Skip to main content

 

ขับเคลื่อนใจไปพร้อมกับสังคม
Subtle Activism: การเปลี่ยนแปลงสังคมทางพลังงาน
 

เรียบเรียงเนื้อหาจากงานเสวนา Subtle Activism โดย Mary Englis
แปลไทย โดย กฤตยา ศรีสรรพกิจ
4 ตุลาคม 2562 ณ วัชรสิทธา


ถอดเทป สรุปความ โดย วิจักขณ์ พานิช
 

 



 



ที่มาของแนวคิด Subtle Activism

 

• แมรี่เกิดและโตที่ประเทศแอฟริกาใต้ ครอบครัวของเธอมีส่วนร่วมอย่างมากกับขบวนการต่อต้านการเหยียดผิว ออกไปประท้วง พยายามสร้างการเปลี่ยนแปลง

• วันนึงคุณพ่อของเธอเสียชีวิต เป็นจุดเริ่มต้นที่ครอบครัวเธอเชื่อมต่อได้กับดวงจิตบางอย่างที่มองไม่เห็น โดยจุดเริ่มต้นคือการพยายามเชื่อมโยงกับพ่อที่เพิ่งเสียไป (ซึ่งนั่นไม่เกิดขึ้น) ดวงจิตนี้ให้คำแนะนำและเป็นเพื่อนร่วมทางกันกับครอบครัวนาน 6 เดือน

• ดวงจิตนี้บอกครอบครัวเธอว่า

"เป็นเรื่องสำคัญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม สร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรมมากขึ้น แต่ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือเวลาที่เราออกไปประท้วงหรือปฏิสัมพันธ์กับอำนาจรัฐ วิธีการเคลื่อนไหวของเรา วิธีการดำรงอยู่ (presence) ของเรา มีความสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เราต้องการให้เกิดขึ้นแค่ไหน

เราต้องตระหนักว่าระหว่างเรามีความเชื่อมโยงกัน เราสามารถรักกันได้ ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นคนที่แชร์พื้นที่เดียวกันกับเรา ที่แค่เห็นไม่ตรงกันอย่างยิ่งในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น"

ข้อความนี้มีผลต่อเธอมาก และเป็นประสบการณ์แรกที่เธอมีต่อ subtle activism

• มีตำรวจจากหน่วยสืบรายการลับที่มักแวะเวียนมาที่บ้าน (ตอนนั้นเธอเป็นนักข่าว) พยายามมาข่มขู่ให้กลัว วันนึงเธอเลยชวนเขาไปกินกาแฟด้วยกันแล้วนั่งคุย ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีผลอะไรต่อตำรวจคนนั้นไหม และก็ไม่รู้ว่ามันจะมีผลต่อผู้คนจำนวนมากที่ตำรวจเฝ้าติดตามอยู่บ้างหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือมันสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่เธอ

• พอได้มาอยู่ที่ชุมชนฟินฮอร์น (ชุมชนทางจิตวิญญาณในสกอตแลนด์) ที่เธออาศัยอยู่มาเป็นเวลา 46 ปีแล้ว เธอเข้ามามีส่วนร่วมกับ subtle activism มากขึ้น

กลุ่มของพวกเธอใช้ชื่อว่า Lorian Association ก่อตั้งโดยชายชื่อ David Spangler ตั้งแต่เล็ก David มีความสัมพันธ์และเชื่อมต่อกับโลกที่มองไม่เห็นอย่างเป็นธรรมชาติ David สัมพันธ์กับสิ่งที่เรียกว่า subtle colleague หรือพันธมิตรที่มองไม่เห็น ที่สนใจและห่วงใยที่จะทำงานร่วมกับมนุษย์ในการร่วมสร้างความเป็นองค์รวมให้แก่โลกนี้

• เวลาพูดถึงการทำงานร่วมกัน (collaboration) ไม่ใช่ว่ารอให้เค้ามาบอกให้เราทำอะไร การจะทำงานร่วมกันกับพันธมิตรที่มองไม่เห็นได้ มนุษย์ต้องเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับพันธมิตรที่มองไม่เห็นจากความเข้มแข็งและความเป็นองค์รวมภายในตน หากมนุษย์ยังมองว่าตัวเองด้อยค่า ต่ำกว่า ก็ยากมากที่จะเราจะทำงานร่วมกันได้

