Skip to main content

ณ วงกาแฟ (กระป๋อง) ยามเช้า ตาผวน ลุงใบ และ ตาสุข สามเฒ่านั่งเสวนาเปรียบเทียบเรื่องข้าวกับเรื่องการเมือง


ข้าว่า เรื่องข้าวมันก็เหมือนเรื่องการเมืองนั่นแหละ” ตาสุข เปิดประเด็น

อธิบายที?” ลุงใบถาม

เวลาปลูกข้าว เราก็ต้องเลือกพันธุ์ดีๆ ใช่มั้ยล่ะ ถ้าข้าวพันธุ์ดีก็ไม่ต้องใส่ปุ๋ยใส่ยามาก ทดน้ำเข้านาอย่างเดียว มันก็งอกงาม แต่ข้าวพันธุ์แย่ๆ มันก็ต้องใส่ปุ๋ยหลายกระสอบ ฉีดยาหนักๆ แต่พอโตก็ดันเม็ดลีบ ทำให้ข้าวเสียราคาป่นปี้หมด การเมืองมันก็อย่างเดียวกันละว้า... ถ้าได้คนดีๆ ไปมันก็ไม่โกงกินมาก มันก็ทำงานของมันไป ดีๆ ชั่วๆ อย่างน้อยมันก็บริหารของมันได้ แต่ถ้าได้ไอ้พวกเลวๆ ไป มันก็โกงมันก็กิน ไม่รู้จักสิ้นสุด แล้วพอมันออกไป มันก็พลอยทำบ้านเมืองแย่ไปด้วย” ตาสุขว่าแบบปรัชญา


ถ้างั้น เอ็งว่า รัฐบาลนี้มันเปรียบเหมือนข้าวอะไร” ตาผวนแหย่

ข้าวเน่า” ตาสุขว่า

สามเฒ่าหัวเราะกันครืน


นี่แน่ะ...” ลุงใบเปิดประเด็นบ้าง “เอ็งพูดมาข้าก็คิดได้ ว่าไอ้การเมืองไทย มาเปรียบเทียบมันก็เหมือนเรื่องข้าวจริงๆ”

ยังไงล่ะ?” ตาสุขถาม

เก๊าะ...ทีเมล็ดข้าวเราเลือกเองได้ จะเอาพันธุ์ไหนแบบไหน ข้าวเบา ข้าวหนัก ข้าวนุ่ม ข้าวแข็ง แล้วทำไม นักการเมืองเราถึงเลือกเองบ้างไม่ได้?”

เอ๊า...เอ็งนี่ ส.. เขาก็เพิ่งจะเลือกไป เอ็งกับข้าก็เพิ่งจะเข้าคูหาไปกาบัตรกันมาหยกๆ ยังว่าเลือกเองไม่ได้อีกรึ?” ตาผวนท้วง


ลุงใบสั่นหัวดิก

ไม่ใช่...ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าหมายความว่า ไอ้พวกรัฐมนตรี รัฐมนโท นายก นาดำ ทั้งหลายน่ะ มันน่าจะให้ชาวบ้านเป็นคนเลือก ไม่ใช่ให้ไปเลือกกันเองอย่างทุกวันนี้”

อธิบายที?” ตาสุขกระดกกาแฟกระป๋อง

เก๊าะ...ทุกวันนี้รัฐบาลบริหารประเทศน่ะ เราไม่ได้เป็นคนเลือกนาโว้ย เราเลือกแต่ ส.. แล้วหัวหน้าพรรคไหนได้ ส..เยอะ หัวหน้าพรรคนั้นก็ได้จัดตั้งรัฐบาล เป็นนายกฯ ไป ทีนี้ไอ้นายกฯ นี่จะเลือกใครมาเป็นรัฐมนตรีมาร่วมรัฐบาล ชาวบ้านไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งด้วย มันจะเอาน้องเมีย พี่เขย หลานพี่สะใภ้ เพื่อนคนใช้ของเมียน้อย มาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ การเมืองบ้านเรามันก็เลยปั่นป่วนอลหม่าน มีแต่เรื่องผลประโยชน์ เรื่องพวกพ้อง วิ่งชิงเก้าอี้กันฝุ่นตลบอยู่ทุกวันนี้ไงเล่า” ลุงใบอธิบายทฤษฎีส่วนตัวให้ฟัง ตาผวนกับตาสุข พยักหน้าหงึกๆ


