กระบวนทัศน์กับการภาวนา

25 February, 2009 - 00:00 -- vichak

  

โดยแก่นสาระของการฝึกสมาธิภาวนานั้นไม่มีอะไรมากมาย ขอเพียงผู้ฝึกมีความซื่อตรงและมั่นคงกับประสบการณ์การฝึกของตัวเอง อย่างที่เรียกว่า เรียลลิสติค (realistic) คือ ภาวนาเพื่อการขัดเกลาจิตใจตนเองจริงๆ ไม่ได้มาภาวนาเพื่อได้นั่นได้นี่ เห็นนั่นเห็นนี่

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะหากความทะเยอทะยานยังติดเนื้อติดตัวเรามา การภาวนาก็จะเป็นไปในทิศทางของความทะเยอทะยานนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า
"ภาวนา" เป็นคำกลางๆ ที่บ่งบอกถึงการเรียนรู้ใจตน ซึ่งในทางปฏิบัติก็จะแตกต่างกันไปตามอารมณ์ของผู้ฝึก  บ้างก็อาจจะมาด้วยอารมณ์หวังผล อารมณ์บรรลุเป้าหมาย อารมณ์อยากได้ความสงบ อยากมีความสุข  ยากที่จะหาผู้ที่มาภาวนาเพื่อภาวนา เรียนเพื่อเรียน เปิดใจรับฟังประสบการณ์อย่างปราศจากสัมภาระ อคติ ความคิด ความคาดหวังได้อย่างแท้จริง

อารมณ์ที่ติดตัวผู้ฝึกมา ส่งผลต่อบรรยากาศการฝึกและวิถีการปฏิบัติของเขาผู้นั้นในทุกๆ ลมหายใจเข้าออก และแน่นอนว่าย่อมมีผลโดยตรงต่อประสบการณ์ด้านในที่จะตามมาด้วย  ส่วนใหญ่อารมณ์เหล่านี้มักจะถูกขับเคลื่อนด้วยแก่นความเชื่อ (core belief) บางอย่าง   ตัวแก่นความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องน่าอายและน่ารังเกียจ ขอแค่ไม่มัวเมาติดดี ติดเพอร์เฟ็คกันอยู่ เพียงแค่ยอมรับและทำความรู้จักกับแก่นความเชื่อเหล่านี้ที่มีอยู่ในตัวเราอย่างซื่อตรง ก็จะทำให้บรรยากาศของการฝึกมีการคลี่คลายและถ่ายเท เกิดเป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ด้านในที่ขยายกว้างออกไปได้

ตัวแก่นความเชื่อที่มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียว หรืออารมณ์เดียวกันด้วยความไม่บังเอิญ จะรวมตัวพัวพันกลายเป็นชุดของความเชื่อ นั่นคือความเชื่อที่อาจเป็นคนละเรื่องแต่ถูกเหนี่ยวนำด้วยแรงบางอย่างที่ส่งผลต่อทิศทางของความเชื่อเหล่านั้นทั้งหมด แรงเหนี่ยวนำนั้นอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กระบวนทัศน์ (
paradigm) ซึ่งมันก็เป็นความเชื่ออีกอย่างหนึ่งนั่นเอง แต่อยู่ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น อำนาจมากขึ้น ส่งผลพัวพันกับเรื่องอื่นๆ มากขึ้น

อย่างคนสมัยก่อนเชื่อกันว่าโลกแบน ความเชื่อที่ว่าโลกแบนนั้นมีอำนาจมาก และมีผลกระทบต่อความเชื่อยิบย่อยอื่นๆ อีกมากมาย  บ่อยครั้งที่ความเชื่อนั้นยึดถือกันมานมนานจนก่อให้เกิดโครงสร้างและอำนาจต่อรองทางสังคมที่แข็งตัว เกินกว่าที่จะสามารถรองรับสัจธรรมแห่งความตื่น หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากได้  อย่างไรก็ดีความเชื่อที่ว่าโลกแบนก็ได้เปลี่ยนมาเป็นโลกกลมในที่สุด ส่งผลถึงการเปิดกว้างของการรับรู้โลกและธรรมชาติตามที่เป็นจริงอย่างใหญ่หลวง ทั้งนี้ต้องแลกมาด้วยความตายของความเชื่อเก่าๆ มากมายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก่อนจะตายก็ต้องสู้กับแรงต้านและการยื้อยุดกันจนเฮือกสุดท้าย กว่าจะศิโรราบยอมรับ ปรับทัศนคติให้เข้ากับการเรียนรู้ใหม่ที่สอดคล้อง จนนำไปสู่การเปิดตาแห่งปัญญาของมนุษย์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น 

