ผมเข้าไปพบอาจารย์สุลักษณ์ที่บ้านพักในซอยสันติภาพเกือบทุกเดือน แม้จะไม่เรียกได้ว่าบ่อยนัก แต่อาจารย์คือผู้ใหญ่ที่ผมสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง ผมไม่รู้สึกว่าการเข้าไปหาอาจารย์ที่บ้าน จะต้องมีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกันเป็นพิเศษ แค่ผมได้เห็นหน้าอาจารย์ และมีเวลานั่งอยู่ด้วยกันสักสองสามชั่วโมง ผมก็รู้สึกสดชื่น และมีกำลังใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
พุธนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา อาจารย์ยังคงมีสุขภาพที่แข็งแรงแม้อายุอานามจะล่วงเข้าไปถึง ๗๖ ปีแล้ว ใบหน้าที่เปล่งปลั่ง ไม่มีริ้วรอยของความตึงเครียดหรือความกังวลใจใดๆ แม้จะยังคงมีแมลงหวี่จากกองคดีงี่เง่าทั้งหลายวนเวียนอยู่บ้าง อย่างที่เราคงพอรู้กัน
.............................
ช่วงที่ผ่านมาผมเห็นอิทธิพลที่ความคิดมีต่อสุขภาพของคนเรามาก นักคิด นักเขียน นักวิชาการ นักต่อสู้ ที่ทำงานกับความคิดมากๆ มักจะมีปัญหาทางร่างกายแทบจะทุกคน มีเพียงอาจารย์สุลักษณ์ที่ออกจะอยู่ในข้อยกเว้นบางประการ ผมนึกสงสัยจึงถามอาจารย์ว่า อาจารย์ดูแลตัวเองอย่างไร อาจารย์ถึงสามารถที่จะคิดชัด ไม่ฟุ้งซ่าน แถมความคิดยังไม่มีอิทธิพลในทางลบต่อสุขภาพของอาจารย์อีกด้วย
อาจารย์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
"ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับความคิดมากนัก"
คำตอบนี้ทำให้ผมเหวอ จะเป็นไปได้หรือ ที่ปัญญาชนสยาม นักคิดนักเขียนที่มีผลงานนับไม่ถ้วนอย่าง ส.ศิวรักษ์ จะ "ไม่ให้ความสำคัญกับความคิดมากนัก"
อาจารย์อธิบายว่า สมัยหนุ่มๆ ตอนที่ไปเรียนที่อังกฤษ จะมีติวเตอร์คนหนึ่งที่ใกล้ชิดกันมาก ชื่อว่า ครูนิวท์ ครูนิวท์ทำหน้าที่คอยดูแลแกอย่างใกล้ชิด ตักเตือน และเอาใจใส่ อีกทั้งระบบการเรียนการสอนในอังกฤษ ที่ไม่ได้แยกสาขาวิชาทางศิลปศาสตร์อย่างชัดเจนเหมือนในสมัยนี้ คือ เราเรียนทั้งปรัชญา วรรณคดี และประวัติศาสตร์ ไปพร้อมกัน ทำให้เราได้ตระหนักอยู่เสมอว่า ความคิดไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต
สุขภาพของอาจารย์ไม่เคยรวนเพราะความคิด อาจารย์บอกว่า อาจเป็นเพราะอาจารย์ไม่ได้เป็นคนฉลาด หรือ เก่งสุดๆ ตอนนั้นมีลูกพี่ลูกน้องที่ไปเรียนอังกฤษด้วยกัน เป็นบ้าเพราะเรียนมากไป อาจารย์เองก็รู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน แต่ครูนิวท์บอกว่า "เธอไม่ต้องกลัวหรอก ขี้เกียจอย่างเธอไม่บ้าแน่นอน" การที่มีกัลยาณมิตรคอยตักเตือนให้เราอยู่บนวิถีแห่งดุลยภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
ยังไม่จบแค่นั้น อาจารย์ยังเน้นในตอนท้ายอีกว่า
"คิดมากทำให้โง่"
