Skip to main content

“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”
สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า

“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”

เขากำลังจะกลับบ้าน
ชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค

เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตร

มาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ เย็บปักถักร้อย ช่างฝีมือ จนได้งานทำเป็นพนักงานในโรงงานผลิตกระเป๋า แต่เดือนแรกที่ยังไม่ได้รับเงินเดือนก็ยังต้องอาศัยคนอื่นอยู่ไปก่อน จวบจนได้เงินเดือนก้อนแรก ถึงไปหาห้องเล็กๆ แถววัดเจ็ดยอดอาศัย ในราคาเดือนละ 500 บาท

“เคยผ่านแถวคูเมืองด้านในไหม จะมีร้านขายของราคาถูก ทุกอย่าง 10 บาท”
ฉันนึกทบทวนเส้นทาง แล้วก็ร้องอ๋อ พยักหน้าหงึกหงักๆ
“อืม ที่นั่นจะมีก๋วยเตี๋ยวฟรี ถ้วยเล็กๆ กับน้ำฟรี เขาบริการลูกค้า ผมไปกินทุกวัน เป็นเวลา 2 เดือน”

ฉันนึกภาพตาม ตลาดนัดราคาถูกขนาดกว้างใหญ่ ที่มีขายทุกสิ่งทุกอย่าง มีเสียงเพลงดังๆ มีดีเจเปิดเพลงเพื่อเร่งเร้าการซื้อของ เขามีน้ำดื่มไว้บริการด้วยแก้วกระดาษที่เขรอะไปด้วยฝุ่น ก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีลูกชิ้น ในชามพลาสติกเพื่อจูงใจให้คนเข้าร้าน นั่นคือที่พักพิงของคนพเนจร รวมทั้งเพื่อนของฉัน

เวลานี้นั้น เขาผ่านการทำงานในเมืองมา 5 ปีแล้ว สามารถซื้อข้าวของเครื่องใช้อำนวยความสะดวก ตั้งแต่เสื้อผ้า ตู้เย็น โทรทัศน์ และเครื่องเสียงขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังสอบเข้าเรียนต่อภาคค่ำในสถาบันราชภัฎจบจน จำได้ว่าฉันให้ของขวัญเขาเป็นรูปใส่กรอบใบเล็กๆ แล้วก็ดีใจไปกับความสำเร็จของเขา

แต่จากนั้นไม่นานนัก เขาก็โทรมาบอกว่า กำลังจะย้ายกลับบ้านแล้ว

“ไม่อยากอยู่ในเมืองแล้วเหรอ” ฉันถาม ก้มสำรวจข้าวของที่เขาขนออกมาจนหมดจากห้องเช่า
เขาไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับเอ่ยออกมาว่า
“อยากอยู่บ้านของตัวเอง”
“เหรอ ก็ดีนะ ได้อยู่ใกล้พ่อแม่ด้วย”

เขายิ้มขึ้นมา แววตาวาววับ
“เราทำงานอยู่นี่ แต่ละเดือนไม่มีเงินเก็บ แต่เราสุขอยู่คนเดียว ถ้าไปอยู่บ้าน อย่างน้อย สิบบาท ยี่สิบบาท ก็ยังได้กินกับพ่อแม่และน้อง มันสุขใจกว่า”

ฉันรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ไถ่ถามถึงอดีตก่อนจากมา รู้เพียงแต่ว่าวันนี้เขาคงจะพร้อมแล้ว ที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบที่ปรารถนา หรือไม่ เมืองใหญ่อาจกลืนกินบางสิ่งไปจากเขา มากไปกว่าที่เขาจะได้รับ

“เธอล่ะไม่อยากซื้อบ้านของตัวเองบ้างเหรอ”
เขาถามสวนมา ฉันสะดุดไปเล็กน้อย เหลือบสายตาออกไปมองภายนอก ซอยเล็กๆ นั้นมีแมวนั่งอยู่ตัวหนึ่ง

“ก็เหมือนแมวไง ย้ายไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าอยู่ที่ไหนแล้วสบายใจ”
ฉันตอบเล่นๆ ไปตามประสา แต่กลับพบว่า เขารีบจ้ำอ้าวไปยังแมวข้างกำแพงตัวนั้น หยิบจับขึ้นมาอุ้ม โอบแนบไว้กับไหล่เล็กๆ นั้น
“ตัวนี้ชื่อเจ้าทอง สีมันทองๆ เห็นไหม”
“อ้าว แมวเธอหรอกเหรอ”
ฉันถาม
“เปล่า มันเป็นแนวพเนจร ก็ให้อาหารกินบ้าง อยู่แถวนี้แหละ ไม่มีเจ้าของหรอก”
“อืม เป็นแมวนี่ดีนะ ชีวิตอิสระดี บางทีก็มีคนเก็บไปเลี้ยง”
ฉันพูดเรื่อยเปื่อยไปตามประสา เขากับแมวที่คุ้นเคยกัน หยอกล้ออย่างสนิทสนม ก่อนจะตอบว่า