เรื่องราวของกระบวนทัศน์มีผลต่อการภาวนาอย่างยิ่งยวด เพราะการภาวนา คือ การเดินทางด้านในของปัจเจกบุคคล โดยแต่ละย่างก้าวจะนำพาเราให้เห็นตัวเองและเข้าใจตนเองมากยิ่งขึ้น ไม่ต่างจากการศึกษาที่ดีย่อมทำให้เราเห็นโลกและเข้าใจโลกมากขึ้น  ทว่าการภาวนาหรือการเดินทางด้านใน จะคลี่คลายไปตามจังหวะท่วงทำนองและธรรมชาติของการเรียนรู้ด้านในได้นั้น จำเป็นจะต้องหยั่งอยู่บนรากของความเข้าใจและกระบวนทัศน์ที่สอดคล้อง กระบวนทัศน์ที่สามารถรองรับมิติแห่งประสบการณ์ได้อย่างเปิดกว้างไม่มีข้อจำกัด

หากเราดุ่มเดินบนเส้นทางโดยยังแบกเอากระบวนทัศน์ที่เราเคยใช้ได้ในเรื่องหน้าที่การงานหรือความสำเร็จทางธุรกิจมาใช้กับการภาวนา หากเรายังมองการขัดเกลาจิตใจเป็นเหมือนเทคนิคการไต่บันได ๑๖ ขั้น มุ่งหวังเป้าหมายและผลสำเร็จไม่ต่างกับการศึกษาเพื่อใบปริญญา มองหาเกจิอาจารย์ราวกับการช้อปปิ้งในห้างหรู ผลลัพธ์ที่สามารถถูกประเมินเป็นสูตรสำเร็จของการภาวนาคงเป็นได้เพียงวัฒนธรรมของการลอกเลียนมากกว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเอง การภาวนาในแบบนั้นไม่ว่าจะดำเนินไปสักกี่สิบปี ก็มีฐานที่คับแคบและแบนเกินกว่าจะสามารถเปิดให้ใจให้ผู้ฝึกมีความละเอียดอ่อนของการรับรู้จนกลายเป็นปัจเจกบุคคลที่จริงแท้ขึ้นมาได้

คุณค่าทางจิตวิญญาณจะถูกถ่ายทอดออกมาได้ ไม่ใช่ในบรรยากาศของการเรียนรู้แบบบุคคลที่สาม ไม่ใช่ด้วยการวิเคราะห์ พิสูจน์ ประเมิน และให้บทสรุปเชิงประจักษวาท  การตีค่า เหมารวม และวิเคราะห์ประสบการณ์ของผู้อื่นอย่างฉาบฉวยเช่นนั้น คงใช้ได้ดีแต่เฉพาะกับโลกระนาบเดียวแบบวัตถุและกลไก กับโลกทางความคิดที่ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีลูกบ้า และความพยศ

สิ่งที่จะสามารถสะท้อนโลกอันรุ่มรวยและกว้างขวางทางจิตวิญญาณออกมาได้ มีเพียงกระบวนทัศน์แบบเรื่องเล่า ตำนานและเรื่องราวอันมีชีวิตที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยหัวใจที่สั่นไหว แววตาที่ฉายประกาย กับเลือดที่สูบฉีดทั่วสรรพางค์ของตัวผู้เล่า ความตื่นตัวที่สะท้อนถึงประสบการณ์ที่มีความหมายต่อบุคคลผู้นั้น ความเป็นเนื้อเป็นตัวที่สามารถถ่ายทอดบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจสื่อสารได้ด้วยคำพูด คุณค่าทางจิตวิญญาณที่งอกงามบนผืนดินอันอุดมสมบูรณ์แห่งประสบการณ์ชีวิตทุกระนาบ เป็นผืนดินที่เปี่ยมด้วยเรื่องราวการเดินทางผ่านฤดูกาล ผ่านทุกข์ ผ่านสุข ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านการเกิดตาย ผืนดินที่เปรียบได้กับความรู้เนื้อรู้ตัวที่ทุกประสบการณ์เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่า ความหมาย และแรงบันดาลใจ ติดตรึงในมณฑลของการรับรู้ในเนื้อในตัวอย่างไม่มีวันลบเลือน

