Skip to main content


"ได้กินเห็ดถอบหรือยังลูก"

คำถามแรกจากหญิงวัยใกล้ชราซึ่งเอื้อนเอ่ยแข่งกับเสียงฝนตกเปาะแปะอยู่นอกชานเรือน

 

เธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน ที่รักใคร่เอ็นดูเหมือนแม่แท้ๆ กวักมือเรียกให้ไปช่วยดาขันโตก แม้ฉันจะทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไปเยือนบ้านเกิดวันนี้ตั้งใจจะไปกินข้าวมื้อกลางวันกับพ่อ แต่ทำยังไงได้ในเมื่ออาหารการกินสำรับเตรียมไว้เพียบพร้อม ฉันนึกถึงคำของแม่แท้ๆ ที่บอกว่าถ้าผู้ใหญ่ชวนทานข้าว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจ


ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ ในครัวโล่งๆ ของแม่ยวง มองอาหารหลากชนิดตรงหน้า พร้อมกับข้าวนึ่งจานใหญ่ เจ้าของกับข้าวทำแววตาโอ้อวดว่าอาหารที่เตรียมไว้ให้วันนี้ไม่ใช่อาหารธรรมดา ทั้งน้ำพริกเผาข่า แมงมันคั่ว แกงหน่อไม้ดอง รวมถึง "ต้มเค็มเห็ดถอบ" สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในฤดูกาลเท่านั้น ฤดูกาลหลังสายฝนที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตดั้งเดิมไม่มีวันหาย แม้คนรุ่นหลังจะไม่ได้ไปเสาะแสวงหามาเอง พวกเขาก็ไม่เคยลืมรสชาติที่เคยลิ้มลองตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก


ฉันก็เป็นเช่นนั้น

ทันทีที่ตักเห็ดถอบลูกกลมๆ ต้มใส่เกลือเข้าปาก กลิ่นดินกลิ่นภูเขา กลิ่นเกลือสินเธาว์และน้ำบาดาล มันผสมปนเปอยู่ในนั้น พลางหวนคิดไปถึงแม่แท้ๆ ที่จากไปแล้ว

ครั้งหนึ่งแม่ก็เคยมีแววตาแบบนี้

 

แววตาประกายวับหลังจากกลับจากป่า กระเป๋าสะพายมอมๆ นั้นมีตะขออันเล็กๆ เกี่ยวไว้ ในหาบบนหลังมีใบตองตึงที่ห่อเห็ดถอบกลมๆ กลับมาบ้าน ไม่ว่าใครจะพูดอะไร แม่ไม่สนใจ สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือการล้างเห็ดถอบให้สะอาด ตั้งเตาไฟ แล้วต้มมันกับเกลือ


แม่บอกว่า เห็ดชนิดนี้เมื่ออยู่ในดินก็เหมือนทารกน้อยๆ ที่บ่มเพาะรักษาไว้ด้วยดิน แต่พอโผล่โพ้นจากดินขึ้นมา เขาจะมีอายุพุ่งพรวด จากเห็ดอ่อนๆ สามารถกลายเป็นเห็ดวัยรุ่น เห็ดผู้ใหญ่ และเห็ดชราได้ในชั่วไม่กี่นาที


"มันโตอยู่ทุกวินาที แก่ลงไปอย่างเงียบๆ แม้จะรักษามันเพียงใดก็ตาม"

นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องต้มมันเอาไว้ เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของมัน


เห็ดถอบที่ยังใหม่สด จะมีเปลือกสีน้ำตาลอ่อน ข้างในมีไส้สีขาวเหมือนครีม เวลากัดจะกรอบด้านนอก นุ่มข้างใน รสชาติมันๆ เค็มๆ เมื่อต้มเก็บเอาไว้แล้วยังสามารถนำมาทำอาหารชนิดอื่นได้อีก เช่น แกงเห็ดถอบใส่หน่อไม้ดอง เอาไปทำห่อนึ่ง ต้มเค็มใส่ใบมะเหม้า หรือคั่วใส่พริกแกง ใบมะกรูด ซึ่งในร้านอาหารสมัยนี้มีเมนูประยุกต์มากมาย เช่นผัดเผ็ดเห็ดถอบ ผัดกะเพรา คั่วผสมเห็ดชนิดอื่นใส่น้ำมันหอย หรือแม้กระทั่งเอาไปทำขนมจีนน้ำเงี้ยวเห็ดถอบ