“ถ้าโชคดีมีคนเลี้ยง มันก็เหมือนได้มีบ้าน ไม่ต้องร่อนเร่อีก”
“ฮื่อ แต่บางทีแมวก็เลือกเจ้าของนะ แม้อยากเลี้ยงแทบตาย มันก็ไม่อยู่กับเราหรอก ถ้าไม่อยากอยู่”

ฉันสำทับ เขารีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ในครู่นั้น แววตาอาวรณ์ของเพื่อน กลับทิ้งคว้างด้วยความว่างเปล่า ที่ฉันเดาไม่ออก และไม่อาจจะเข้าไปยังจิตใจของเขา

เขาก้มลงช้าๆ ปล่อยแมวให้ก้าวสู่พื้นดิน หันกลับไปเช็คข้าวของที่ช่วยกันขนขึ้นรถไว้หมดแล้ว
“คงคิดถึงกันน่าดู” ฉันเอ่ยปาก เขาเหมือนจะพยักหน้า แต่แววตากลับมองจ้องไปยังที่แมว

“เจ้าตัวนี้เคยปลอบใจเราบ่อย ยิ่งเวลาเมาๆ หรือเหงาๆ”
เขาพูดกับฉันหรือแมวก็ไม่ทราบได้ มองไปยังแมวตัวนั้น มันยังยืนพิงผนัง ส่งแววตามาไม่ขาดระยะ เหมือนจะเข้าใจในภาษาที่เราพูด เพียงแต่มันคงไม่อาจจะรู้ได้ ว่าเพื่อนคนนี้กำลังจะเดินทางไปไกล แล้วไม่ได้อยู่ที่นี่อีก

“เอาแมวไปด้วยสิเธอ”
ฉันบอกเล่นๆ เขาส่ายหน้าปฏิเสธ
“ให้มันอยู่ของมันแบบนี้ดีแล้ว ถึงพเนจร แต่ก็คงคุ้นเคย และเอาตัวรอดได้”
“เหมือนคนใช่ไหม”
“ฮื่อ ใช่ เหมือนเราแต่ก่อนไง”


เสียงรถสตาร์ทเครื่อง ข้าวของในกระบะหลังอัดแน่นอยู่ในกล่องลังสีน้ำตาล
คนขับก็พร้อมแล้ว เพื่อนผู้จากลากระโดดขึ้นนั่งข้างๆ ฉันหมดหน้าที่ในการช่วยยกข้าวของแล้ว จึงโบกมือลาช้าๆ

“ไว้เจอกันนะ”
“ฮื่อ คงได้เจอกัน ไม่แน่หรอก อาจจะต้องพเนจรกลับมาอีกก็ได้ ใครจะรู้”

เขาพูดเอาไว้อย่างนั้น แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไป ทิ้งฉันไว้กับแมวตัวนั้น
หันไปจ้องหน้า เหมือนมันอยากจะพูดอะไร
ฉันได้แต่พูดว่า
“ขอโทษด้วยนะ ที่พาไปอยู่ด้วยไม่ได้ แต่ไม่ต้องเสียใจนะ ยังไงเราก็ยังพเนจรเหมือนกันแหละ”
ไม่รู้มันจะเข้าใจฉันบ้างไหม ได้ยินแต่เสียงร้องแอ๊วๆ แล้วพยายามจะเดินเข้ามาใกล้ ถูตัวกับขาอย่างออดอ้อน

ฉันก็ต้องรีบเดินจากมา ก่อนที่จะใจอ่อนทำอะไรมากไปกว่านั้น
ในสมองหวนคิดถึงแมวตัวแล้วตัวเล่า ที่เคยพบหน้า ตัวที่อ้วนพีอาศัยอยู่ในวัด แมวกำพร้า ตัวผอมโซในซอกหนึ่งของร้านเหล้า แมวในถนนที่หมู่บ้านที่วิ่งหนีหมาหน้าตาตื่น ทุกๆ เช้า และแมวอีกหลายชีวิต ที่ผ่านและทักทายกัน โดยไม่อาจรู้ว่า บางตัวจะมีบ้านให้กลับบ้างไหม และมันฝันถึงสิ่งใดบ้างในชีวิต

“เถอะนะ บางทีการพเนจรก็เป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน”

01.jpg

03.jpg

04.jpg

05.jpg

06.jpg

07.jpg

08.jpg

09.jpg

10.jpg

11.jpg

13.jpg

14.jpg

15.jpg

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…