แถมแต่ละกระทรวง มันเอาใครมานั่งก็ไม่รู้ เจ้าเล่ห์หัวหมอยิ่งกว่าปลาหมอก็มี หน้าด้านยิ่งกว่าถนนก็มี ถ้าชาวบ้านเลือกเองได้ว่าใครจะมานั่งกระทรวงอะไร ทีนี้ไอ้การแบ่งเค้ก สัดส่วน โควต้ง โควต้า ส.. อะไร ก็เอวังไปเลย”

แล้วถ้าทำงานไม่ดี หรือ ทุจริตคอรัปชั่นล่ะ?” ตาสุขสงสัย

ก็ถอดถอนสิ แล้วเลือกตั้งใหม่”


แล้วนายกรัฐมนตรีล่ะ”

ก็เลือกเหมือนกันน่ะแหละ”

แล้ว ส..ล่ะ”

ก็เลือกเหมือนเดิม”


ตาสุข กับ ตาผวน นิ่งอึ้งไปกับความคิดแหวกแนวของลุงใบ

ถ้างั้น...” ตาผวนพยายามตั้งข้อสังเกตุ “ เวลาเลือกตั้งที ไม่ยุ่งยากตายเลยรึ ไหนจะผู้สมัคร ส.. ไหนจะผู้สมัครเป็นรัฐมนตรี”

แหม...ไม่เห็นยาก ส.. ก็เลือกเหมือนเดิมจะแบ่งเขตรวมเขตก็เถอะ แต่เลือกรัฐมนตรีอาจจะยุ่งหน่อยเพราะมีหลายตำแหน่ง หลายตัวเลือก แต่ก็ยุ่งแค่ตอนแรกเท่านั้นแหละ เพราะว่าพอเข้าไปทำงาน ถ้าไม่ดีจริง ก็อยู่ได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ต้องโดนเปลี่ยนออก”

เออ...ก็เข้าท่าดีแฮะ” ตาสุขชักจะเห็นด้วย “แต่ถ้าอย่างนั้น มันมิต้องเลือกตั้งกันถี่ยิบเลยเรอะ รัฐมนตรีมีตั้งหลายตำแหน่ง”

เอ๊า ! ยิ่งดีสิ” ลุงใบหัวเราะชอบใจ “ปีหนึ่งๆ เลือกตั้งสัก 5-6 ครั้ง ชาวบ้านจะได้ตื่นตัวเรื่องการเมือง กกต. ก็จะได้มีงานทำบ้าง ปปช. ก็พุ่งเป้าเป็นรายๆ ไปเลย ทีนี้ ใครมันเหมาะจะไปบริหารกระทรวงไหน เราก็เลือกได้ ไม่ใช่ให้พวกนักการเมืองมันเลือกกันเอง อย่างนี้สิ อำนาจมันถึงเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เหมือนเราได้เลือกพันธุ์ข้าวเอง ยังไงมันก็ต้องออกมาดี ” ลุงใบตบท้ายอย่างฮึกเหิม


แต่ข้าว่า...ถ้าการเมืองไทยเปรียบกับเรื่องข้าวอย่างเอ็งว่า การเมืองไทยไปไม่รอดหรอกว่ะ ” ตาผวนแย้งบ้าง

ไหนว่ามาซิ...?”

คนทำไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ทำ เดี๋ยวนี้คนทำนา ได้ข้าวก็ขายหมด พอได้เงินค่อยเอาเงินไปซื้อข้าวกิน ส่วนคนกินข้าว เขาก็ไม่สนใจอะไรหรอก ขอให้ข้าวราคาถูกอย่างเดียว”

แล้วมันเหมือนเรื่องการเมืองยังไงเล่า?”

เก๊าะ...เราเลือกคนเข้าไปเป็นนักการเมือง แต่เราก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการที่เราเลือกพวกมันเข้าไป ส่วนพวกมัน พอได้เป็นน้กการเมืองแล้ว ก็ไม่สนอะไรอีก ขอให้อยู่จนครบสมัยก็พอแล้ว ไอ้ระบบที่เอ็งเสนอข้าก็ว่าเข้าท่าดี แต่ไม่มีไอ้รัฐมนโทคนไหนมันเอาด้วยหรอก เพราะมันเสียประโยชน์ มันโกงกินไม่ได้”


ตาสุข กับลุงใบพยักหน้าเห็นตาม

ตาผวนถอนหายใจเฮือกใหญ่

...ถ้านักการเมืองมันเลว มันก็เหมือนอย่างที่เอ็งว่านั่นละ...จะทำนาหว่าน หรือนาดำ ถ้าข้าวมันเน่า ต่อให้ใส่ปุ๋ยเป็นตันๆ มันก็ไม่ขึ้น ต่อให้เปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ แต่ถ้ายังมีไอ้หน้าเดิมๆ อยู่ มันก็เน่าเหมือนเดิมนั่นละว้า...”