• คำว่า subtle แปลเป็นไทยค่อนข้างยาก ถ้าแปลตามตัว คือ "ละเอียด" แต่ในที่นี้จะขอแปลว่าเป็น "ทางพลังงาน" ซึ่งจริงๆ คำคำนี้มีความหมายค่อนข้างกว้าง แต่เดี๋ยวพอฟังๆ ไป ก็จะรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น และน่าจะเซ้นส์กันได้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่จากที่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่คนไทยมีต่อโลกที่มองไม่เห็น โลกที่ไม่ใช่ทางกายภาพ หรือโลกทางจิตวิญญาณ ก็คิดว่าคนไทยน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

 

• subtle activism คือวิธีการที่จะใช้จุดแข็งและศักยภาพของมนุษย์ เพื่อทำงานกับระบบนิเวศทั้งของโลกภายนอกและของโลกภายใน โดยใช้สนามพลังงาน และ presence ของเรา รวมถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มองไม่เห็น เพื่อสร้างการเยียวยา ความเป็นองค์รวม การเผยปรากฏของสิ่งใหม่ๆ และ blessings

 







 

4 premises of Subtle Activism
หลักการพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงสังคมทางพลังงาน 4 ข้อ

ข้อ 1. ความเป็นจริงมีทั้งมิติที่มองเห็นและมองไม่เห็น ตัวเราก็มีทั้งสองส่วน และได้รับผลกระทบจากทั้งคู่

เรามีส่วนที่มองเห็นและมองไม่เห็น โลกก็มีส่วนที่มองเห็นและมองไม่เห็น ห้องนี้ สิ่งแวดล้อมนี้ มีทั้งมิติที่เป็นกายภาพและมิติที่เป็นพลังงาน

เราเป็นส่วนหนึ่งของทั้งสองมิติ เรามีร่างกายทางกายภาพ ขณะเดียวกันก็มีร่างกายในทางพลังงาน (subtle energetic body) ร่างกายที่เป็นกายภาพก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกกายภาพ ร่างกายทางพลังงานก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกทางพลังงาน เราอยู่ในทั้งสองโลก

หลักการข้อแรกคือการเห็นคุณค่าของทุกมิติ กายภาพก็สำคัญ การเป็นมนุษย์ที่มีร่างกายนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ขณะเดียวกันก็มีมิติที่ไม่ใช่ทางกายภาพด้วย ที่ใกล้ที่สุดก็อย่างอารมณ์ ความคิด และเมื่อขยายไกลออกไปก็มีมิติทางพลังงานที่ละเอียดขึ้น เชื่อมต่อผ่านการ sensing หรือการใช้ญาณทัศนะ  

เมื่อเราเปิดต่อการสัมพันธ์กับโลกในทางพลังงานมากขึ้น เราก็จะเปิดรับการเชื่อมต่อกับ subtle beings (ดวงจิต) ที่อยู่ในโลกนั้นมากขึ้นด้วย โลกในทางพลังงานมีมิติที่หลากหลายมากๆ เช่น ในสิ่งแวดล้อมทางพลังงานที่นี่ มีต้นไม้ในกระถาง ก็จะมีดวงจิตของต้นไม้ที่เฝ้าดูแลและทำงานอยู่กับต้นไม้ มีสนามพลังของวัตถุทุกชิ้นที่อยู่ในห้องนี้ รวมถึง subtle และ elemental beings ที่ทำงานร่วมกับวัตถุเหล่านั้น แม้เราจะอยู่กันในคนละคลื่นความถี่ แต่ก็สามารถ tune in ให้เข้าไปสู่คลื่นความถี่ที่หลากหลายนั้นได้

ข้อ 2. เราสามารถเปลี่ยนรูป (shapeshift) ได้ รูปร่างของเราส่งผลต่อโลกเชิงพลังงานของเรา
 

ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลยี สิ่งใดที่เกิดขึ้นในโลกนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นอย่างรวดเร็วมาก เช่น เราอาจดูอะไรบางอย่างในทีวี อ่านอะไรบางอย่างในอินเตอร์เน็ต อารมณ์ใดๆ ก็ตามที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องราวนั้น สามารถแพร่กระจายไปได้ในเสี้ยววินาที เรารู้สึกถูกกระทบจากเรื่องราวเหล่านั้น เริ่มต้นจากในระดับพลังงาน มาสู่ความคิด อารมณ์ และส่งผลต่อเราในระดับกายภาพในที่สุด แต่ขณะเดียวกันเราก็สามารถเลือกได้ โดยเฉพาะในระดับ local ว่ารูปในทางพลังงานแบบไหนที่เราเลือกจะเป็น เช่น ถ้าเราอยู่กับเพื่อนที่กำลังไม่พอใจมากๆ แล้วเราเห็นด้วยว่ามันเป็นเรื่องที่แย่มากๆ ที่เกิดขึ้นกับเพื่อน หากเราแสดงความไม่พอใจกลับออกไป ขณะนั้นเราก็กำลังเปลี่ยนรูปในเชิงพลังงาน ขยายความไม่พอใจที่กำลังเกิดขึ้นกับเพื่อนให้กว้างออกไป ในทางตรงข้าม เราก็สามารถเลือกที่จะสร้างพื้นที่ของความเปิดกว้าง ความสงบ เป็นรูปแบบในทางพลังงานที่ต่างออกไป และนั่นก็จะช่วยสร้างพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ของความสงบขึ้นมา

