Skip to main content
 

ปลายสัปดาห์นั้น หมู่บ้านคึกคักเป็นพิเศษ เพราะผู้ใหญ่บ้านประกาศล่วงหน้ามานานหลายวันแล้วว่า วันศุกร์สุดท้ายของเดือน ผู้ว่าราชการจังหวัดจะลงพื้นที่มาตรวจเยี่ยมชาวบ้าน มารับฟังปัญหา จึงขอเชิญชาวบ้านมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุขดิบกัน

ซึ่งอันที่จริง การขอเชิญ นั้น ก็มีการขอร้อง กึ่งๆ ขอแรง ปะปนอยู่ด้วย เพราะช่วงเวลาดังกล่าว ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังวุ่นกับงานในไร่ เตรียมจะปลูกแตงกวา มะเขือเทศ ถั่วฝักยาวกัน

นานๆ จะมีเจ้าใหญ่นายโตมาเยี่ยมหมู่บ้าน ใครต่อใครก็เลยต้องทำความสะอาด ปัดกวาดบ้านกันใหญ่ เพราะเดี๋ยวถ้าเกิดแจ๊กพ็อต ผู้ว่าฯ เดินเข้ามาหาถึงบ้าน แล้วบ้านรกยังกับรังนก เป็นได้อายเขาตายเลย ยิ่งใครก็ไม่รู้ ปล่อยข่าวว่า จะมีนักข่าวเคเบิลทีวีตามมาด้วย ชาวบ้านเลยต้องขยันเก็บกวาดกันผิดปกติ

วัว ควาย เป็ด ไก่ หมู หมา แมว กระสอบ จอบ เสียม รถเข็น เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ ถูกเก็บ ถูกจัด ถูกวางแบบที่ไม่เคยเป็นระเบียบอย่างนี้มาก่อนในรอบสิบปี พวกหนุ่มๆ ถูกเกณฑ์มาทำความสะอาดอนามัย อบต. ศูนย์เด็กเล็ก ชมรมผู้สูงอายุ ถนนหนทางของหมู่บ้าน ทั้งเก็บขยะ ดายหญ้า กวาดถนน

และหมายกำหนดการในวันศุกร์ของท่านผู้ว่าฯ ที่จะมาตรวจเยี่ยมชาวบ้านนั้น ก็คือ 
           

14.00 น. ผู้ว่าฯ และคณะ เดินทางมาถึงที่ทำการ อบต. ซึ่งจะมีนายอำเภอ ปลัด กำนัน และ นายกฯ อบต. รอต้อนรับอยู่
14.15 น. นายอำเภอ กล่าวรายงานข้อมูลพื้นฐานของอำเภอ พร้อมกับแนะนำหัวหน้าส่วนราชการในอำเภอ
15.00 น. กำนัน กล่าวรายงานข้อมูลพื้นฐานของหมู่บ้าน พร้อมกับแนะนำผู้ใหญ่บ้าน และหัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาต่างๆ ของตำบล
15.30 น. ผู้ว่าฯ รับฟังปัญหา และพูดคุยกับชาวบ้าน
16.30 น. ผู้ว่าฯ ออกเดินตรวจเยี่ยมตามบ้าน
17.00 น. ผู้ว่าฯ เดินทางกลับ

แต่ปรากฎว่า ตอนเช้าวันนั้นเอง คณะของผู้ว่าก็แจ้งมาว่า ผู้ว่าฯ ติดภารกิจด่วน หมายกำหนดการทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเหลือแค่หนึ่งในสาม นั่นคือ ผู้ว่าฯ มาถึง ก็รับฟังปัญหาจากชาวบ้าน ออกเดินตรวจเยี่ยมชาวบ้าน แล้วก็เดินทางกลับ

พอกำนันรู้ ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าโล่งอก หรือ เซ็งจัดกันแน่ เพราะอุตส่าห์ทำความสะอาดกันยกตำบลเสียเรี่ยมเชี่ยม
"...ก็ดีเหมือนกัน..." ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งพูดลอยๆ แบบไม่มีเหตุผลต่อท้าย