งั้นเอ็งว่า...อนาคตการเมืองไทย...จะมืดมิดมืดมนหรือเปล่าวะ?” ลุงใบพยายามสรุป

ตาผวนหัวเราะจนเห็นเหงือก


มันก็เหมือนเรื่องข้าวไงเล่า...เอ็งเห็นอนาคตของข้าวบ้างหรือเปล่าล่ะ...เหมือนกันนั่นแหละ ฮ่า – ฮ่า-ฮ่า !”


บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
แกชื่อยายอิ่ม ผู้เคยเฉิดฉายในวงสังคม เพราะคัดสรรเฉพาะสามีรวย หนีออกจากบ้านไปมีผัวตั้งแต่อายุสิบสอง ผ่านมาสี่สิบกว่าปี มีผัวมากี่คน คงนับได้ยากเสียแล้ว พอยายอิ่มแก่ตัวลูกก็หนีหาย ต่างคนต่างไป ไม่มีใครเลี้ยง สุดท้าย แกคว้าตาหงอก ผู้(อ้างว่า)เป็นผู้ดีเก่ามาไว้หาเลี้ยงจนได้ สมัยสาวๆ ยายอิ่มได้มรดกจากพ่อแม่ไปเยอะ แต่ขายกินจนหมด แกมีชื่อเสียงมากด้านความคด ในข้องอในกระดูก ถึงขนาดที่ แม้แต่พี่น้องด้วยกันก็ยังโดน จนต้องตัดพี่ตัดน้องกันนั่นแหละ ในที่สุด พอแก่ตัวไม่มีที่จะอยู่ ต้องมาบีบน้ำตาขอที่จากแม่เฒ่า ซึ่งแม่เฒ่าแกก็ค่อยอยากจะให้ เพราะให้ไปมากแล้ว (แต่เอาไปขายกินหมด)…
ฐาปนา
นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่ ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด…
ฐาปนา
ทุกเช้า ประมาณตีสี่ครึ่ง หอกระจายข่าวกลางหมู่บ้านจะเปิดข่าวเช้า(มืด)จากสถานีวิทยุของจังหวัด เป็นสัญญาณให้ทุกบ้านตื่นนอน เตรียมตัวมาปฏิบัติภารกิจประจำวัน หุงข้าว ทำกับข้าว เตรียมใส่บาตร เตรียมตัวรอขึ้นรถไปโรงเรียน เตรียมตัวรอขึ้นรถไปทำงาน ใครไม่ตื่นก็ต้องตื่น เพราะเสียงดังจนตามเข้าไปถึงในฝัน รายการเช้ามืด เริ่มต้นด้วยเพลงปลุกใจให้ยึดมั่นในสถาบัน แล้วตามด้วยธรรมเสวนา จากเจ้าอาวาสวัดที่เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด ตามด้วยสาระน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องการเกษตร การทำมาหากิน โครงการต่างๆ จากรัฐบาล และ การปฏิบัติงานของหน่วยงานในจังหวัด
ฐาปนา
เช้าตรู่ของวันอากาศดีเสียงตามสายประกาศให้สมาชิกสหกรณ์การเกษตร เข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกันตอนบ่ายโมงตรง ณ ศาลาของหมู่บ้านพอบ่ายโมงครึ่ง สมาชิกสหกรณ์ฯ ก็มากันพร้อมหน้าเจ้าหน้าที่สหกรณ์มากันสามคน คนที่ดูอาวุโสกว่าใคร พูดมากกว่าใคร และเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าใคร เป็นหัวหน้าชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมได้รับกระดาษคนละหนึ่งแผ่น ปากกาคนละหนึ่งด้าม อ่านดู ก็เห็นว่าเป็นแบบฟอร์มสำรวจเรื่อง “ความพอเพียงในครัวเรือน”
ฐาปนา
ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากทะเล ป่าและเขาก็อยู่ไม่ไกล มีคลองส่งน้ำจากเขื่อนผ่านพื้นที่อย่างทั่วถึง ทำนาได้ปีละสองครั้ง ด้านป่าบนติดเขื่อน เขาปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ได้ผลที่มีรสชาติไม่น้อยไปกว่าทางภาคใต้หรือทางภาคตะวันออก แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ ถนัดปลูกผัก เพราะเก็บขายได้ตลอดทั้งปี แต่ละวันจะมีรถสิบล้อขนผักผลไม้ วันละหลายสิบคันวิ่งจากตำบลต่างๆ ในอำเภอ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ พระประแดง สมุทรปราการ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ฯลฯ พร้อมด้วยผลิตผลทางการเกษตรสารพัดอย่าง ตั้งแต่ของจำเป็นในครัวอย่าง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว พริก หอม กระเทียม ไปจนถึงผักเจ้าประจำบนแผงผักทั้ง กะเพราะ โหระพา สะระแหน่ บวบ…