และนั่นคืออารมณ์ของการภาวนาที่แท้จริง เป็นการภาวนาอย่างไร้เงื่อนไข ไม่มีเทคนิค ไม่มีเป้าหมาย และไม่มีใครเป็นผู้ชี้แนะแนวทางหรือสั่งสอน เป็นการภาวนาที่ไม่ได้แยกขาดจากชีวิต และเป็นประสบการณ์ของการเป็นคนเดินดินธรรมดาคนหนึ่ง  หากวิถีการภาวนาจะเต็มไปด้วยเทคนิคร้อยพัน เทคนิคเหล่านั้นก็คงแค่ช่วยให้เราอยู่กับความรู้เนื้อรู้ตัวได้ดียิ่งขึ้น  การภาวนาไม่ได้หยิบยื่นให้เราได้เห็นนั่นเห็นนี่ตามที่ใจปรารถนา ไม่ได้บอกว่าเราควรเป็นอะไร ควรทำอะไร ควรเดินไปทางไหน ไม่ได้บอกแม้กระทั่งว่าอะไรถูก อะไรผิด

หากจะแทนที่
"ภาวนา" ด้วยคำว่า "การศึกษา" ก็คงไม่ได้ทำให้บทความชิ้นนี้มีความหมายต่างไปจากเดิมมากนัก หากหัวใจของการศึกษาคือการเรียนรู้ และการเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ควรแยกขาดจากการเรียนรู้ด้านใน  เมื่อการภาวนาคือการเรียนรู้ของใจ เราจึงควรถามตนเองเสมอว่า เรามีทัศนคติและกระบวนทัศน์ต่อการเรียนรู้เช่นไร  เป็นการเรียนรู้เพื่อเรียนรู้ หรือเรียนรู้เพื่ออะไร  หมั่นใคร่ครวญด้วยความจริงใจเพื่อให้การศึกษาและการภาวนาของเรามีความจริงแท้และซื่อตรงจากภายในในทุกๆ ลมหายใจเข้าออก

เผยแพร่ครั้งแรกใน คอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

ความเห็น

Submitted by อ้ายแสงดาวฯ on

ชอบที่ว่า"การภาวนา คือการเรียนรู้ของใจ" ภาวนาเพื่อให้มีจิตใจ สุข สงบ เย็น นิ่ง ลึก ทำให้รู้จักปลดปล่อยวาง อยากให้เพื่อนมนุษย์ ภาวนา กันเยอะๆ แต่ต้องเข้าใจ หัวใจ ของการ ภาวนา มิใช้ภาวนาเพื่อมีกิเลศ

ดีใจที่ได้เจอวิจักษ์ ที่สุดสะแนน คับ พวกเราพากันไป ภาวนา ที่นั้น (ฮา) ฮักษาสุขภาพ คับ

ทุกข์ร่วมเพราะผูกพัน

17 March, 2010 - 00:00 -- vichak

เมื่ออาทิตย์ก่อนเอแบ็คโพลได้รายงานผลสำรวจ ๑๐ อันดับแรกของแนวทางลดความเครียด (ของคนกรุงเทพ) ในสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมือง  “อันดับแรก คือพยายามไม่ยึดติดกับกลุ่มการเมืองใดๆ อันดับสอง ปล่อยวาง ยอมรับสภาพความเป็นจริง อันดับสาม หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง อันดับที่สี่ ลด-งดพูดคุยเรื่องการเมืองกับคนอื่น และอันดับที่ห้า ลด งดติดตามข่าวสารทางการเมืองทางสื่อต่างๆ ส่วนรองๆ ลงไปคือ ติดตามรายการบันเทิงคลายเครียดให้มากขึ้น พูดคุยปรึกษาปัญหาความเครียดกับคนในครอบครัว คนใกล้ชิด หาที่พึ่งทางศาสนา ฝึกสมาธิ และเลือกติดตามข่าวสารเฉพาะสื่อที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตนเอง” (ที่มา: นสพ.ไทยรัฐ ๗ มีนาคม ๒๕๕๓)

กระบวนทัศน์กับการภาวนา

25 February, 2009 - 00:00 -- vichak

  

โดยแก่นสาระของการฝึกสมาธิภาวนานั้นไม่มีอะไรมากมาย ขอเพียงผู้ฝึกมีความซื่อตรงและมั่นคงกับประสบการณ์การฝึกของตัวเอง อย่างที่เรียกว่า เรียลลิสติค (realistic) คือ ภาวนาเพื่อการขัดเกลาจิตใจตนเองจริงๆ ไม่ได้มาภาวนาเพื่อได้นั่นได้นี่ เห็นนั่นเห็นนี่