 

 

"อร่อยไหมลูก"

แม่ยวงเอ่ยถาม ช้อนของเธอตักเห็ดลูกกลมๆ โตๆ ใส่จานให้ฉัน พ่ออ้ายคู่ชีวิตนั้นยิ้มบางๆ มองอย่างเอ็นดู บอกกับฉันว่า

"ดูสิ ว่าแม่รักลูกแค่ไหน ลูกใหญ่ๆ นุ่มๆ ให้คนอื่นกิน ตัวเองตักแต่ลูกที่แตกๆ หนาๆ เหนียวๆ นี่เขารู้ว่าจะมา สั่งที่ตลาดเอาไว้ตั้งแต่ฝนมาห่าแรกๆ ไม่งั้นเราไม่ได้กินลูกอ่อนๆ แบบนี้"

แล้ววันนั้นฉันก็กินไปเสียเต็มอิ่ม แววตาเอ็นดูนั้นภูมิใจนักหนา บอกกับฉันเบาๆ ว่า

"มีอีกเยอะลูก กินให้อิ่ม กินให้พอ บ้านเราเท่านั้นที่จะมีของแบบนี้ ที่อื่นหายากไปทุกที"


ฉันยิ้มเขินๆ นอกจากไม่ได้ช่วยทำกับข้าวแล้วยังพาพุงอ้วนๆ ไปเดินเล่นดูสวนหลังบ้านอย่างสบายใจ ชมพืชผักกำลังโตงามตามฤดู ใช้เวลาอ้อยอิ่งกับสิ่งเหล่านั้น ก่อนที่ผู้ใหญ่จะเตือนว่าได้เวลาไปบ้านพ่อจริงๆ ของฉันซะที


 

  

บ้านของเราห่างกันราว 7 กิโลเมตร ทันทีที่เสียงรถดังเข้าไปใกล้บ้าน ฉันเห็นชายชรากุลีกุจอลุกจากครัวเดินออกมารับ ฉันลงจากรถ ดวงตาเรียวยาวนั้นมีริ้วรอยความตึงเครียด ไหว้สวัสดีพ่อเสร็จจึงโน้มตัวเข้าไปกอด

"เครียดอะไรอีกแล้วคุณลุง"

ฉันแซวพ่อตัวเอง เขาลากแขนฉันไปนั่งที่เก้าอี้ริมห้องครัว พร้อมกวักมือเรียกคนไปด้วย

"เร็ว...พ่อทำแกงเห็ดถอบไว้ กลัวจะมาไม่ทันกิน"

ว่าแล้วก็เขากุลีกุจอไปตักแกง แกงของพ่อเป็นแกงน้ำใสๆ ใส่ใบมะเหม้า เขาเชื่อว่าเป็นของที่คู่กันไม่มีวันตาย รสชาติของใบมะเหม้านั้นจะออกรสเปรี้ยวนิดๆ แกงแบบคนแก่ไม่กินเผ็ด ในแกงยังใส่ผักอีกหลายชนิดที่ดูหน้าตาน่ากิน


เขาวางชามแกงบนขันโตกลายดอกชบา ฉันจำใจต้องส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิด เพราะกินมามากเกินที่จะกินได้อีก

"อ้าว กินแล้วเหรอ นึกว่าจะมากินกับพ่อ"

"คิดอยู่แล้วว่าพ่อต้องรอกินข้าว แต่มันอิ่มมากๆ เลย"

ชายชราหัวเราะเบาๆ แล้วบอกฉันด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

"อิ่มแล้วก็กินได้อีก ไม่ต้องกลัวอ้วน เห็ดนี้กินแล้วไม่อ้วน นี่สูตรเด็ดของพ่อเลยนะ หากินไม่ได้แล้ว"

ฉันเอาใจพ่อด้วยการ "กิน" อีกครั้ง

 

