Skip to main content

เรจินัลด์ เรย์ เขียน
วิจักขณ์ พานิช ถักทอและร้อยเรียง

20080319 ภาพประกอบ

เชอเกียม ตรุงปะ เคยกล่าวไว้ว่า “หากคุณสามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางทางจิตวิญญาณได้ คุณก็ควรจะทำเสีย” การฝึกฝนทางจิตวิญญาณที่เข้มข้นจะนำพาคุณไปยังสถานที่ที่ซึ่งอัตตาของคุณถูกสั่นคลอนและถอนรากอย่างถึงที่สุด ราวกับกำลังถูกท้าทายด้วยเพลิงไฟแห่งการตื่นรู้ ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณได้ย่างก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน เรากำลังพูดถึงคุณค่าทางจิตวิญญาณที่แท้ หาใช่ความเป็นศาสนาที่ฉาบฉวยหรือการโหยหาความสุขสงบด้วยการภาวนาวันละนิดวันละหน่อย เรากำลังพูดถึงการอุทิศตนบนธรรมแห่งการตื่นรู้ในทุกลมหายใจเข้าออก

ยิ่งผู้ปฏิบัติสามารถเข้าไปสัมผัสกับพื้นที่ภายในอันเปิดกว้างและว่างจากข้อจำกัดทางความคิดอันเป็นพลังพื้นฐานแห่งการตื่นรู้อันไพศาล เมื่อนั้นพลังชีวิตที่สดใหม่ก็จะงอกงามขึ้นตามธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะพลังเหล่านั้นจะฉีกชีวิตที่คับแคบของคุณเป็นชิ้นๆ  ยิ่งประสบการณ์แห่งความว่างลุ่มลึกมากขึ้นเพียงไร พลังชีวิตที่สดใหม่ก็จะปรากฏให้เราสัมผัสได้อย่างตรงไปตรงมามากขึ้น มันเหมือนกับเราหลุดเข้าไปอยู่ในเพลิงไฟอันร้อนแรงอย่างไม่มีทางเลือก และมันกำลังเผาผลาญการยึดมั่นทางความคิดทั้งหลายจนหมดสิ้น หลงเหลือเพียงพลังแห่งประสบการณ์ตรงอันเปลือยเปล่าในทุกปัจจุบันขณะ

การภาวนาเป็นการฝึกฝนที่ต้องเอาชีวิตเข้าแลก มันเป็นเรื่องที่เสี่ยงและอันตรายมาก เราจะพบกับผู้คนมากมายที่เคยฝึกฝนตนเองอย่างมอบกายถวายชีวิต จนถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็สารภาพว่า “พอกันที...ฉันไม่อยากที่จะฝึกมันอีกต่อไปแล้ว” เพราะหากพวกเขายังฝึกไปอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงภายในจะเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น จนเขาจะกลายเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง พวกเขาต้องยอมตายและเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยการยอมศิโรราบให้กับพลังชีวิตที่โชดช่วงจากการปฏิบัติ

ในแง่มุมนั้น จะเห็นได้ว่าเราต่างใช้ชีวิตที่คับแคบอยู่ในโครงสร้างสังคมที่แข็งทื่อ เต็มไปด้วยกฏกรอบ และข้อจำกัดมากมาย แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับผู้คนที่ฝึกฝนตนเองจนบรรลุสู่พลังแห่งการรู้แจ้งในขั้นนั้น มันไม่ง่ายเลยจริงๆ...ไม่ใช่ว่าคุณฝึกเทคนิคเหล่านั้นไป แล้วจะสามารถกลับออกไปใช้ชีวิตหลับใหลในแบบเดิมๆตามปกติได้ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะในแง่มุมหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าการภาวนาจะทำลายชีวิตของคุณอย่างไม่เหลือชิ้นดี หากคุณฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และให้คุณค่ากับการภาวนาในฐานะพื้นฐานของการดำเนินชีวิตประจำวัน วันหนึ่งคุณจะพบว่าคุณไม่ใช่คนคนเดิมอย่างที่เคยเป็นเมื่อสิบปีก่อน การปฏิบัติเหล่านี้ได้เขย่าชีวิตของคุณอย่างถึงราก และแสดงให้คุณเห็นถึงจุดที่คุณกล้าและกลัวไปพร้อมๆ กัน แม้คุณจะปฏิบัติมามากเพียงไร คุณก็ยังเห็นแนวโน้มของการพยายามจะใช้เทคนิคหรือภาพลักษณ์ทางจิตวิญญาณ ในฐานะหนทางที่จะควบคุมชีวิต โดยยึดเอาแต่สิ่งที่คุณคิดว่าดีหรือสูงส่งเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งอัตตาทางจิตวิญญาณเช่นนั้นจำเป็นต้องถูกท้าทายด้วยการกลับมาดำเนินชีวิต ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่น