แน่นอนว่า การทำเช่นนั้นไม่ได้การันตีผลลัพธ์ เพื่อนคนนั้นอาจจะไม่ได้เลือกที่จะสงบก็ได้ แต่รูปในเชิงพลังงาน หรือการดำรงอยู่ของเรา ส่งผลต่อสนามพลังงานของสถานการณ์นั้น มันช่วยโอบอุ้มความเป็นได้ที่อะไรบางอย่างจะสามารถก่อกำเนิดขึ้นได้ อันนี้คือตัวอย่างของ Local Subtle Activism หรือ Subtle Activism ในระดับที่อยู่ต่อหน้ากัน

ข้อ 3. เราเป็น fractal ของทั้งหมด

 

เราเป็นส่วนๆ นึงของทั้งหมด เราเป็นเซลล์ๆ นึงของโลก เรามี DNA ของโลก มี DNA ของมนุษยชาติ การเปลี่ยนรูปในเชิงพลังงานของเราจึงส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทั้งหมด

ใน subtle energetic level  มันเหมือนกับการเติมเครื่องปรุงให้ซุป อาจจะเป็นแค่เม็ดเกลือเม็ดเล็กๆ ฉันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร แต่พอเอาตัวเองใส่เข้าไปในซุป ไม่ต่างกับการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ละเอียดทางพลังงาน เม็ดเกลือก็กระจายไปในซุป แล้วซุปก็เปลี่ยนรสชาติ

 

ข้อ 4. ในทุกสิ่งมีดวงจิตอยู่ (sentient beings and spirits) และทุกดวงจิตกำลังแสวงหาแนวทางในการสร้างความเป็นองค์รวม ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ คน กลุ่มคน ประเทศ โลก ระบบนิเวศ ฯลฯ มีอะไรบางอย่างที่เราสามารถเข้าไปเชื่อมโยงและทำงานร่วมด้วยได้ ซึ่งดวงจิตเหล่านี้มีระบบจัดการตัวเองของมัน

ดังนั้น subtle activism คือการรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ แล้วเข้าไป “ทำงานร่วม” กับดวงจิตเหล่านั้น
 

สองระดับของ subtle activism

 

  • local subtle activism เกี่ยวข้องกับการนำเอาความไหลลื่น ความเชื่อมโยง ความเป็นหนึ่งเดียว มาสู่ตัวเอง สภาพแวดล้อมที่เราอยู่ และในชีวิตประจำวันของเรา
  • non-local subtle activism เกี่ยวข้องกับการทำงานกับพันธมิตรในระดับพลังงาน ทำงานร่วมกัน เพื่อที่จะส่งผลต่อสถานการณ์ในโลกที่ต้องการการเยียวยา

 

LOCAL SUBTLE ACTIVISM เราทุกคนสามารถทำได้เลย สามารถถักทอความเชื่อมโยงในตัวเอง ในสภาพแวดล้อม ให้พร ให้เกียรติตัวเอง รักตัวเองและที่ที่เราอยู่ด้วย มันอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่จริงๆ แล้วประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อส่วนรวมนั้นยิ่งใหญ่มาก มันทำให้เกิดการไหลเลื่อนและเชื่อมโยง ไม่ใช่ในเฉพาะทางกายภาพ แต่รวมถึงในระดับพลังงานด้วย คุณสมบัติของพลังงานที่เราเป็น ส่งผลต่อสิ่งรอบตัวเรา

 

มีการทดลองหนึ่งที่ทำกับเด็กในโรงเรียน มีต้นไม้อยู่สามต้น ต้นแรก เด็กๆ ถูกบอกให้ชื่นชมต้นไม้ต้นนี้กันมากๆ  ต้นที่สอง กลางๆ ชื่นชมบ้าง แต่ไม่ต้องไปอะไรกับมันมาก ส่วนต้นที่สาม ให้รุมวิจารณ์มันเยอะๆ พูดแต่สิ่งลบๆ กับมัน  ผลคือต้นแรกเติบโตได้งดงามมาก ต้นสองเติบโตได้กลางๆ โอเค ต้นสามเติบโตได้แย่มาก ซึ่งในทางกายภาพมันได้รับการดูแลเท่าๆ กัน แต่ว่าสิ่งแวดล้อมในทางพลังงานนั้นต่างกัน

