Skip to main content


"ได้กินเห็ดถอบหรือยังลูก"

คำถามแรกจากหญิงวัยใกล้ชราซึ่งเอื้อนเอ่ยแข่งกับเสียงฝนตกเปาะแปะอยู่นอกชานเรือน

 

เธอเป็นแม่คนที่สองของฉัน ที่รักใคร่เอ็นดูเหมือนแม่แท้ๆ กวักมือเรียกให้ไปช่วยดาขันโตก แม้ฉันจะทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไปเยือนบ้านเกิดวันนี้ตั้งใจจะไปกินข้าวมื้อกลางวันกับพ่อ แต่ทำยังไงได้ในเมื่ออาหารการกินสำรับเตรียมไว้เพียบพร้อม ฉันนึกถึงคำของแม่แท้ๆ ที่บอกว่าถ้าผู้ใหญ่ชวนทานข้าว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจ


ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ ในครัวโล่งๆ ของแม่ยวง มองอาหารหลากชนิดตรงหน้า พร้อมกับข้าวนึ่งจานใหญ่ เจ้าของกับข้าวทำแววตาโอ้อวดว่าอาหารที่เตรียมไว้ให้วันนี้ไม่ใช่อาหารธรรมดา ทั้งน้ำพริกเผาข่า แมงมันคั่ว แกงหน่อไม้ดอง รวมถึง "ต้มเค็มเห็ดถอบ" สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในฤดูกาลเท่านั้น ฤดูกาลหลังสายฝนที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตดั้งเดิมไม่มีวันหาย แม้คนรุ่นหลังจะไม่ได้ไปเสาะแสวงหามาเอง พวกเขาก็ไม่เคยลืมรสชาติที่เคยลิ้มลองตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก


ฉันก็เป็นเช่นนั้น

ทันทีที่ตักเห็ดถอบลูกกลมๆ ต้มใส่เกลือเข้าปาก กลิ่นดินกลิ่นภูเขา กลิ่นเกลือสินเธาว์และน้ำบาดาล มันผสมปนเปอยู่ในนั้น พลางหวนคิดไปถึงแม่แท้ๆ ที่จากไปแล้ว

ครั้งหนึ่งแม่ก็เคยมีแววตาแบบนี้

 

แววตาประกายวับหลังจากกลับจากป่า กระเป๋าสะพายมอมๆ นั้นมีตะขออันเล็กๆ เกี่ยวไว้ ในหาบบนหลังมีใบตองตึงที่ห่อเห็ดถอบกลมๆ กลับมาบ้าน ไม่ว่าใครจะพูดอะไร แม่ไม่สนใจ สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือการล้างเห็ดถอบให้สะอาด ตั้งเตาไฟ แล้วต้มมันกับเกลือ


แม่บอกว่า เห็ดชนิดนี้เมื่ออยู่ในดินก็เหมือนทารกน้อยๆ ที่บ่มเพาะรักษาไว้ด้วยดิน แต่พอโผล่โพ้นจากดินขึ้นมา เขาจะมีอายุพุ่งพรวด จากเห็ดอ่อนๆ สามารถกลายเป็นเห็ดวัยรุ่น เห็ดผู้ใหญ่ และเห็ดชราได้ในชั่วไม่กี่นาที


"มันโตอยู่ทุกวินาที แก่ลงไปอย่างเงียบๆ แม้จะรักษามันเพียงใดก็ตาม"

นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องต้มมันเอาไว้ เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของมัน


เห็ดถอบที่ยังใหม่สด จะมีเปลือกสีน้ำตาลอ่อน ข้างในมีไส้สีขาวเหมือนครีม เวลากัดจะกรอบด้านนอก นุ่มข้างใน รสชาติมันๆ เค็มๆ เมื่อต้มเก็บเอาไว้แล้วยังสามารถนำมาทำอาหารชนิดอื่นได้อีก เช่น แกงเห็ดถอบใส่หน่อไม้ดอง เอาไปทำห่อนึ่ง ต้มเค็มใส่ใบมะเหม้า หรือคั่วใส่พริกแกง ใบมะกรูด ซึ่งในร้านอาหารสมัยนี้มีเมนูประยุกต์มากมาย เช่นผัดเผ็ดเห็ดถอบ ผัดกะเพรา คั่วผสมเห็ดชนิดอื่นใส่น้ำมันหอย หรือแม้กระทั่งเอาไปทำขนมจีนน้ำเงี้ยวเห็ดถอบ