ยิ่งคุณกล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างเปลือยเปล่ามากขึ้นเท่าไร คุณก็สามารถสัมผัสได้ถึงความไม่แน่นอนของชีวิตและความตาย อันเป็นฉากหลังของการดำเนินชีวิตในทุกขณะ คุณไม่มีบ้านให้กลับไปพักพิงเหมือนเก่า ประสบการณ์ชีวิตในทุกขณะได้เชื้อเชิญให้คุณก้าวออกมาสู่หนทางแห่งการตื่นรู้ เผชิญอุปสรรคทั้งภายในและภายนอกที่ท้าทายตัวตนของคุณยิ่งขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าคุณมีใจที่เปิดกว้างต่อธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิต ไม่ว่ามันจะสวยงามหรือน่าหวาดกลัวเพียงไร ในขณะเดียวกันคุณได้กลายเป็นคนเดินดินธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เข้มแข็งและกล้าหาญ อีกทั้งหัวใจยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในทุกรูปแบบ คุณเลิกเกาะเกี่ยวเสาหลักทางความเชื่อ และความคาดหวังทั้งหลาย สู่การดำเนินชีวิตจากความเต็มเปี่ยมภายในด้วยหัวใจที่ตื่นรู้ ทุกปัจจุบันขณะคือก้าวเดินของการเอาชีวิตเข้าแลก พร้อมให้เพลิงไฟแห่งชีวิต เผาไหม้อัตตาตัวตนจนไม่เหลือซาก ทิ้งไว้เพียงพื้นที่ว่างของหัวใจ เป็นฐานให้แก่พลังแห่งการตื่นรู้ภายในได้เลื่อนไหลและปรากฏ 


ข่าวฝากประชาสัมพันธ์
 “สัมผัสแห่งการตื่นรู้”
กระบวนทัศน์ใหม่ในวิถีการภาวนา
โดย วิจักขณ์ พานิช
๑๑ - ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑
ณ สวนโมกข์นานาชาติ  อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

“สัมผัสแห่งการตื่นรู้” เป็นพื้นที่การฝึกภาวนาแบบเข้มข้น สำหรับกัลยาณมิตรในแวดวงจิตตปัญญาศึกษา พุทธศาสนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม และบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจในเรื่องของการเรียนรู้ด้านใน ให้ได้มาพบปะพูดคุยและภาวนาร่วมกัน กิจกรรมจะประกอบด้วยการนั่งสมาธิภาวนาและเทคนิคที่หลากหลายเพื่อการเข้าไปสัมผัสพลังแห่งการตื่นรู้ในกาย สลับกับการนำเสนอแนวทางการปฏิบัติและความเข้าใจพื้นฐานโดยวิทยากร และการถามตอบคำถาม พูดคุย และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติของผู้เข้าร่วม  ด้วยภาษาในชีวิตประจำวันที่เข้าใจได้ง่าย

ใน “สัมผัสแห่งการตื่นรู้” วิทยากรจะผสมผสานคุณค่าของการภาวนาที่ที่ฝึกฝนกันในสายการปฏิบัติทั้งในสายเถรวาท มหายาน และวัชรยาน จากประสบการณ์ตรงของวิทยากร เพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการภาวนาในฐานะการเดินทางทางจิตวิญญาณ และพื้นฐานแห่งการตื่นรู้ของชีวิต