ครั้งหนึ่ง David Spangler รู้สึกถูกรบกวนใจกับข่าวในทีวี รู้สึกแย่ มีดวงจิตหนึ่งมาถาม “มีอะไรในสิ่งแวดล้อมนี้ที่คุกคามเธออยู่หรือเปล่า” “ไม่นะ” เดวิด ตอบ ดวงจิตก็เลยให้คำแนะนำว่า ให้ฝึกอยู่กับที่นี่ แทนที่จะไปอยู่ที่นั่น หรืออยู่ในอนาคต

บางครั้งก็จำเป็นที่ต้องคิดถึงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่อื่น หรือคิดว่าจะจัดการกับมันยังไง แต่การอยู่ที่นี่ตอนนี้ รับรู้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของ web of life ที่นี่ การชื่นชม ให้เกียรติ เคารพ และปฏิสัมพันธ์กับสายใยนี้ด้วยความรักเป็นอะไรที่เรียบง่าย แต่ถือเป็นกุญแจสำคัญของ local subtle activism

แบบฝึกหัด Touch of Love

แบบฝึกหัดของการให้เรากลายเป็นพลังงานของความรัก ปล่อยให้ความรักเกิดขึ้นในตัว แล้วให้พลังงานนั้นไหลออกมาจากปลายนิ้วมือ สร้างสนามพลังงานที่ช่วยถักทอทั้งโลกกายภาพและโลกเชิงพลังงาน แล้วเวลาที่ทำเช่นนี้ มันจะดึงดูด subtle beings and spirits ที่เชื่อมโยงกับพลังงานนั้นเข้ามาในสนามพลังงาน ดึงดูดเข้ามาและมาช่วยเติม เหมือนรสชาติที่เติมลงไปในซุปถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น การทำแบบนี้เป็นการช่วยเหลือหรือการรับใช้ที่ยิ่งใหญ่มากที่เราสามารถทำได้

1.  นั่งสบายๆ นึกถึงคน สถานที่ หรือเหตุการณ์ที่คุณรัก จินตนาการว่าคุณอยู่กับคนรัก หรือช่วงเวลาที่คุณรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งถึงความรัก ได้รับหรือได้ให้ความรัก สังเกตว่าความทรงจำนี้ส่งผลต่อหัวใจ ร่างกาย จิตใจเรายังไง สังเกต felt sense ว่าอยู่ตรงไหนในตัวเรา ปล่อยให้ felt sense ขยายเติมเต็มทุกเซลล์ ลงลึก ขยายออก อาจจินตนาการว่าหัวใจเราท่วมท้นไปด้วยความรัก กระดูกสันหลังสว่างวาบไปด้วยความรัก ปล่อยให้ความรักไหลผ่านแกนกลางของเรา ไหลไปตามแขน ไปที่มือ พลังงานความรักถูกดึงไปผ่านที่นิ้วมือ

 

2. จินตนาการว่าเรากำลังเอื้อมมือไปสัมผัสสิ่งต่างๆ ในห้อง อาจจะเปิดตาหรือใช้ความทรงจำ แล้วเคลื่อนไปสัมผัสสิ่งต่างๆ ในห้องนี้ แล้วรับรู้ความรักที่ปลายนิ้วมือ ไหลออกไปแตะสิ่งที่เราสัมผัส เราไม่ได้โยนพลังงานอะไรออกไป แค่ปล่อยให้ความรักที่ดำรงอยู่ในตัวเราไหลออกไปเอง ปล่อยให้วัตถุที่เราเอานิ้วไปสัมผัสรับรู้ถึงพลังงานนี้ในรูปแบบของมันเอง ขณะที่ความรักไหลออกไป รับรู้ด้วยว่าความรักนี้ยังไหลเวียนอยู่ในตัวเรา รับรู้ว่าความรักนี้ไหลเวียนอยู่ในสิ่งแวดล้อมนี้ด้วย

 

3. จินตนาการถึงบ้านหรือที่ทำงาน ที่ที่คุณไปอยู่ทุกวัน ในจินตนาการ ให้เราเดินไปในพื้นที่นั้น สัมผัสวัตถุต่างๆ รับรู้ถึงพลังงานความรักไหลออกไปสู่พื้นที่และวัตถุเหล่านั้น สังเกตว่าเรารับรู้อะไรใหม่ หรือมีมุมมองใหม่ๆ บ้างไหม มีอะไรเปลี่ยนไปในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับวัตถุที่ไปสัมผัสหรือเปล่า บางทีอาจรู้สึกถึงพลังงานความรักของสิ่งเหล่านั้นไหลกลับมาสู่ตัวคุณด้วย รับรู้ถึงความเชื่อมโยงของกันและกัน