พอได้เวลาสี่โมงเย็น(เลื่อนจากเดิมลงมาอีกสองชั่วโมง) คณะของผู้ว่าฯ ก็เดินทางมาถึงที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล มี นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการในอำเภอ นายกฯ อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้าน หลายสิบคน ไปร่วมต้อนรับ

เมื่อผู้ว่าฯ มาถึง ทุกคนก็ได้ทราบว่า กำหนดการจะเปลี่ยนไปอีก เพราะผู้ว่าฯ ไม่มีเวลาเดินตรวจเยี่ยมชาวบ้านแล้ว จึงจะเปลี่ยนไปเยี่ยมหน่วยงานในตำบลแทน

"...จะเอาที่ไหนล่ะ ไม่ได้จัดไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย..." นายกฯ อบต. กระซิบเสียงเครียดกับผู้ใหญ่บ้าน 4-5 คน ขณะที่กำนันกำลังกล่าวรายงานแนะนำหมู่บ้าน
"...กำหนดการก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา...เฮ้อ..." ผู้ใหญ่บ้านหมู่สามบ่นพลางส่ายหัว
"...จะให้ไปเยี่ยมหน่วยงานไหนล่ะ? โรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก เด็กๆ มันก็กลับบ้านกันไปหมดแล้ว อนามัยก็มีเจ้าหน้าที่อยู่แค่สองคน กลุ่มแม่บ้าน ป่านนี้ก็ยังไม่กลับจากไร่จากนากันหรอก..." ผู้ใหญ่บ้านหมู่สี่ ชี้แจงอย่างจนใจ

ยืนเครียดกันอยู่สักพัก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ห้าก็เสนอขึ้นมาว่า
"...เอางี้สิ...ให้ผู้ว่าแกไปเยี่ยมชมรมผู้สูงอายุดีกว่า เดี๋ยวฉันไปเปิดที่ทำการไว้ให้ แล้วก็ช่วยกันเกณฑ์ไปสักสิบยี่สิบคน แค่ที่ยืนๆ อยู่นี่ก็คงพอ..."
พอได้ยินดังนั้น คนอื่นก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที

ผู้ใหญ่บ้านหมู่ห้าหัวไวจริงๆ เพราะ หนึ่ง ที่ทำการชมรมผู้สูงอายุ ก็อยู่ติดกับ ที่ทำการ อบต.นั่นเอง และ สอง ชาวบ้านที่เกณฑ์กันมาต้อนรับผู้ว่าฯ กว่าครึ่ง ก็เป็นคนแก่ คนเฒ่า สมาชิกชมรมทั้งนั้น ดังนั้น ทุกคนจึงช่วยกันจัดการทันที
"...ปลูกผักชีกันอีกแล้ว..." ผู้ใหญ่บ้านหมู่สามบ่นขำๆ
"...เอาเหอะ เขาอยากกิน ก็จัดให้เขาหน่อย..." นายกฯ อบต. พูดยิ้มๆ

พอเสร็จสิ้นการรายงาน(อย่างรวบรัด) คณะของผู้ว่าฯ ก็เดินตรงไปที่ชมรมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียวอยู่ไม่ไกลจาก อบต. ผู้เฒ่าผู้แก่สมาชิกชมรม มานั่งรอกันอยู่พร้อมหน้ากว่ายี่สิบคน ซึ่งอันที่จริง ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มเดียวกับที่ไปยืนต้อนรับผู้ว่าฯ นั่นเอง กระนั้น ก็ดูเหมือนผู้ว่าฯ จะไม่ได้สังเกตุ หรือไม่ก็เต็มใจที่จะมองข้าม ท่านผู้ว่าฯ จึงเข้าไปทักทายพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนม

"...คุณตาอายุเท่าไรแล้วครับเนี่ย ยังดูแข็งแรงอยู่เลย" ท่านผู้ว่าฯ ทักตาชุ้ย ชายชราผิวเข้มร่างใหญ่ แกมีรอยสักทั่วตัว แต่หน้ายิ้ม ดูใจดีตลอดเวลา
"...ปีนี้ก็เจ็ดสิบห้าแล้วล่ะครับ" ตาชุ้ย ตอบยิ้มๆ
"โอ้โห...ยังดูแข็งแรงเหมือนเพิ่งอายุหกสิบเลยนะ" ผู้ว่าฯ หยอก เล่นเอาทุกคนหัวเราะครืน
"เมื่อก่อน คงทำไร่ทำนาเก่งน่าดูสินะ ถึงยังแข็งแรงอยู่อย่างนี้" ผู้ว่าฯ ถาม แต่ตาชุ้ยส่ายหัว
"เปล่าครับ...ผมไม่ได้ทำไร่ทำนาหรอก เมื่อก่อนผมเป็นมือปืน ยิงคนตายติดคุกอยู่ตั้งสิบกว่าปี เพิ่งจะออกมาได้สักเจ็ดแปดปีนี่แหละครับ" ตาชุ้ยตอบซื่อๆ เล่นเอา ท่านผู้ว่าฯ กับคณะเงียบกริบ แต่พวกชาวบ้านแอบปิดปากกลั้นหัวเราะกันแทบแย่

ตาชุ้ย เป็นอดีตมือปืน ตอนหนุ่มๆ โหดเหลือหลาย แต่พอออกจากคุกตอนแก่ ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใจเย็น ยิ้มง่าย ไม่มีเรื่องราวกับใคร เข้าวัดถือศีลแปดทุกวันพระ แถมยังได้รับคัดเลือกให้เป็นคณะกรรมการวัดอีกต่างหาก

ท่านผู้ว่าฯ หัวเราะแหะๆ พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันไปหาคุณยายอีกคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งเคี้ยวหมากหยับๆ อยู่ข้างๆ
"ยาย...ยังกินหมากอยู่อีกหรือ" ผู้ว่าฯ ทัก ยายไข่หันมายิ้มฟันดำปี๋
"จ้า...เลิกไม่ได้ร้อก...กินมาตั้งกะสาวๆ แล้ว..."
"ยายอายุเท่าไรแล้วจ้ะ" ผู้ติดตามคนหนึ่งของท่านผู้ว่าฯ ถามยาย
"ปีนี้ก็...แปดสิบเก้าแล้วล่ะ" ยายไข่ตอบทันที แกตอบคำถามนี้บ่อยเสียจนจำอายุตัวเองได้แม่น
พอยายไข่บอกอายุตัวเอง ก็เรียกเสียงฮือฮาจากคณะผู้ติดตามทันที
"โอ้โห...ยายจะเก้าสิบอยู่แล้ว ยังแข็งแรงอยู่เลย นี่เดินมาจากบ้านเองหรือเปล่า" ผู้ว่าฯ ถาม ยายไข่ใช้มือปาดน้ำหมากจากปาก พยักหน้าหงึกๆ
"บ้านก็อยู่เคียงๆ (ใกล้ๆ)นี่แหละ...เดินมาเองได้"
ผู้ว่าฯ นั่งลงข้างๆ ตั้งท่าจะคุยเป็นงานเป็นการ
"ยายมีเคล็ดลับอะไรถึงได้อายุยืนขนาดนี้ พอจะบอกผมบ้างได้มั้ยล่ะ เผื่อผมจะได้เอาไปเผยแพร่ให้ประชาชนคนอื่นเขารู้บ้าง"

คณะผู้ติดตามกระซิบกระซาบกัน คนหนึ่งหยิบกระดาษปากกาออกมาจด อีกคนบอกให้ กล้องโทรทัศน์จากเคเบิลทีวีเข้าไปเก็บภาพใกล้ๆ
แต่ยายไข่ ไม่ตอบคำถามผู้ว่าฯ แกเบะปาก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก็พูดว่า
"พวกเอ็ง...อย่าอยู่นานอย่างข้าเล้ย มันลำบาก...ทุกวันนี้ ข้าก็รอว่าเมื่อไรจะตายจะได้เลิกลำบากซะที"

