Skip to main content

  

เขาเชื่อว่าโลกแบ่งเป็นสองขั้ว คือ โลกทางธรรมและโลกทางโลก (aka. โลกๆ) เขาเคยคิดว่าเขามั่นใจและเข้าใจ จนวันนี้ที่เขาได้ตระหนักแล้วว่า มันก็ยังเป็นเพียงแค่ "คิด" ว่าเข้าใจ หลายปีที่เขาพยายามขดตัวอยู่ในโลกทางธรรมที่เขาสร้างขึ้นจากอุดมคติของความเป็นคนสมบูรณ์แบบ เขารู้สึกถึงรสประหลาดของชีวิตที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นของความหมกมุ่น ไอเดือดของความรุ่มร้อน และผลึกอันเย็นเยือกของความด้านชา

วันนี้...เขานั่งครุ่นคิด ทบทวน กับเส้นทางอันแสนประเสริฐที่เขาเลือกเดิน

ไอคุกรุ่นเดือดดันฝากาให้กระเด็นออก เสียงหวีดร้องก้องดังอยู่ในความเงียบงัน

เขารู้สึกหนัก

ภาพของความเป็นคนดีสมบูรณ์แบบที่เขาแบกไว้เต็มสองบ่ามาตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปี

ความเงียบและความนิ่งเข้าปกคลุมอีกครั้ง ดูเหมือนเขาจะเก่งในการสร้างบรรยากาศเช่นนี้เสียจริง ทั้งที่เขารู้ดีว่า มันก็แค่กลไกของการกลบเกลื่อน

แววตาที่สงบนิ่ง ไร้อารมณ์ ไร้ชีวิตชีวา ทอดไปยังขอบฟ้าที่ถูกบดบังโดยตึกสูง

ฝนตกพรำๆ กับท่วงทำนองของการย่ำเดินไปบนขอบถนนสายหนึ่ง เขามาถึงแล้ว...

เด็กสาวผิวขาวสวยยืนรอรับตั้งแต่หน้าประตู ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความลังเลสับสน จังหวะหัวใจที่เต้นไม่เป็นระสาย ขาของเขาสั่นอายปราศจากแรงก้าว  

 "ที่อโคจร" ความคิดแรกเข้ามาเยือนในหัว สมกับความเก่งกาจใน "วิชาธรรมะ" ที่เขาทำเป็นอาชีพ เขาเตรียมจะเอาหลักธรรมมาสร้างภาพอารยธรรมของความสงบนิ่งอีกครั้ง ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมา การกดทับและความพยายามตัดไฟปรารถนาไม่ได้ช่วยให้เขาได้เข้าใจความเป็นอนิจจังของพลังอันเร่าร้อนที่ลุกโหมในใจเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ครั้งนี้เขาได้บอกตัวเองแล้วว่า "เขาจะไม่หนี"

ในที่สุดสองเท้าก็พาเขาก้าวผ่านบานประตูกระจกใส แววตาของเขาเป็นประกายในแว้บแรกที่เห็นร่างสะโอดสะองของเด็กสาววัยยี่สิบเศษ ยืนเรียงต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม   

"สำรวม" สัญชาตญาณความคิดทางธรรมอัตโนมัติได้สั่งการให้เขาละสายตาและก้มหน้าดุ่มเดินผ่านผู้คนไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีเขาก็มาหยุดอยู่ที่มุมสงบบริเวณบาร์เหล้า หญิงสาวในชุดซีทรูกับเนินปทุมถันที่ดึงดูดส่งยิ้มให้เขา "สั่งเหล้าอะไรดีคะพี่"

"ผมไม่ดื่มสุรา" ธรรมวาจาอัตโนมัติเปล่งออกไป ความคิดเสียดายที่เขาน่าจะสั่งเหล้าสักแก้วมาย้อมใจก็ผุดพรายขึ้น เขาจึงงัดกลวิธีการตัดความคิดออกมา แล้วพาตัวเองกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง เขาก้มหน้า ควานหาที่หลบภัยจากโลกอกุศล ตัวของเขาเกร็ง ขาของเขาแข็ง

"ผู้หญิงไม่ดีพวกนี้..." เขาหยุดตัวเองไว้เพียงต้นประโยค เพราะรู้สึกละอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ 

เพียงเพื่อหาภาพลักษณ์ดูดีเป็นที่ซ่อน เขาจำเป็นต้องหยิบมีดสั้นแห่งการตัดสินออกมาเชือดเฉือนคุณค่าความเป็นคนของคนอื่นอย่างไม่มีชิ้นดี...อีกแล้วสินะ

เขาถอนหายใจ พลางจิบสุราเจือโซดา เริ่มรู้สึกผ่อนคลายกับความไม่สมบูรณ์แบบของตนเองมากขึ้น

......