ค่อยๆ ตักคำน้อยๆ เข้าปาก ชายชราหยิบช้อนแสตนเลทเลือกเฉพาะเห็ดถอบส่งให้ ตัวเขากินแต่ผักอื่นจนฉันต้องร้องดังๆ

 

 

"พ่อกินเถอะ...ตักแต่เห็ดให้ก็หมดกันพอดี"

"ไม่เป็นไรหรอก พ่อกินมาไม่รู้กี่มื้อแล้ว ลูกน่ะสิไม่ค่อยได้กิน เดี๋ยวก็ตักไปฝากพี่ด้วยล่ะ"

พ่อว่า แล้วเดินไปตักแกงจากหม้อสีดำๆ อันเล็กๆ ที่ตั้งไว้บนเตาฟืนหลังจากดับไฟแล้ว แกงยังอุ่นๆ มีส่วนประกอบที่เต็มไปด้วยรายละเอียดในการทำอาหาร เห็ดถอบหั่นเป็นแว่นๆ และผ่าดูทุกครั้งว่ามีลูกไหนเสียบ้างก็แยกออกไปทิ้ง ผักพ่อค้าตีเมียที่ล้างและหั่นเฉพาะยอดอ่อนๆ ใบมะเม่าสดๆ จากสวน ที่งอกงามเหมือนเฝ้ารอเวลานี้มาแสนนาน


มะเม่ามีคุณค่ามากที่สุดก็ตอนใช้ทำอาหารประกอบร่วมกับอย่างอื่น เพราะตัวมันเองกินแล้วไม่อร่อย แต่แกงเห็ดถอบถ้าขาดใบมะเหม้าไปก็ดูจะมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์

 

"อ้าว....เป็นอะไรไปน่ะ"

ชายชราเขย่าตัว ฉันยังนั่งจ้องใบมะเหม้า แล้วคิดอุปมากับชีวิตและการเดินทาง

เราอาจมีเงินมากพอจะซื้ออาหารดีๆ กินกับเพื่อนฝูงอีกหลายมื้อ แต่กินให้ตายยังไงเสีย ก็ไม่มีวันเหมือน...

ไม่มีวันเหมือนอาหารตรงหน้า ที่ผู้ใหญ่เฝ้ารอฤดูกาลอย่างใจเย็น ใช้แรงที่มีไปปลูกไปหา ปรุงมันด้วยความรักและชีวิต เท่าที่ฉันกินไปแล้วก็ยังไม่พอ พวกเขายังห่อให้เอากลับบ้าน ผูกมัดด้วยเชือกและใบตองตึง ทำเหมือนเวลาลูกสาวจะไปเข้าป่า ฉันแซวพ่อว่าอาหารในเมืองน่ะมีเยอะ เดี๋ยวจะกินไม่ทัน แต่ไม่มีใครฟังฉันหรอก


เพราะหลังจากแวะกลับมาบ้านแม่ยวงอีกครั้ง ฉันก็ได้อาหารกลับไปอีก

เห็ดถอบอุ่นๆ รออยู่ในถุง มีทั้งแบบแกงและผัด มีพริก ใบมะกรูด ข่า ทุกอย่างมัดรวมกันไว้เพื่อประกอบอาหาร ไม่ได้มีแค่ถุงเดียวเท่านั้น ยังมีสำหรับไว้ฝากพี่สาว เพื่อนพี่สาว คนรู้จักในเมืองอีกสองสามคน ที่ฉันต้องตระเวนเอาแวะไปแจก


ฉันมองข้าวของมากมายนั้นอย่างชั่งใจ รู้สึกได้ถึงความลำบากของพวกเขา สองผู้เฒ่ามองฉันอย่างเอ็นดูก่อนจะบอกว่า

"รับไปเถอะ...คนรักกันเท่านั้นแหละ ถึงจะให้ของแบบนี้ ไม่รักไม่เตรียมให้หรอกลูก"

"ค่ะ"

ฉันตอบได้แค่นั้น ก่อนจะขอตัวกลับสู่มหานคร โดยมีเจ้าเห็ดถอบแห่งความรักนอนนิ่งๆ อยู่ในรถระหว่างเส้นทางร้อยกว่ากิโลนั้น...


..............................



บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…