 

 

"อร่อยไหมลูก"

แม่ยวงเอ่ยถาม ช้อนของเธอตักเห็ดลูกกลมๆ โตๆ ใส่จานให้ฉัน พ่ออ้ายคู่ชีวิตนั้นยิ้มบางๆ มองอย่างเอ็นดู บอกกับฉันว่า

"ดูสิ ว่าแม่รักลูกแค่ไหน ลูกใหญ่ๆ นุ่มๆ ให้คนอื่นกิน ตัวเองตักแต่ลูกที่แตกๆ หนาๆ เหนียวๆ นี่เขารู้ว่าจะมา สั่งที่ตลาดเอาไว้ตั้งแต่ฝนมาห่าแรกๆ ไม่งั้นเราไม่ได้กินลูกอ่อนๆ แบบนี้"

แล้ววันนั้นฉันก็กินไปเสียเต็มอิ่ม แววตาเอ็นดูนั้นภูมิใจนักหนา บอกกับฉันเบาๆ ว่า

"มีอีกเยอะลูก กินให้อิ่ม กินให้พอ บ้านเราเท่านั้นที่จะมีของแบบนี้ ที่อื่นหายากไปทุกที"


ฉันยิ้มเขินๆ นอกจากไม่ได้ช่วยทำกับข้าวแล้วยังพาพุงอ้วนๆ ไปเดินเล่นดูสวนหลังบ้านอย่างสบายใจ ชมพืชผักกำลังโตงามตามฤดู ใช้เวลาอ้อยอิ่งกับสิ่งเหล่านั้น ก่อนที่ผู้ใหญ่จะเตือนว่าได้เวลาไปบ้านพ่อจริงๆ ของฉันซะที


 

  

บ้านของเราห่างกันราว 7 กิโลเมตร ทันทีที่เสียงรถดังเข้าไปใกล้บ้าน ฉันเห็นชายชรากุลีกุจอลุกจากครัวเดินออกมารับ ฉันลงจากรถ ดวงตาเรียวยาวนั้นมีริ้วรอยความตึงเครียด ไหว้สวัสดีพ่อเสร็จจึงโน้มตัวเข้าไปกอด

"เครียดอะไรอีกแล้วคุณลุง"

ฉันแซวพ่อตัวเอง เขาลากแขนฉันไปนั่งที่เก้าอี้ริมห้องครัว พร้อมกวักมือเรียกคนไปด้วย

"เร็ว...พ่อทำแกงเห็ดถอบไว้ กลัวจะมาไม่ทันกิน"

ว่าแล้วก็เขากุลีกุจอไปตักแกง แกงของพ่อเป็นแกงน้ำใสๆ ใส่ใบมะเหม้า เขาเชื่อว่าเป็นของที่คู่กันไม่มีวันตาย รสชาติของใบมะเหม้านั้นจะออกรสเปรี้ยวนิดๆ แกงแบบคนแก่ไม่กินเผ็ด ในแกงยังใส่ผักอีกหลายชนิดที่ดูหน้าตาน่ากิน


เขาวางชามแกงบนขันโตกลายดอกชบา ฉันจำใจต้องส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิด เพราะกินมามากเกินที่จะกินได้อีก

"อ้าว กินแล้วเหรอ นึกว่าจะมากินกับพ่อ"

"คิดอยู่แล้วว่าพ่อต้องรอกินข้าว แต่มันอิ่มมากๆ เลย"

ชายชราหัวเราะเบาๆ แล้วบอกฉันด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

"อิ่มแล้วก็กินได้อีก ไม่ต้องกลัวอ้วน เห็ดนี้กินแล้วไม่อ้วน นี่สูตรเด็ดของพ่อเลยนะ หากินไม่ได้แล้ว"

ฉันเอาใจพ่อด้วยการ "กิน" อีกครั้ง

 