กลิ่นน้ำหอมที่เย้ายวน การยักย้ายส่ายไหวที่ดึงดูด เสียงดนตรีที่ปลุกไฟปรารถนาให้โชติช่วง และสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้ในค่ำคืนพิเศษคืนนี้  สิ่งที่กระแทกใจ สะท้านทุกความเคลื่อนไหวทางความคิด มันคือ พื้นที่อันกว้างใหญ่ไร้การตัดสิน พื้นที่ที่รองรับให้ทุกสิ่งสามารถแสดงสีสันที่มันเป็นได้อย่างไม่ขวยเขิน

ประตูกระจกใสเปิดสู่โลกการรับรู้ภายในที่เต็มเปี่ยม รสสุราช่างหอมหวาน ส่งผ่านความนุ่มละมุนแห่งความรัก หญิงสาวกับรอยยิ้มแห่งความเบิกบานร่ายรำบนฟลอร์แห่งความไว้วางใจชีวิต ชีวิตที่รุ่มรวยไปด้วยเรื่องราวและสายสัมพันธ์อันหมิ่นเหม่

อิสรภาพจากคุกคุมขังแห่งการตัดสิน

เขารู้สึกราวกับว่า เส้นทางแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณของเขาได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

โลกทางธรรมผ่อนคลายขยายกว้าง

เปิดมณฑลแห่งการรับรู้อย่างไม่มีเงื่อนไข ที่หลอมรวมเรื่องโลกๆเอาไว้ ด้วยใจที่อ่อนโยนเป็นมิตร   