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะหากความทะเยอทะยานยังติดเนื้อติดตัวเรามา การภาวนาก็จะเป็นไปในทิศทางของความทะเยอทะยานนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า
"ภาวนา" เป็นคำกลางๆ ที่บ่งบอกถึงการเรียนรู้ใจตน ซึ่งในทางปฏิบัติก็จะแตกต่างกันไปตามอารมณ์ของผู้ฝึก  บ้างก็อาจจะมาด้วยอารมณ์หวังผล อารมณ์บรรลุเป้าหมาย อารมณ์อยากได้ความสงบ อยากมีความสุข  ยากที่จะหาผู้ที่มาภาวนาเพื่อภาวนา เรียนเพื่อเรียน เปิดใจรับฟังประสบการณ์อย่างปราศจากสัมภาระ อคติ ความคิด ความคาดหวังได้อย่างแท้จริง

คิดแบบ ส.ศิวรักษ์

16 February, 2009 - 00:00 -- vichak

เวลาผมไม่สบายใจ ผมมักจะแวะไปเจอเพื่อนสนิท กินข้าว กินเหล้า นั่งคุยกันไปเรื่อย แบบไม่มีจุดหมาย เพียงปล่อยให้ความไว้วางใจที่เพื่อนแท้มีให้แก่กัน ก็พอจะช่วยเยียวยาความคับข้องภายในให้คลี่คลายไปได้ แต่ผมยอมรับว่าในบางครั้ง เวลาที่ผมเจอเรื่องหนักๆ ผมมักจะมองหาเพื่อนที่มีความอาวุโสมากกว่าผม ใครสักคนที่ผมสามารถเคารพเขาได้อย่างสุดจิตสุดใจ เป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมรับฟังเด็กหัวแข็งอย่างผมที่ไม่ค่อยจะรู้จักความหมายของคำว่ากาลเทศะ สัมมาคารวะ หรือทักษะการประจบประแจงใดๆ ก็เรามีเพียงใจเปล่าๆที่อยากที่จะเข้าไปหา รับฟัง แลกเปลี่ยน ด้วยความบริสุทธิ์ใจที่ไม่ดัดจริตซับซ้อน ผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน ผู้สำแดงชีวิตผ่านการดำรงตนที่หนักแน่น อ่อนโยน และเต็มเปี่ยม เป็นพลังแห่งการประคับประคองและโอบอุ้มโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยคำพูดหรือการวางท่าที

รสธรรมในค่ำคืนโลกๆ

2 February, 2009 - 00:00 -- vichak

  

เขาเชื่อว่าโลกแบ่งเป็นสองขั้ว คือ โลกทางธรรมและโลกทางโลก (aka. โลกๆ) เขาเคยคิดว่าเขามั่นใจและเข้าใจ จนวันนี้ที่เขาได้ตระหนักแล้วว่า มันก็ยังเป็นเพียงแค่ "คิด" ว่าเข้าใจ หลายปีที่เขาพยายามขดตัวอยู่ในโลกทางธรรมที่เขาสร้างขึ้นจากอุดมคติของความเป็นคนสมบูรณ์แบบ เขารู้สึกถึงรสประหลาดของชีวิตที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นของความหมกมุ่น ไอเดือดของความรุ่มร้อน และผลึกอันเย็นเยือกของความด้านชา

วันนี้...เขานั่งครุ่นคิด ทบทวน กับเส้นทางอันแสนประเสริฐที่เขาเลือกเดิน

ไอคุกรุ่นเดือดดันฝากาให้กระเด็นออก เสียงหวีดร้องก้องดังอยู่ในความเงียบงัน

เขารู้สึกหนัก

ภาพของความเป็นคนดีสมบูรณ์แบบที่เขาแบกไว้เต็มสองบ่ามาตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปี

ความเงียบและความนิ่งเข้าปกคลุมอีกครั้ง ดูเหมือนเขาจะเก่งในการสร้างบรรยากาศเช่นนี้เสียจริง ทั้งที่เขารู้ดีว่า มันก็แค่กลไกของการกลบเกลื่อน

แววตาที่สงบนิ่ง ไร้อารมณ์ ไร้ชีวิตชีวา ทอดไปยังขอบฟ้าที่ถูกบดบังโดยตึกสูง

ฝนตกพรำๆ กับท่วงทำนองของการย่ำเดินไปบนขอบถนนสายหนึ่ง เขามาถึงแล้ว...