ค่อยๆ ตักคำน้อยๆ เข้าปาก ชายชราหยิบช้อนแสตนเลทเลือกเฉพาะเห็ดถอบส่งให้ ตัวเขากินแต่ผักอื่นจนฉันต้องร้องดังๆ

 

 

"พ่อกินเถอะ...ตักแต่เห็ดให้ก็หมดกันพอดี"

"ไม่เป็นไรหรอก พ่อกินมาไม่รู้กี่มื้อแล้ว ลูกน่ะสิไม่ค่อยได้กิน เดี๋ยวก็ตักไปฝากพี่ด้วยล่ะ"

พ่อว่า แล้วเดินไปตักแกงจากหม้อสีดำๆ อันเล็กๆ ที่ตั้งไว้บนเตาฟืนหลังจากดับไฟแล้ว แกงยังอุ่นๆ มีส่วนประกอบที่เต็มไปด้วยรายละเอียดในการทำอาหาร เห็ดถอบหั่นเป็นแว่นๆ และผ่าดูทุกครั้งว่ามีลูกไหนเสียบ้างก็แยกออกไปทิ้ง ผักพ่อค้าตีเมียที่ล้างและหั่นเฉพาะยอดอ่อนๆ ใบมะเม่าสดๆ จากสวน ที่งอกงามเหมือนเฝ้ารอเวลานี้มาแสนนาน


มะเม่ามีคุณค่ามากที่สุดก็ตอนใช้ทำอาหารประกอบร่วมกับอย่างอื่น เพราะตัวมันเองกินแล้วไม่อร่อย แต่แกงเห็ดถอบถ้าขาดใบมะเหม้าไปก็ดูจะมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์

 

"อ้าว....เป็นอะไรไปน่ะ"

ชายชราเขย่าตัว ฉันยังนั่งจ้องใบมะเหม้า แล้วคิดอุปมากับชีวิตและการเดินทาง

เราอาจมีเงินมากพอจะซื้ออาหารดีๆ กินกับเพื่อนฝูงอีกหลายมื้อ แต่กินให้ตายยังไงเสีย ก็ไม่มีวันเหมือน...

ไม่มีวันเหมือนอาหารตรงหน้า ที่ผู้ใหญ่เฝ้ารอฤดูกาลอย่างใจเย็น ใช้แรงที่มีไปปลูกไปหา ปรุงมันด้วยความรักและชีวิต เท่าที่ฉันกินไปแล้วก็ยังไม่พอ พวกเขายังห่อให้เอากลับบ้าน ผูกมัดด้วยเชือกและใบตองตึง ทำเหมือนเวลาลูกสาวจะไปเข้าป่า ฉันแซวพ่อว่าอาหารในเมืองน่ะมีเยอะ เดี๋ยวจะกินไม่ทัน แต่ไม่มีใครฟังฉันหรอก


เพราะหลังจากแวะกลับมาบ้านแม่ยวงอีกครั้ง ฉันก็ได้อาหารกลับไปอีก

เห็ดถอบอุ่นๆ รออยู่ในถุง มีทั้งแบบแกงและผัด มีพริก ใบมะกรูด ข่า ทุกอย่างมัดรวมกันไว้เพื่อประกอบอาหาร ไม่ได้มีแค่ถุงเดียวเท่านั้น ยังมีสำหรับไว้ฝากพี่สาว เพื่อนพี่สาว คนรู้จักในเมืองอีกสองสามคน ที่ฉันต้องตระเวนเอาแวะไปแจก


ฉันมองข้าวของมากมายนั้นอย่างชั่งใจ รู้สึกได้ถึงความลำบากของพวกเขา สองผู้เฒ่ามองฉันอย่างเอ็นดูก่อนจะบอกว่า

"รับไปเถอะ...คนรักกันเท่านั้นแหละ ถึงจะให้ของแบบนี้ ไม่รักไม่เตรียมให้หรอกลูก"

"ค่ะ"

ฉันตอบได้แค่นั้น ก่อนจะขอตัวกลับสู่มหานคร โดยมีเจ้าเห็ดถอบแห่งความรักนอนนิ่งๆ อยู่ในรถระหว่างเส้นทางร้อยกว่ากิโลนั้น...


..............................



บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…