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
แกชื่อยายอิ่ม ผู้เคยเฉิดฉายในวงสังคม เพราะคัดสรรเฉพาะสามีรวย หนีออกจากบ้านไปมีผัวตั้งแต่อายุสิบสอง ผ่านมาสี่สิบกว่าปี มีผัวมากี่คน คงนับได้ยากเสียแล้ว พอยายอิ่มแก่ตัวลูกก็หนีหาย ต่างคนต่างไป ไม่มีใครเลี้ยง สุดท้าย แกคว้าตาหงอก ผู้(อ้างว่า)เป็นผู้ดีเก่ามาไว้หาเลี้ยงจนได้ สมัยสาวๆ ยายอิ่มได้มรดกจากพ่อแม่ไปเยอะ แต่ขายกินจนหมด แกมีชื่อเสียงมากด้านความคด ในข้องอในกระดูก ถึงขนาดที่ แม้แต่พี่น้องด้วยกันก็ยังโดน จนต้องตัดพี่ตัดน้องกันนั่นแหละ ในที่สุด พอแก่ตัวไม่มีที่จะอยู่ ต้องมาบีบน้ำตาขอที่จากแม่เฒ่า ซึ่งแม่เฒ่าแกก็ค่อยอยากจะให้ เพราะให้ไปมากแล้ว (แต่เอาไปขายกินหมด)…
ฐาปนา
นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่ ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด…
ฐาปนา
ทุกเช้า ประมาณตีสี่ครึ่ง หอกระจายข่าวกลางหมู่บ้านจะเปิดข่าวเช้า(มืด)จากสถานีวิทยุของจังหวัด เป็นสัญญาณให้ทุกบ้านตื่นนอน เตรียมตัวมาปฏิบัติภารกิจประจำวัน หุงข้าว ทำกับข้าว เตรียมใส่บาตร เตรียมตัวรอขึ้นรถไปโรงเรียน เตรียมตัวรอขึ้นรถไปทำงาน ใครไม่ตื่นก็ต้องตื่น เพราะเสียงดังจนตามเข้าไปถึงในฝัน รายการเช้ามืด เริ่มต้นด้วยเพลงปลุกใจให้ยึดมั่นในสถาบัน แล้วตามด้วยธรรมเสวนา จากเจ้าอาวาสวัดที่เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด ตามด้วยสาระน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องการเกษตร การทำมาหากิน โครงการต่างๆ จากรัฐบาล และ การปฏิบัติงานของหน่วยงานในจังหวัด
ฐาปนา
เช้าตรู่ของวันอากาศดีเสียงตามสายประกาศให้สมาชิกสหกรณ์การเกษตร เข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกันตอนบ่ายโมงตรง ณ ศาลาของหมู่บ้านพอบ่ายโมงครึ่ง สมาชิกสหกรณ์ฯ ก็มากันพร้อมหน้าเจ้าหน้าที่สหกรณ์มากันสามคน คนที่ดูอาวุโสกว่าใคร พูดมากกว่าใคร และเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าใคร เป็นหัวหน้าชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมได้รับกระดาษคนละหนึ่งแผ่น ปากกาคนละหนึ่งด้าม อ่านดู ก็เห็นว่าเป็นแบบฟอร์มสำรวจเรื่อง “ความพอเพียงในครัวเรือน”
ฐาปนา
ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากทะเล ป่าและเขาก็อยู่ไม่ไกล มีคลองส่งน้ำจากเขื่อนผ่านพื้นที่อย่างทั่วถึง ทำนาได้ปีละสองครั้ง ด้านป่าบนติดเขื่อน เขาปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ได้ผลที่มีรสชาติไม่น้อยไปกว่าทางภาคใต้หรือทางภาคตะวันออก แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ ถนัดปลูกผัก เพราะเก็บขายได้ตลอดทั้งปี แต่ละวันจะมีรถสิบล้อขนผักผลไม้ วันละหลายสิบคันวิ่งจากตำบลต่างๆ ในอำเภอ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ พระประแดง สมุทรปราการ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ฯลฯ พร้อมด้วยผลิตผลทางการเกษตรสารพัดอย่าง ตั้งแต่ของจำเป็นในครัวอย่าง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว พริก หอม กระเทียม ไปจนถึงผักเจ้าประจำบนแผงผักทั้ง กะเพราะ โหระพา สะระแหน่ บวบ…