* * * * * * * * *

บล็อกของ วิจักขณ์ พานิช

วิจักขณ์ พานิช
เมื่ออาทิตย์ก่อนเอแบ็คโพลได้รายงานผลสำรวจ ๑๐ อันดับแรกของแนวทางลดความเครียด (ของคนกรุงเทพ) ในสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมือง  “อันดับแรก คือพยายามไม่ยึดติดกับกลุ่มการเมืองใดๆ อันดับสอง ปล่อยวาง ยอมรับสภาพความเป็นจริง อันดับสาม หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง อันดับที่สี่ ลด-งดพูดคุยเรื่องการเมืองกับคนอื่น และอันดับที่ห้า ลด งดติดตามข่าวสารทางการเมืองทางสื่อต่างๆ ส่วนรองๆ ลงไปคือ ติดตามรายการบันเทิงคลายเครียดให้มากขึ้น พูดคุยปรึกษาปัญหาความเครียดกับคนในครอบครัว คนใกล้ชิด หาที่พึ่งทางศาสนา ฝึกสมาธิ และเลือกติดตามข่าวสารเฉพาะสื่อที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตนเอง” (ที่มา: นสพ.ไทยรัฐ ๗ มีนาคม ๒๕๕๓)
วิจักขณ์ พานิช
 โดยแก่นสาระของการฝึกสมาธิภาวนานั้นไม่มีอะไรมากมาย ขอเพียงผู้ฝึกมีความซื่อตรงและมั่นคงกับประสบการณ์การฝึกของตัวเอง อย่างที่เรียกว่า เรียลลิสติค (realistic) คือ ภาวนาเพื่อการขัดเกลาจิตใจตนเองจริงๆ ไม่ได้มาภาวนาเพื่อได้นั่นได้นี่ เห็นนั่นเห็นนี่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะหากความทะเยอทะยานยังติดเนื้อติดตัวเรามา การภาวนาก็จะเป็นไปในทิศทางของความทะเยอทะยานนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า "ภาวนา" เป็นคำกลางๆ ที่บ่งบอกถึงการเรียนรู้ใจตน ซึ่งในทางปฏิบัติก็จะแตกต่างกันไปตามอารมณ์ของผู้ฝึก  บ้างก็อาจจะมาด้วยอารมณ์หวังผล อารมณ์บรรลุเป้าหมาย อารมณ์อยากได้ความสงบ อยากมีความสุข …
วิจักขณ์ พานิช
เวลาผมไม่สบายใจ ผมมักจะแวะไปเจอเพื่อนสนิท กินข้าว กินเหล้า นั่งคุยกันไปเรื่อย แบบไม่มีจุดหมาย เพียงปล่อยให้ความไว้วางใจที่เพื่อนแท้มีให้แก่กัน ก็พอจะช่วยเยียวยาความคับข้องภายในให้คลี่คลายไปได้ แต่ผมยอมรับว่าในบางครั้ง เวลาที่ผมเจอเรื่องหนักๆ ผมมักจะมองหาเพื่อนที่มีความอาวุโสมากกว่าผม ใครสักคนที่ผมสามารถเคารพเขาได้อย่างสุดจิตสุดใจ เป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมรับฟังเด็กหัวแข็งอย่างผมที่ไม่ค่อยจะรู้จักความหมายของคำว่ากาลเทศะ สัมมาคารวะ หรือทักษะการประจบประแจงใดๆ ก็เรามีเพียงใจเปล่าๆที่อยากที่จะเข้าไปหา รับฟัง แลกเปลี่ยน ด้วยความบริสุทธิ์ใจที่ไม่ดัดจริตซับซ้อน ผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน…
วิจักขณ์ พานิช
คุณรู้ไหม...เขาว่ากันว่าโลกร้อนน้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายน้ำกำลังจะท่วมกรุงเทพฯ ...
วิจักขณ์ พานิช
 เขาเชื่อว่าโลกแบ่งเป็นสองขั้ว คือ โลกทางธรรมและโลกทางโลก (aka. โลกๆ) เขาเคยคิดว่าเขามั่นใจและเข้าใจ จนวันนี้ที่เขาได้ตระหนักแล้วว่า มันก็ยังเป็นเพียงแค่ "คิด" ว่าเข้าใจ หลายปีที่เขาพยายามขดตัวอยู่ในโลกทางธรรมที่เขาสร้างขึ้นจากอุดมคติของความเป็นคนสมบูรณ์แบบ เขารู้สึกถึงรสประหลาดของชีวิตที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นของความหมกมุ่น ไอเดือดของความรุ่มร้อน และผลึกอันเย็นเยือกของความด้านชา วันนี้...เขานั่งครุ่นคิด ทบทวน กับเส้นทางอันแสนประเสริฐที่เขาเลือกเดินไอคุกรุ่นเดือดดันฝากาให้กระเด็นออก เสียงหวีดร้องก้องดังอยู่ในความเงียบงัน…
วิจักขณ์ พานิช
เรจินัลด์ เรย์ เขียน วิจักขณ์ พานิช ถักทอและร้อยเรียงเชอเกียม ตรุงปะ เคยกล่าวไว้ว่า “หากคุณสามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางทางจิตวิญญาณได้ คุณก็ควรจะทำเสีย” การฝึกฝนทางจิตวิญญาณที่เข้มข้นจะนำพาคุณไปยังสถานที่ที่ซึ่งอัตตาของคุณถูกสั่นคลอนและถอนรากอย่างถึงที่สุด ราวกับกำลังถูกท้าทายด้วยเพลิงไฟแห่งการตื่นรู้ ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณได้ย่างก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน เรากำลังพูดถึงคุณค่าทางจิตวิญญาณที่แท้ หาใช่ความเป็นศาสนาที่ฉาบฉวยหรือการโหยหาความสุขสงบด้วยการภาวนาวันละนิดวันละหน่อย เรากำลังพูดถึงการอุทิศตนบนธรรมแห่งการตื่นรู้ในทุกลมหายใจเข้าออก
วิจักขณ์ พานิช
การที่คนคนหนึ่งจะอุทิศชีวิตเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝนตนเองอย่างมุ่งมั่น พลังแห่งศรัทธานั้นมักจะเกิดขึ้นด้วย “จุดเปลี่ยน” อันเป็นช่วงชีวิตที่เขาได้มองเห็นความเป็นจริงในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ความจริงที่แตกต่างออกไปจากแบบแผนหรือความเชื่อที่ผู้คนในสังคมบอกให้ทำตามๆกันมา จุดเปลี่ยนได้นำมาซึ่งแรงดลใจ ความมุ่งมั่น และศรัทธา บ่มเพาะเป็นความกล้าที่จะ “เอาชีวิตเข้าแลก” จนเส้นทางชีวิตของเขาได้ปรากฏเป็นประจักษ์พยานในตัวของมันเอง ชีวิตหนึ่งที่ทำผู้คนรอบข้างได้ตระหนักว่า สิ่งที่ดูจะเป็นไปไม่ได้สามารถเป็นไปได้ พลังแห่งศรัทธาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะภายใต้ความยิ่งใหญ่ย่อมแฝงไว้ด้วย “ทิฐิ”…
วิจักขณ์ พานิช
ผมกลับเมืองไทยมาได้หนึ่งเดือนแล้วครับ หนนี้ถือเป็นการกลับอย่างถาวร คือ ตั้งใจจะกลับมาทำประโยชน์ที่เมืองไทย หยั่งรากและเติบโตบนผืนดินผืนนี้จริงๆ ตั้งแต่กลับมาวันแรกจนถึงวันนี้ ก็ได้ผ่านอุปสรรคทั้งภายนอกและภายในไปนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางและหมิ่นเหม่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้ในช่วงเวลาที่การเดินทางด้านในโอนเอนแทบจะเอาตัวไม่รอดในหลายต่อหลายครั้ง  การเดินทางด้านนอกก็ยังคงดำเนินกันต่อไปตามครรลอง ผมได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยพบปะกับผู้คนในแวดวงการศึกษามากมาย ทั้งกับคนที่เคยได้อ่านงานเขียนของผม หรือกับกัลยาณมิตรที่รู้จักมักจี่กันเป็นการส่วนตัว ผมก็ยังเป็นผม…