เมื่อเรามัวแต่คิดวนไปวนมา คิดจนเข้าใจ สุดท้ายก็ทำให้เราคิดไปว่าเราฉลาด แต่จริงๆนั่นกลับทำให้เรายิ่งโง่ และกลัวที่จะเรียนรู้กับประสบการณ์จริงของชีวิต อาจารย์บอกว่าหากเรารู้ชัดว่าเราชอบอะไร ต้องการอะไร ก็ให้ทำไป ทุกอย่างถือเป็นประสบการณ์ของการเรียนรู้ นั่นคือการฝึกการดำเนินชีวิตตามหลักอิทธิบาท ๔ คือ การทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจแบบพอดีๆ
"เริ่มด้วยฉันทะ หรือความพอใจกับสิ่งที่เราเป็น และสิ่งที่เราทำ เมื่อเรามีความพอใจเราก็จะมีวิริยะ หรือความเพียรที่จะทำมันไปเรื่อยๆ เป็นความเพียรที่ไม่ทะเยอทะยานและก้าวร้าว ขณะเดียวกันก็มี "จิตตะ" มาประคอง เป็นด้านของหัวใจที่รับรู้ ว่าเอ๊ะมันมากเกินไปหรือเปล่า จากนั้นก็มี "วิมังสา" เป็นการพิจารณาดูผลที่เกิดขึ้นและคำตักเตือนอย่างรอบคอบ ผมว่าหลักอิทธิบาท ๔ จะช่วยมากให้เราไม่จมอยู่กับความคิดจนเป็นทาสของมัน"
อาจารย์สุลักษณ์เป็นผู้มีความรู้ในปรัชญาตะวันตกและตะวันออกอย่างลึกซึ้ง การศึกษาปรัชญาตะวันตกของอาจารย์อยู่บนความเข้าใจที่ว่า นักปราชญ์ไม่ใช่เป็นผู้ที่ผูกตัวเองไว้ในโลกของความคิดเพียงอย่างเดียว ผู้รู้อย่างโสกราตีส หากเราศึกษาให้ลึกก็จะรู้ว่า ในความชัดเจนทางความคิด ชีวิตของเขาดำเนินอยู่บนรากฐานทางจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้ง น่าเสียดายที่ปรัชญาตะวันตกในยุคหลังได้โยนมิติทางด้านจิตวิญญาณทิ้งไปจนหมด ตั้งแต่ยุคสมัยของการปฏิเสธอิทธิพลความเชื่อและอำนาจของศาสนาจักร จนนำไปสู่ภาวะสุดโต่งที่ว่า ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนาเป็นเรื่องผลประโยชน์ ความงมงายและเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการเข้าถึงความจริงทางปัญญา อย่างที่เรียกว่า "Throwing the baby with the bathtub" คือ จะแกะเอากระพี้ทิ้งไป ดันทิ้งแก่นสาระที่มีคุณค่าสูงสุดไปด้วย
ส่วนอีกด้าน การที่เราได้เติบโตมาในวิถีวัฒนธรรมแบบตะวันออก ถือเป็นต้นทุนทางชีวิตที่รุ่มรวย ทำให้เราได้เห็นคุณค่าของจิตใจที่แทรกซึมอยู่ในรายละเอียดเล็กๆของวิถีชีวิต การฝึกคิดให้เป็นย่อมช่วยให้เกิดพลังความแจ่มชัดของการดำเนินชีวิตของตน ไม่สับสนไปกับโลกธรรม ความเชื่อ ความคาดหวัง ความกลัว หรือความสับสนของชุมชนหรือผู้คนรอบข้าง เมื่อหลอมรวมกับการเปิดกว้างยอมรับความแตกต่างจากภายใน ก็จะบรรสานให้การดำเนินชีวิตสอดคล้องและสมดุลอย่างเป็นธรรมชาติ
นั่นคือวิธีคิดแบบ ส.ศิวรักษ์ คนรู้จักคิด ที่ไม่เคยตกเป็นทาสของความคิด กับมิตรภาพและรอยยิ้มที่มีให้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกชาติพันธุ์ ทุกชนชั้นวรรณะ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่จ้องอาฆาตมาดร้ายต่อเขา เป็นเคล็ดลับการมีสุขภาพดีของคุณปู่ผู้น่ากราบไหว้ มอบไว้เป็นของขวัญปีใหม่จีนและไทย ให้ลูกหลานได้ลองนำไปปฏิบัติ