ฐาปนา
ดั้งเดิม ก่อนที่แต่ละบ้านจะมีเอกสารกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินของตัวเอง บ้านส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “รั้ว” อย่างเป็นทางการ เพราะแต่ละบ้านในละแวกก็ล้วนพี่น้อง หรือนับไปนับมาก็ญาติกันทั้งนั้น อาจปลูกต้นไม้เป็นแนวให้บอกได้ว่าเป็นแดนใคร แต่จะถึงขั้นปักเสาขึงลวดหนาม หรือก่อกำแพงล้อมนั้นน้อยราย เพราะถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเงิน เขตบ้านใครก็บ้านมัน ถึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ ถึงไม่มีรั้วรอบขอบชิด ก็ไม่ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครคนหนึ่งเกิดอยากทำเอกสารสิทธิ์ที่ดินของตน จากที่เคยชี้นิ้วบอกว่านี่เขตใคร การออกเอกสารสิทธิ์…
ฐาปนา
วัยเยาว์ของเธอ ขณะที่หัวใจครึ่งหนึ่งเปี่ยมด้วยความฝันและความหวัง ทะเยอทะยานปรารถนา แต่หัวใจอีกครึ่งกลับอ่อนไหว บอบช้ำง่าย ทั้งยังอ่อนด้อยต่อโลกแห่งเหตุผล อนาคตเลือนลางอยู่ในความฝันยามหลับ และวนเวียนอยู่ในความคิดยามตื่น เธอร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจบอกได้ มองไม่เห็น ไม่รู้จุดเริ่มต้น ไม่รู้จุดสิ้นสุด พลังสร้างสรรค์ของเธอฟุ้งกระจาย ไร้ทิศทาง เมื่อคำว่า ความพร้อม อยู่ห่างจากความเข้าใจ เธอจึงได้แต่ก่นโทษตนเองอยู่เป็นนิจ เธอร่อนเร่ไปในเมืองของผู้อื่น จากเมืองสู่เมือง แลกความเพียรกับเงินเลี้ยงชีพ ยิ้มแย้มให้คำดูหมิ่นเพื่อจะได้เห็นเกียรติของตนเสื่อมค่าลง
ฐาปนา
(มะพร้าวกะทิ)ตอนอายุสิบขวบ ผมค้นพบว่าโลกนี้มีผลไม้ประหลาดที่เรียกว่า “มะพร้าวกะทิ” เมื่อพ่อซื้อมันมาจากตลาดฟังดูน่าหัวเราะ เหมือนชาวเมืองมาคอนโดค้นพบว่าโลกนี้มีน้ำแข็ง ในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวแต่นี่คือเรื่องจริงในวัยเด็กของผมอาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่นที่ผมอยู่ ไม่ใช่ของที่หากินได้ทั่วไป จึงได้มีราคาสูงถึงลูกละ 50 บาท ซึ่งแน่ละ สำหรับยี่สิบปีก่อน ถือว่า แพงมาก แล้วเมื่อแพงขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ใช่ของที่จะซื้อกันบ่อยๆผมจำความตื่นเต้นในการเจอหน้าครั้งแรกได้ดี มะพร้าวอะไรกัน มีเนื้อเต็มลูก ไม่แข็งแต่นิ่มๆ หยุ่นๆ รสชาติก็ลื่นๆ มันๆ…
ฐาปนา