เด็กสาวผิวขาวสวยยืนรอรับตั้งแต่หน้าประตู ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความลังเลสับสน จังหวะหัวใจที่เต้นไม่เป็นระสาย ขาของเขาสั่นอายปราศจากแรงก้าว  

 "ที่อโคจร" ความคิดแรกเข้ามาเยือนในหัว สมกับความเก่งกาจใน "วิชาธรรมะ" ที่เขาทำเป็นอาชีพ เขาเตรียมจะเอาหลักธรรมมาสร้างภาพอารยธรรมของความสงบนิ่งอีกครั้ง ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมา การกดทับและความพยายามตัดไฟปรารถนาไม่ได้ช่วยให้เขาได้เข้าใจความเป็นอนิจจังของพลังอันเร่าร้อนที่ลุกโหมในใจเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ครั้งนี้เขาได้บอกตัวเองแล้วว่า "เขาจะไม่หนี"

ในที่สุดสองเท้าก็พาเขาก้าวผ่านบานประตูกระจกใส แววตาของเขาเป็นประกายในแว้บแรกที่เห็นร่างสะโอดสะองของเด็กสาววัยยี่สิบเศษ ยืนเรียงต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม   

"สำรวม" สัญชาตญาณความคิดทางธรรมอัตโนมัติได้สั่งการให้เขาละสายตาและก้มหน้าดุ่มเดินผ่านผู้คนไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีเขาก็มาหยุดอยู่ที่มุมสงบบริเวณบาร์เหล้า หญิงสาวในชุดซีทรูกับเนินปทุมถันที่ดึงดูดส่งยิ้มให้เขา "สั่งเหล้าอะไรดีคะพี่"

"ผมไม่ดื่มสุรา" ธรรมวาจาอัตโนมัติเปล่งออกไป ความคิดเสียดายที่เขาน่าจะสั่งเหล้าสักแก้วมาย้อมใจก็ผุดพรายขึ้น เขาจึงงัดกลวิธีการตัดความคิดออกมา แล้วพาตัวเองกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง เขาก้มหน้า ควานหาที่หลบภัยจากโลกอกุศล ตัวของเขาเกร็ง ขาของเขาแข็ง

"ผู้หญิงไม่ดีพวกนี้..." เขาหยุดตัวเองไว้เพียงต้นประโยค เพราะรู้สึกละอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ 

เพียงเพื่อหาภาพลักษณ์ดูดีเป็นที่ซ่อน เขาจำเป็นต้องหยิบมีดสั้นแห่งการตัดสินออกมาเชือดเฉือนคุณค่าความเป็นคนของคนอื่นอย่างไม่มีชิ้นดี...อีกแล้วสินะ

เขาถอนหายใจ พลางจิบสุราเจือโซดา เริ่มรู้สึกผ่อนคลายกับความไม่สมบูรณ์แบบของตนเองมากขึ้น

......

กลิ่นน้ำหอมที่เย้ายวน การยักย้ายส่ายไหวที่ดึงดูด เสียงดนตรีที่ปลุกไฟปรารถนาให้โชติช่วง และสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้ในค่ำคืนพิเศษคืนนี้  สิ่งที่กระแทกใจ สะท้านทุกความเคลื่อนไหวทางความคิด มันคือ พื้นที่อันกว้างใหญ่ไร้การตัดสิน พื้นที่ที่รองรับให้ทุกสิ่งสามารถแสดงสีสันที่มันเป็นได้อย่างไม่ขวยเขิน

ประตูกระจกใสเปิดสู่โลกการรับรู้ภายในที่เต็มเปี่ยม รสสุราช่างหอมหวาน ส่งผ่านความนุ่มละมุนแห่งความรัก หญิงสาวกับรอยยิ้มแห่งความเบิกบานร่ายรำบนฟลอร์แห่งความไว้วางใจชีวิต ชีวิตที่รุ่มรวยไปด้วยเรื่องราวและสายสัมพันธ์อันหมิ่นเหม่

อิสรภาพจากคุกคุมขังแห่งการตัดสิน

เขารู้สึกราวกับว่า เส้นทางแสวงหาคุณค่าทางจิตวิญญาณของเขาได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

โลกทางธรรมผ่อนคลายขยายกว้าง

เปิดมณฑลแห่งการรับรู้อย่างไม่มีเงื่อนไข ที่หลอมรวมเรื่องโลกๆเอาไว้ ด้วยใจที่อ่อนโยนเป็นมิตร   

* * * * * * * * *