ฐาปนา
ดั้งเดิม ก่อนที่แต่ละบ้านจะมีเอกสารกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินของตัวเอง บ้านส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “รั้ว” อย่างเป็นทางการ เพราะแต่ละบ้านในละแวกก็ล้วนพี่น้อง หรือนับไปนับมาก็ญาติกันทั้งนั้น อาจปลูกต้นไม้เป็นแนวให้บอกได้ว่าเป็นแดนใคร แต่จะถึงขั้นปักเสาขึงลวดหนาม หรือก่อกำแพงล้อมนั้นน้อยราย เพราะถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเงิน เขตบ้านใครก็บ้านมัน ถึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ ถึงไม่มีรั้วรอบขอบชิด ก็ไม่ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครคนหนึ่งเกิดอยากทำเอกสารสิทธิ์ที่ดินของตน จากที่เคยชี้นิ้วบอกว่านี่เขตใคร การออกเอกสารสิทธิ์…
ฐาปนา
วัยเยาว์ของเธอ ขณะที่หัวใจครึ่งหนึ่งเปี่ยมด้วยความฝันและความหวัง ทะเยอทะยานปรารถนา แต่หัวใจอีกครึ่งกลับอ่อนไหว บอบช้ำง่าย ทั้งยังอ่อนด้อยต่อโลกแห่งเหตุผล อนาคตเลือนลางอยู่ในความฝันยามหลับ และวนเวียนอยู่ในความคิดยามตื่น เธอร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจบอกได้ มองไม่เห็น ไม่รู้จุดเริ่มต้น ไม่รู้จุดสิ้นสุด พลังสร้างสรรค์ของเธอฟุ้งกระจาย ไร้ทิศทาง เมื่อคำว่า ความพร้อม อยู่ห่างจากความเข้าใจ เธอจึงได้แต่ก่นโทษตนเองอยู่เป็นนิจ เธอร่อนเร่ไปในเมืองของผู้อื่น จากเมืองสู่เมือง แลกความเพียรกับเงินเลี้ยงชีพ ยิ้มแย้มให้คำดูหมิ่นเพื่อจะได้เห็นเกียรติของตนเสื่อมค่าลง
ฐาปนา
(มะพร้าวกะทิ)ตอนอายุสิบขวบ ผมค้นพบว่าโลกนี้มีผลไม้ประหลาดที่เรียกว่า “มะพร้าวกะทิ” เมื่อพ่อซื้อมันมาจากตลาดฟังดูน่าหัวเราะ เหมือนชาวเมืองมาคอนโดค้นพบว่าโลกนี้มีน้ำแข็ง ในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวแต่นี่คือเรื่องจริงในวัยเด็กของผมอาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่นที่ผมอยู่ ไม่ใช่ของที่หากินได้ทั่วไป จึงได้มีราคาสูงถึงลูกละ 50 บาท ซึ่งแน่ละ สำหรับยี่สิบปีก่อน ถือว่า แพงมาก แล้วเมื่อแพงขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ใช่ของที่จะซื้อกันบ่อยๆผมจำความตื่นเต้นในการเจอหน้าครั้งแรกได้ดี มะพร้าวอะไรกัน มีเนื้อเต็มลูก ไม่แข็งแต่นิ่มๆ หยุ่นๆ รสชาติก็ลื่นๆ มันๆ…
ฐาปนา