4. พาตัวเองกลับมาอยู่ที่นี่ ในห้องนี้ ตอนนี้ รู้สึกถึงพลังงานของความรักที่ปล่อยให้ไหลออกไป กำลังถูกซึมซับกลับเข้ามาในร่างกายของตัวเองด้วย
 

Q&A


- เวลาเรารู้สึกถึงพลังงานของความรัก แล้วทันใดนั้นมีแวบของความคิดหรือความทรงจำที่ทำให้เราเปลี่ยนรูปไปสู่พลังงานทางลบ (negative energy) คือมันรู้สึกได้ว่าความรักก็ยังอยู่ตรงนั้นแหละ แต่มันมีพลังงานลบเกิดขึ้นพร้อมกันไปด้วย เราจะทำอย่างไรกับพลังงานลบนั้น จำเป็นต้องทำอะไรกับมันไหม ต้องแปรเปลี่ยนมันไหม

มันคงเป็นการเรียกร้องที่ใหญ่หลวงมาก ถ้าจะให้เราไม่มีพลังงานลบเลย แต่ฉันคิดว่าสำคัญคือการรับรู้ และหาจุดที่เราสามารถ shift หรือเปลี่ยนได้ บางครั้งมันก็ดูเป็นไปไม่ได้และบางครั้งมันก็ทำไม่ได้ ฉันคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะไปตัดสินหรือกล่าวโทษตัวเองซ้ำอีกว่าทำไมทำไม่ได้ บางทีอาจจะใช้แค่อะไรเล็กๆ  ในการแปรเปลี่ยน

ในเวิร์คช็อป subtle activism ที่เพิ่งจัดไปเมื่อเดือนที่แล้ว มีผู้หญิงคนนึงที่รู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตอย่างมาก เกือบจะฆ่าตัวตาย ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน ถึงจุดหนึ่ง จู่ๆ เธอก็นึกถึงคำพูดของใครคนหนึ่งที่เคยบอกเธอว่า ในทุกสถานการณ์ เราสามารถหาบางสิ่งมาสัมผัสและชื่นชมมันได้เสมอ ตอนที่นึกได้ เธอก็บอกตัวเองว่า จะนึกถึงเรื่องนี้ทำไม ตอนนี้ทำไม่ได้หรอก และตอนนั้นเธอมองไปข้างๆ เห็นต้นเจอเรเนี่ยม เธอก็เลยให้ความใส่ใจมัน แล้วชื่นชมใบไม้ใบนึง จากตรงนั้นมีอะไรบางอย่างชิฟท์ในตัวเธอ ความสิ้นหวังไม่ได้หายไป แต่มันมีอะไรอย่างอื่นเกิดขึ้นด้วย เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหว ตรงนี้สำคัญ พลังงานนั้นเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ไม่ได้ตายตัว ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกติดอยู่กับที่ พยายามให้เกิดความไหลเลื่อนเคลื่อนไหว แม้ตอนนั้นสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยน แต่ตรงนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอรู้สึกเชื่อมโยงกับคนที่กำลังสิ้นหวัง อยากฆ่าตัวตายคนอื่นๆ ทั้งโลก ที่กำลังติดอยู่ในพลังงานแบบเดียวกับเธอ เพียงแค่การพลิกเปลี่ยนเล็กๆ ของเธอนั้น มีผลกระทบต่อคนอื่นๆ ที่อยู่ในคลื่นความถี่เดียวกันด้วย ซึ่งฉันว่ามันจริงนะ และนี่เองคือสะพานที่เชื่อมระหว่าง local subtle activism กับ non-local subtle activism เธอพลิกเปลี่ยนบางสิ่งในตัวเธอ locally ความเชื่อมโยงเริ่มเกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเธออีกครั้ง นอกจากนั้นมันยังขยายออกไปสู่ผู้คน สถานที่ สถานการณ์ที่ non-locally ด้วยเช่นกัน

- Q&A เข้าไปในห้องนึงในบ้าน แค่ไปหน้าห้องก็รู้สึกถึงพลังงานที่แน่นมาก ไม่ไหว แม้จะอยากส่งความรักให้เค้า แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ไหว

 

