน แม้จะอยู่คนละหมู่บ้าน คนละตำบล คนละอำเภอ หรือแม้แต่คนละจังหวัด ถ้าได้ชื่อว่าเป็น “คนมีตังค์” ต่อให้ไกลแค่ไหน เมื่อมีใครสักคนพูดถึง ก็จะมีคนจดจำไว้ ถ้าอยู่ใกล้หน่อยก็มีคนรู้จัก เผลอๆ รู้ไปถึงวงศ์วานว่านเครือนู่น เหมือนที่เขาว่า มีเงินก็นับเป็นญาติ ใส่ผ้าขาดถึงเป็นญาติก็ไม่นับ อย่าง ตาผล คนตำบลใกล้เคียงไปได้เมียที่สมุทรสาคร ทำบ่อเลี้ยงปลา จนกระทั่งมีรถกระบะ 2-3 คัน เปิดร้านคอมพิวเตอร์ให้น้องเมียดูแล ลุงเปลี่ยน อยู่ท้ายหมู่บ้าน ใครก็รู้ว่ามีหนี้เยอะ แต่พอไปเป็นพ่อค้าคนกลางตระเวนซื้อของจากแถวบ้านไปขายที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มมีตังค์ ปลดหนี้สินไปจนหมด แถมกำลังจะปลูกบ้านใหม่…