สนใจติดต่อรับใบสมัครและสำรองการเข้าร่วมได้ที่ shambhala04@gmail.com

บล็อกของ วิจักขณ์ พานิช

วิจักขณ์ พานิช
เมื่ออาทิตย์ก่อนเอแบ็คโพลได้รายงานผลสำรวจ ๑๐ อันดับแรกของแนวทางลดความเครียด (ของคนกรุงเทพ) ในสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมือง  “อันดับแรก คือพยายามไม่ยึดติดกับกลุ่มการเมืองใดๆ อันดับสอง ปล่อยวาง ยอมรับสภาพความเป็นจริง อันดับสาม หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง อันดับที่สี่ ลด-งดพูดคุยเรื่องการเมืองกับคนอื่น และอันดับที่ห้า ลด งดติดตามข่าวสารทางการเมืองทางสื่อต่างๆ ส่วนรองๆ ลงไปคือ ติดตามรายการบันเทิงคลายเครียดให้มากขึ้น พูดคุยปรึกษาปัญหาความเครียดกับคนในครอบครัว คนใกล้ชิด หาที่พึ่งทางศาสนา ฝึกสมาธิ และเลือกติดตามข่าวสารเฉพาะสื่อที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตนเอง” (ที่มา: นสพ.ไทยรัฐ ๗ มีนาคม ๒๕๕๓)
วิจักขณ์ พานิช
 โดยแก่นสาระของการฝึกสมาธิภาวนานั้นไม่มีอะไรมากมาย ขอเพียงผู้ฝึกมีความซื่อตรงและมั่นคงกับประสบการณ์การฝึกของตัวเอง อย่างที่เรียกว่า เรียลลิสติค (realistic) คือ ภาวนาเพื่อการขัดเกลาจิตใจตนเองจริงๆ ไม่ได้มาภาวนาเพื่อได้นั่นได้นี่ เห็นนั่นเห็นนี่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะหากความทะเยอทะยานยังติดเนื้อติดตัวเรามา การภาวนาก็จะเป็นไปในทิศทางของความทะเยอทะยานนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า "ภาวนา" เป็นคำกลางๆ ที่บ่งบอกถึงการเรียนรู้ใจตน ซึ่งในทางปฏิบัติก็จะแตกต่างกันไปตามอารมณ์ของผู้ฝึก  บ้างก็อาจจะมาด้วยอารมณ์หวังผล อารมณ์บรรลุเป้าหมาย อารมณ์อยากได้ความสงบ อยากมีความสุข …
วิจักขณ์ พานิช
เวลาผมไม่สบายใจ ผมมักจะแวะไปเจอเพื่อนสนิท กินข้าว กินเหล้า นั่งคุยกันไปเรื่อย แบบไม่มีจุดหมาย เพียงปล่อยให้ความไว้วางใจที่เพื่อนแท้มีให้แก่กัน ก็พอจะช่วยเยียวยาความคับข้องภายในให้คลี่คลายไปได้ แต่ผมยอมรับว่าในบางครั้ง เวลาที่ผมเจอเรื่องหนักๆ ผมมักจะมองหาเพื่อนที่มีความอาวุโสมากกว่าผม ใครสักคนที่ผมสามารถเคารพเขาได้อย่างสุดจิตสุดใจ เป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมรับฟังเด็กหัวแข็งอย่างผมที่ไม่ค่อยจะรู้จักความหมายของคำว่ากาลเทศะ สัมมาคารวะ หรือทักษะการประจบประแจงใดๆ ก็เรามีเพียงใจเปล่าๆที่อยากที่จะเข้าไปหา รับฟัง แลกเปลี่ยน ด้วยความบริสุทธิ์ใจที่ไม่ดัดจริตซับซ้อน ผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน…
วิจักขณ์ พานิช
คุณรู้ไหม...เขาว่ากันว่าโลกร้อนน้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายน้ำกำลังจะท่วมกรุงเทพฯ ...
วิจักขณ์ พานิช