ในบางสถานการณ์ เราอาจจะรู้สึกว่ามันยากเกินไปที่จะเข้าไปในห้อง สร้างความเชื่อมโยงกับใครบางคน มอบความรักให้กับใครบางคนหรือกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า แต่บางทีเราอาจจะลองแค่เป็นความรัก ให้ความรักเข้ามาเป็นเนื้อเป็นตัวเรา ไม่จำเป็นต้องส่งความรักไปให้ใครก็ได้  แค่นั้นก็อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้แล้ว อย่างที่บอกคือ มันไม่ได้การันตีผลลัพธ์ แต่นั่นคือเคล็ดลับของการสร้างปัจจัยให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้

บางครั้งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปสัมพันธ์กับอะไรบางอย่างที่ยากเกินไป แต่เราสามารถเปลี่ยนรูปร่าง (shapeshift) ตัวเองได้ อาจจะต้องปิดม่านไปก่อน ไม่ให้สิ่งที่มารบกวนเราเข้ามา แต่แล้วการเปลี่ยนรูปทางพลังงานของเราก็อาจจะไปเปลี่ยนแปลงตัวสถานการณ์ด้วยก็ได้

 

 


NON-LOCAL SUBTLE ACTIVISM

Non-Local Subtle Activism การเปลี่ยนแปลงสังคมทางพลังงาน แบบที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเรา
ส่วนสำคัญคือ เราไม่ได้ส่งพลังงานอะไรบางอย่างออกไป ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ต้องการความรัก ต้องการสันติภาพ แล้วเราพยายามจินตนาการความรักและสันติภาพส่งไปให้ เพราะหลายครั้งแบบนั้นเป็นแค่ในระดับความคิดเท่านั้น

• สิ่งที่ทำได้มากกว่าคือ เราเป็นเนื้อเป็นตัวกับพลังงานนั้น (embody the energetic quality) เหมือนแบบฝึกหัดก่อนหน้านี้คือ เราฝึกที่จะเป็นความรัก


• Non-Local คือการเชื่อมโยงกับพลังงานที่จำเป็นต่อสถานการณ์นั้นๆ แล้วใช้เวลาให้พลังงานนั้นเป็นเนื้อเป็นตัวเรา เมื่อทำแบบนี้ จะทำให้เกิด resonance กับดวงจิตอื่นๆ ที่อยู่ในระดับนี้ เกิดการเชื่อมโยง และได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือ เป็นการเชื่อมโยงคุณสมบัตินี้และเชื่อมโยงกับ subtle beings ในระดับพลังงาน เหมือนที่เราทำกับไพ่นางฟ้า (ใน Transformation Game) เปิดประตูในเชิงพลังงานของตัวเอง แล้วสร้างสนามพลังงานที่ใหญ่กว่าใครคนนึงหรือสิ่งใดสิ่งนึงจะสร้างได้ด้วยตัวเอง เรียกว่า “สนามพลังงานของความร่วมมือ” (Collaorative Field) เมื่อเราโอบอุ้มประสบการณ์ของตัวเองในสถานการณ์นี้ เราก็จะสามารถทำให้พลังงานนี้มีในสถานการณ์ที่เราเข้าไปเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง

สิ่งสำคัญคือ เอาทั้งสองสิ่งนี้มาไว้ด้วยกัน การสร้างสนามพลังงานของความร่วมมือ เชื้อเชิญดวงจิตและวิญญาณอื่นๆ เข้ามาช่วยเหลือ เราสร้างพันธมิตรในระดับพลังงาน ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร ดวงจิต วิญญาณ เทพ เทวดา นางฟ้า พระเจ้า ที่โอบอุ้มช่วยเหลือสถานการณ์ เราสามารถเชื้อเชิญพวกเขาเข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมในการทำงานบางอย่างได้

 

ตัวอย่างสถานการณ์ที่แมรีเคยทำ non-local subtle activism เช่น Brexit, การแบ่งแยกใน Scotland, สถานการณ์ในชุมชนฟินฮอร์น  เป็นการสร้างคุณสมบัติของ Collarabative, Relational, Connectedness ที่จะช่วยโอบอุ้มความแตกต่างและความขัดแย้งทั้งหลายได้ เราเลือกเข้าไปในสถานการณ์ที่มีความแตกต่าง แต่ตัวเราสามารถดำรงอยู่ในความเชื่อมโยงได้ ไม่ใช่แค่เลือกสถานการณ์ที่เห็นด้วยและเต็มไปด้วยความปรองดอง แต่ให้นึกถึงสถานการณ์แบบนั้น เราเชื้อเชิญเทพแห่งสกอตแลนด์ ดวงจิตแห่งน้ำ แห่งผืนดิน มาโอบอุ้มสถานการณ์นั้นด้วยกัน แต่ละคนในกลุ่มก็เลือกสถานที่ในสกอตแลนด์ที่ต่างกันออกไป แต่ละคนก็ให้พลังงานเดียวกันนี้มาในเนื้อในตัว แต่พาตัวเองไปในสถานที่ที่ต่างกัน