แกชื่อยายหอม เป็นคนอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีแม่ของแกมีเชื้อลาวพวน พ่อของแกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน แต่เดิมแกอยู่ตำบลอื่น แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ แกเป็นคนรุ่นแรกที่มาหักร้างถางพงทำไร่ทำนาหมู่บ้านยุคบุกเบิก มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า สัตว์ป่าชุกชุม เข้าป่าเจอเสือ หรือเสือแอบเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน เป็นเหตุการณ์ประจำวัน คอกวัวสมัยนั้น ต้องกั้นเป็นฝาจึงพอกันเสือได้ ชาวบ้านกินเนื้อเก้ง เนื้อกวาง เนื้อไก่ป่า บ่อยกว่าเนื้อหมู หนองน้ำเต็มไปด้วยปลาตัวโตๆ ตะพาบตัวเท่ากระด้ง เรื่องผีสางนางไม้อยู่แนบชิดชุมชนมากกว่าเรื่องวัดเรื่องพระแกเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นแกยังเป็นสาว…
ฐาปนา
ในวัยหนุ่มสาว ขณะที่จิตใจยังถูกครอบงำด้วยความโรแมนติกเช่นเดียวกับหลายคน ผมฝันถึงบ้านที่มองเห็นภูเขา ฟ้ากว้าง ได้เฝ้ามองหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย อาบกายด้วยแสงอัสดงทุกวัน หรือ บ้านที่อยู่ริมทะเล เห็นเส้นขอบฟ้าไร้จุดสิ้นสุด ไกวเปลตามลมเห่ ต้นมะพร้าวโยกเอน นอนฟังเสียงคลื่นกล่อมชั่วกาลทว่าในบริบทของชีวิต ผู้ที่สามารถมีบ้านอย่างที่ฝันมีไม่มากเลย ทั้งเมื่อมีแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี กว่าจะแต่งเติมภาพฝันจนเสร็จจริง คนที่ให้ค่ากับความฝันสูงยิ่งทั้งไม่ยอมให้ความยากลำบากในชีวิตจริงมาบั่นทอนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับที่พำนักของหัวใจชั่วชีวิตเงื่อนไขของแต่ละคนไม่เท่ากัน…
ฐาปนา
เสียงจักจั่นกรีดปีกจากป่าเชิงดอย ฝ่าไอแดดร้อนมาถึงเคหะสถานเงียบงัน รถกระบะบรรทุกหนุ่มสาวร่างเปียกปอนยืนล้อมถังน้ำใบใหญ่แล่นผ่านไปหญิงชราถือสายยางเดินออกมาหน้าบ้าน ฉีดน้ำใส่พื้นถนน ไอน้ำระเหยขึ้นเด็กๆ หิ้วถังพลาสติก ขัน ปืนฉีดน้ำ มองสองข้างทางอย่างมีความหวังร้านขายน้ำปั่น น้ำแข็งไส ขายดีจนต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มในช่วงบ่ายเจ้าของโรงทำน้ำแข็ง หน้าบาน แต่ลูกจ้างหน้าเหี่ยว เพราะข้าวสารขึ้นราคาลิตรละหลายบาทแต่ค่าแรงเท่าเดิม    ดวงอาทิตย์กลับมาอยู่ใกล้ชิดโลก เหมือนคนรักที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้งมวลอากาศอบอ้าวเข้าเกาะกุมผิว ยึดทุกรูขุมขน เหงื่อเค็มถูกขับซึมเสื้อ เหนอะหนะ…
ฐาปนา
“...ทว่าการเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ครั้งนี้ต้องอาศัยปัญญามหาศาล ความกล้าหาญมหึมา และความมุ่งมั่นเหลือคณา เพราะความกลัวจะจู่โจมถึงแกนกลางของแนวคิดนี้ และป่าวร้องว่าผิดพลาด ความกลัวจะกัดกินเข้าไปยังแก่นแห่งสัจธรรมล้ำเลิศและแปลงให้เป็นเรื่องเท็จเทียม ความกลัวจะบิดเบือน และทำลาย ฉะนั้นความกลัวจะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ทว่าเธอไม่อาจมีและไม่อาจสร้างสังคมที่ปรารถนาและใฝ่ฝันมาช้านานจนกว่าจะเห็นปัญญาและกระจ่างชัดถึงปรมัตถ์สัจจ์ที่ว่า สิ่งที่เธอทำแก่ผู้อื่นเธอก็ได้ทำแก่ตัวเอง สิ่งที่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่น เธอก็ไม่ได้ทำให้ตัวเอง ว่าความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็คือความเจ็บปวดของตัวเธอ…