 เขาเชื่อว่าโลกแบ่งเป็นสองขั้ว คือ โลกทางธรรมและโลกทางโลก (aka. โลกๆ) เขาเคยคิดว่าเขามั่นใจและเข้าใจ จนวันนี้ที่เขาได้ตระหนักแล้วว่า มันก็ยังเป็นเพียงแค่ "คิด" ว่าเข้าใจ หลายปีที่เขาพยายามขดตัวอยู่ในโลกทางธรรมที่เขาสร้างขึ้นจากอุดมคติของความเป็นคนสมบูรณ์แบบ เขารู้สึกถึงรสประหลาดของชีวิตที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นของความหมกมุ่น ไอเดือดของความรุ่มร้อน และผลึกอันเย็นเยือกของความด้านชา วันนี้...เขานั่งครุ่นคิด ทบทวน กับเส้นทางอันแสนประเสริฐที่เขาเลือกเดินไอคุกรุ่นเดือดดันฝากาให้กระเด็นออก เสียงหวีดร้องก้องดังอยู่ในความเงียบงัน…
วิจักขณ์ พานิช
เรจินัลด์ เรย์ เขียน วิจักขณ์ พานิช ถักทอและร้อยเรียงเชอเกียม ตรุงปะ เคยกล่าวไว้ว่า “หากคุณสามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางทางจิตวิญญาณได้ คุณก็ควรจะทำเสีย” การฝึกฝนทางจิตวิญญาณที่เข้มข้นจะนำพาคุณไปยังสถานที่ที่ซึ่งอัตตาของคุณถูกสั่นคลอนและถอนรากอย่างถึงที่สุด ราวกับกำลังถูกท้าทายด้วยเพลิงไฟแห่งการตื่นรู้ ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณได้ย่างก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน เรากำลังพูดถึงคุณค่าทางจิตวิญญาณที่แท้ หาใช่ความเป็นศาสนาที่ฉาบฉวยหรือการโหยหาความสุขสงบด้วยการภาวนาวันละนิดวันละหน่อย เรากำลังพูดถึงการอุทิศตนบนธรรมแห่งการตื่นรู้ในทุกลมหายใจเข้าออก
วิจักขณ์ พานิช
การที่คนคนหนึ่งจะอุทิศชีวิตเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝนตนเองอย่างมุ่งมั่น พลังแห่งศรัทธานั้นมักจะเกิดขึ้นด้วย “จุดเปลี่ยน” อันเป็นช่วงชีวิตที่เขาได้มองเห็นความเป็นจริงในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ความจริงที่แตกต่างออกไปจากแบบแผนหรือความเชื่อที่ผู้คนในสังคมบอกให้ทำตามๆกันมา จุดเปลี่ยนได้นำมาซึ่งแรงดลใจ ความมุ่งมั่น และศรัทธา บ่มเพาะเป็นความกล้าที่จะ “เอาชีวิตเข้าแลก” จนเส้นทางชีวิตของเขาได้ปรากฏเป็นประจักษ์พยานในตัวของมันเอง ชีวิตหนึ่งที่ทำผู้คนรอบข้างได้ตระหนักว่า สิ่งที่ดูจะเป็นไปไม่ได้สามารถเป็นไปได้ พลังแห่งศรัทธาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะภายใต้ความยิ่งใหญ่ย่อมแฝงไว้ด้วย “ทิฐิ”…
วิจักขณ์ พานิช
ผมกลับเมืองไทยมาได้หนึ่งเดือนแล้วครับ หนนี้ถือเป็นการกลับอย่างถาวร คือ ตั้งใจจะกลับมาทำประโยชน์ที่เมืองไทย หยั่งรากและเติบโตบนผืนดินผืนนี้จริงๆ ตั้งแต่กลับมาวันแรกจนถึงวันนี้ ก็ได้ผ่านอุปสรรคทั้งภายนอกและภายในไปนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางและหมิ่นเหม่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้ในช่วงเวลาที่การเดินทางด้านในโอนเอนแทบจะเอาตัวไม่รอดในหลายต่อหลายครั้ง  การเดินทางด้านนอกก็ยังคงดำเนินกันต่อไปตามครรลอง ผมได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยพบปะกับผู้คนในแวดวงการศึกษามากมาย ทั้งกับคนที่เคยได้อ่านงานเขียนของผม หรือกับกัลยาณมิตรที่รู้จักมักจี่กันเป็นการส่วนตัว ผมก็ยังเป็นผม…