สุดท้ายก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะส่งผลอะไรไหม แต่ที่แน่ๆ ใจเรารู้สึกว่าได้ส่งผล และผลนั้นเกิดกับตัวเราและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราเป็นอย่างแรก

แบบฝึกหัด :
1. นึกถึงสถานการณ์ที่ยากลำบาก สถานการณ์ที่เราอยากทำ subtle activism ด้วย อะไรคือคุณสมบัติที่เราคิดว่าจำเป็นต่อสถานการณ์นั้น พลังงานลักษณะไหนที่น่าจะช่วยสนับสนุนสถานการณ์นี้ได้มากที่สุด รวมถึงคุณลักษณะของพันธมิตรที่มองไม่เห็นที่จะสามารถมาช่วยสถานการณ์นี้ได้

2. เริ่มจากรับรู้ถึงแสงสว่างแห่งดวงจิตของตัวเราเอง ยืนอยู่ในความสว่างแห่งการดำรงอยู่ของตัวเรา รับรู้ว่าแสงสว่างนี้เข้ามาเติมเต็มทุกส่วนของเรา ร่างกาย ความคิด อารมณ์ พลังงาน จิตวิญญาณ พักอยู่ในแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณ ในความรัก ในความศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในทุกสิ่ง และมีอยู่ในตัวเอง

3. เชื่อมโยงกับคุณลักษณะที่คุณคิดว่าจำเป็นต่อสถานการณ์นี้ ให้เราก้าวเข้าไปเป็นคุณลักษณะนี้ให้มากที่สุด รับรู้ถึง felt sense ของคุณลักษณะนี้ในร่างกายในเชิงพลังงาน อาจนึกถึงความทรงจำที่คุณได้เป็นคุณลักษณะนี้ ให้คุณภาพนี้เข้ามาเป็นเนื้อเป็นตัว เป็นทั้งหมดของตัวเรา ปล่อยให้มันเติมเต็มตัวเรา และเปล่งประกายผ่านตัวคุณ รู้สึกถึงพื้นที่รอบๆ ได้รับการเติมเต็มด้วยคุณลักษณะของพลังงานนี้

 

4. รับรู้ว่าพลังงานนี้กำลังขยายตัวออกกลายเป็น สนามพลังงาน กลายเป็นฟองอากาศหรือลูกโป่ง เป็นพื้นที่ของการร่วมมือ ให้เราเชื้อเชิญพันธมิตรจากโลกที่มองไม่เห็น ดวงจิต เทพ หรือนางฟ้า ที่เราอยากเชิญมาร่วมมือ รับรู้ถึงพลังงานของพันธมิตรเหล่านี้อยู่ร่วมกับคุณ ปล่อยให้พลังงานของคุณกับพวกเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในพื้นที่แห่งการร่วมมือนี้ จนกลายเป็นอะไรที่มากไปกว่าคุณหรือเค้าคนใดคนหนึ่งจะโอบอุ้มไว้ได้ รู้สึกว่าตัวคุณกำลังขยายออก ตัวคุณแข็งแรงขึ้น แข็งแกร่งขึ้น เป็นการทำงานร่วมกันเพื่อโอบอุ้มพื้นที่นี้  ได้รับการสนับสนุน ได้รับการส่งเสริมจากการทำงานร่วมกัน ทำให้สามารถโอบอุ้มพื้นที่แห่งความร่วมมืออันทรงพลังนี้

5. เมื่อพร้อม ก็ให้สนามพลังนี้ขยายไปโอบอุ้มสถานการณ์ที่เราต้องการเข้าไปทำงานด้วย ให้กลายเป็นพื้นที่เปิดสำหรับสถานกาณณ์นั้น ให้ทุกชีวิตทุกสิ่งในสถานการณ์นั้นสามารถเชื่อมโยงกับตัวเองได้มากขึ้น เชื่อมโยงกับโลกได้มากขึ้น

6. ถ้ารู้สึกพร้อม ก็ให้ไปในสถานการณ์ที่ “เรียก” คุณให้เข้าไป ในสถานที่เฉพาะ หรือกับใครบางคน โอบอุ้มสนามพลังงานนี้ในที่แห่งนั้น หรือผู้คน/สถานการณ์นั้นถูกโอบอุ้มด้วยพลังงานแห่งความร่วมมือนี้อย่างมั่นคง