แกชื่อยายหอม เป็นคนอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีแม่ของแกมีเชื้อลาวพวน พ่อของแกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน แต่เดิมแกอยู่ตำบลอื่น แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ แกเป็นคนรุ่นแรกที่มาหักร้างถางพงทำไร่ทำนาหมู่บ้านยุคบุกเบิก มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า สัตว์ป่าชุกชุม เข้าป่าเจอเสือ หรือเสือแอบเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน เป็นเหตุการณ์ประจำวัน คอกวัวสมัยนั้น ต้องกั้นเป็นฝาจึงพอกันเสือได้ ชาวบ้านกินเนื้อเก้ง เนื้อกวาง เนื้อไก่ป่า บ่อยกว่าเนื้อหมู หนองน้ำเต็มไปด้วยปลาตัวโตๆ ตะพาบตัวเท่ากระด้ง เรื่องผีสางนางไม้อยู่แนบชิดชุมชนมากกว่าเรื่องวัดเรื่องพระแกเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นแกยังเป็นสาว…
ฐาปนา
ในวัยหนุ่มสาว ขณะที่จิตใจยังถูกครอบงำด้วยความโรแมนติกเช่นเดียวกับหลายคน ผมฝันถึงบ้านที่มองเห็นภูเขา ฟ้ากว้าง ได้เฝ้ามองหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย อาบกายด้วยแสงอัสดงทุกวัน หรือ บ้านที่อยู่ริมทะเล เห็นเส้นขอบฟ้าไร้จุดสิ้นสุด ไกวเปลตามลมเห่ ต้นมะพร้าวโยกเอน นอนฟังเสียงคลื่นกล่อมชั่วกาลทว่าในบริบทของชีวิต ผู้ที่สามารถมีบ้านอย่างที่ฝันมีไม่มากเลย ทั้งเมื่อมีแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี กว่าจะแต่งเติมภาพฝันจนเสร็จจริง คนที่ให้ค่ากับความฝันสูงยิ่งทั้งไม่ยอมให้ความยากลำบากในชีวิตจริงมาบั่นทอนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับที่พำนักของหัวใจชั่วชีวิตเงื่อนไขของแต่ละคนไม่เท่ากัน…
ฐาปนา
เสียงจักจั่นกรีดปีกจากป่าเชิงดอย ฝ่าไอแดดร้อนมาถึงเคหะสถานเงียบงัน รถกระบะบรรทุกหนุ่มสาวร่างเปียกปอนยืนล้อมถังน้ำใบใหญ่แล่นผ่านไปหญิงชราถือสายยางเดินออกมาหน้าบ้าน ฉีดน้ำใส่พื้นถนน ไอน้ำระเหยขึ้นเด็กๆ หิ้วถังพลาสติก ขัน ปืนฉีดน้ำ มองสองข้างทางอย่างมีความหวังร้านขายน้ำปั่น น้ำแข็งไส ขายดีจนต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มในช่วงบ่ายเจ้าของโรงทำน้ำแข็ง หน้าบาน แต่ลูกจ้างหน้าเหี่ยว เพราะข้าวสารขึ้นราคาลิตรละหลายบาทแต่ค่าแรงเท่าเดิม    ดวงอาทิตย์กลับมาอยู่ใกล้ชิดโลก เหมือนคนรักที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้งมวลอากาศอบอ้าวเข้าเกาะกุมผิว ยึดทุกรูขุมขน เหงื่อเค็มถูกขับซึมเสื้อ เหนอะหนะ…
ฐาปนา
“...ทว่าการเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ครั้งนี้ต้องอาศัยปัญญามหาศาล ความกล้าหาญมหึมา และความมุ่งมั่นเหลือคณา เพราะความกลัวจะจู่โจมถึงแกนกลางของแนวคิดนี้ และป่าวร้องว่าผิดพลาด ความกลัวจะกัดกินเข้าไปยังแก่นแห่งสัจธรรมล้ำเลิศและแปลงให้เป็นเรื่องเท็จเทียม ความกลัวจะบิดเบือน และทำลาย ฉะนั้นความกลัวจะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ทว่าเธอไม่อาจมีและไม่อาจสร้างสังคมที่ปรารถนาและใฝ่ฝันมาช้านานจนกว่าจะเห็นปัญญาและกระจ่างชัดถึงปรมัตถ์สัจจ์ที่ว่า สิ่งที่เธอทำแก่ผู้อื่นเธอก็ได้ทำแก่ตัวเอง สิ่งที่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่น เธอก็ไม่ได้ทำให้ตัวเอง ว่าความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็คือความเจ็บปวดของตัวเธอ…