ไม่เข้าไปครอบงำหรือควบคุม แค่ให้มีอยู่ที่นั่น มีอยู่สำหรับใครก็ตามที่สามารถเอาไปใช้ได้ จินตนาการให้สนามพลังงานมั่นคงขึ้น กระจ่างชัดขึ้น สามารถที่จะรับและโอบอุ้มพลังงานนี้ไว้ได้ด้วย
 

6. ให้พร ปล่อย สลาย ขอบคุณ ดวงจิตและวิญญาณ ที่เข้ามาร่วมทำงานกับคุณ ก้าวออกจาก collaborative field แล้วพาความรู้สึกตัวกลับมาอยู่ที่ร่างกาย กลับมาอยู่กับแสงสว่างที่เติมเต็มตัวเอง แสงสว่างที่เป็นแกนกลางของตัวเอง แสงสว่างที่สนับสนุนตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณ รับรู้ความมั่นคง สมดุล แล้วลืมตาพาความรู้สึกตัวกลับมาที่ห้องนี้
  
Q&A


1. นึกถึงผู้หญิงคนนึง ที่สามจังหวัด ที่สามีถูกจับไปและเสียชีวิตในค่ายทหาร ตอนนั้นที่เกิดกับบิลลี่ก็รู้สึกเยอะ นึกถึงมีนอ ก็ส่งไปให้เยอะ นึกถึงความรัก การโอบกอด แสงเต็มตัวเรา แล้วส่งออกไป พอส่งออกไปแล้วรู้สึกถึงกำแพงสีน้ำตาลมืดๆ ที่แรงมาก เราส่งต่อไปไม่ไหว แสงของเราค่อยๆ ลดเหลือน้อยลง แต่เราก็ไม่หนี ค่อยๆ ส่งไปที่ละน้อยๆ สักพักรู้สึกว่ามีคนอื่นมาช่วยเรา สักครึ่งนึง มีแรงอีกเฮือกนึง ที่มาช่วย แต่สีน้ำตาลก็ยังอยู่ 50:50

- ดูเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในทางพลังงานแล้วนะ ขอบคุณที่ไม่ถอยออกมาก่อน ขอบคุณที่ยังคงอยู่ตรงนั้น


ปิดท้ายค่ำคืนนั้น ด้วยข้อความที่ David Spangler  ได้รับจากพันธมิตรอีกโลกนึงเมื่อ 2-3 ปีก่อน


“I know things may look dying from where you see the world, but I assure you appearances are deceiving. You are observing surface of things. But underneath, light is expanding. Think about the bubble. On the surface of the bubble things are under pressure and chaotic. But all of this activity  occupies just a thin level of consciousness and activity from our point of view. What is important is what is expanding in the bubble. It brings the greater light to the whole. My message is don’t be distracted. What is happening around you is real, but it is not the whole picture, not even the most important part. Deal with it as you see fit and as you must. But don’t neglect your roots down into the heart of the bubble. By doing this, you will descend yourself to the midst of the turmoil. And you will also contribute to the centering of the world and to the field that is expanding. bringing light to the life of all.”

จงเชื่อมั่นใจศักยภาพที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลง และเป็น source of light ในตัวคุณเอง

บล็อกของ วัชรสิทธา • vajrasiddha

วัชรสิทธา • vajrasiddha
พลังเยียวยาแห่งโพธิจิต
วัชรสิทธา • vajrasiddha
“ก้าวข้ามความโกรธเกลียดในใจ”กับ ไผ่ ดาวดิน
วัชรสิทธา • vajrasiddha
 เส้นทางอันศักดิ์สิทธิ์ของหัวใจที่แตกสลาย (ตอนที่ ๒)
วัชรสิทธา • vajrasiddha
Myth of the Broken Heart Warriorsทุกข์อย่างเป็นมิธ: เห็นทุกข์เป็นหนทางณัฐฬส วังวิญญู เขียนจากประสบการณ์การสอนคอร์สอบรมThe Myth of the Broken Heart19-21 กรกฎคม 2562ณ วัชรสิทธา
วัชรสิทธา • vajrasiddha
 “รู้จัก Voice Dialogue”บรรยายโดย มะเหมี่ยว วรธิดา วิทยฐานกรณ์และทีมงาน Voice Dialogue Thailandวันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม 2562 ณ วัชรสิทธาสรุปความโดย ชัยณภัทร จันทร์นาค 
วัชรสิทธา • vajrasiddha
 Public Talk: Maitri and Psychotherapyพื้นฐานการทำงานด้านจิตบำบัดด้วยไมตรีคิม โรเบิร์ตสครูสอนโยคะ นักจิตบำบัด นักเขียนอาจารย์พิเศษ Contemplative Psychology ที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ สหรัฐอเมริกา