“อีกนานเลยสินะ กว่าจะได้เจอกัน”
สุ้มเสียงคนพูดเจือปนความอาวรณ์ ขณะโยนถุงใบเล็กใหญ่ใส่หลังรถกระบะสีขาวเก่าๆ ของเพื่อนผู้มีน้ำใจ เจ้าของรถหยอกเอินในฐานะเพื่อนสนิทว่า
“ตอนมามีเสื้อผ้าชุดเดียว ขากลับทำไมมีของเยอะนัก”
เขากำลังจะกลับบ้าน
ชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ที่รู้จักกันมาได้ปีกว่าแล้ว เขาเล่าว่า สมัยที่มาอยู่เชียงใหม่แรกๆ เพิ่งเรียนจบมัธยมสาม หางานทำในอำเภอไม่ได้ก็ลองเข้าเมืองมาเสี่ยงโชค
เวลานั้น กราบลาพ่อแม่ แล้วนั่งรถโดยสารมาด้วยราคา 45 บาท กับระยะทาง 100 กว่ากิโลเมตร
มาอาทิตย์แรก ตระเวนขออาศัยยังหอพักเพื่อนที่พอรู้จัก จะอยู่บ้านใครนานก็เกรงใจคนอื่น ตะลอนหางานทำ ตั้งแต่พนักงานขนของ เย็บปักถักร้อย ช่างฝีมือ จนได้งานทำเป็นพนักงานในโรงงานผลิตกระเป๋า แต่เดือนแรกที่ยังไม่ได้รับเงินเดือนก็ยังต้องอาศัยคนอื่นอยู่ไปก่อน จวบจนได้เงินเดือนก้อนแรก ถึงไปหาห้องเล็กๆ แถววัดเจ็ดยอดอาศัย ในราคาเดือนละ 500 บาท
“เคยผ่านแถวคูเมืองด้านในไหม จะมีร้านขายของราคาถูก ทุกอย่าง 10 บาท”
ฉันนึกทบทวนเส้นทาง แล้วก็ร้องอ๋อ พยักหน้าหงึกหงักๆ
“อืม ที่นั่นจะมีก๋วยเตี๋ยวฟรี ถ้วยเล็กๆ กับน้ำฟรี เขาบริการลูกค้า ผมไปกินทุกวัน เป็นเวลา 2 เดือน”
ฉันนึกภาพตาม ตลาดนัดราคาถูกขนาดกว้างใหญ่ ที่มีขายทุกสิ่งทุกอย่าง มีเสียงเพลงดังๆ มีดีเจเปิดเพลงเพื่อเร่งเร้าการซื้อของ เขามีน้ำดื่มไว้บริการด้วยแก้วกระดาษที่เขรอะไปด้วยฝุ่น ก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีลูกชิ้น ในชามพลาสติกเพื่อจูงใจให้คนเข้าร้าน นั่นคือที่พักพิงของคนพเนจร รวมทั้งเพื่อนของฉัน
เวลานี้นั้น เขาผ่านการทำงานในเมืองมา 5 ปีแล้ว สามารถซื้อข้าวของเครื่องใช้อำนวยความสะดวก ตั้งแต่เสื้อผ้า ตู้เย็น โทรทัศน์ และเครื่องเสียงขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังสอบเข้าเรียนต่อภาคค่ำในสถาบันราชภัฎจบจน จำได้ว่าฉันให้ของขวัญเขาเป็นรูปใส่กรอบใบเล็กๆ แล้วก็ดีใจไปกับความสำเร็จของเขา
แต่จากนั้นไม่นานนัก เขาก็โทรมาบอกว่า กำลังจะย้ายกลับบ้านแล้ว
“ไม่อยากอยู่ในเมืองแล้วเหรอ” ฉันถาม ก้มสำรวจข้าวของที่เขาขนออกมาจนหมดจากห้องเช่า
เขาไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับเอ่ยออกมาว่า
“อยากอยู่บ้านของตัวเอง”
“เหรอ ก็ดีนะ ได้อยู่ใกล้พ่อแม่ด้วย”
เขายิ้มขึ้นมา แววตาวาววับ
“เราทำงานอยู่นี่ แต่ละเดือนไม่มีเงินเก็บ แต่เราสุขอยู่คนเดียว ถ้าไปอยู่บ้าน อย่างน้อย สิบบาท ยี่สิบบาท ก็ยังได้กินกับพ่อแม่และน้อง มันสุขใจกว่า”
ฉันรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ไถ่ถามถึงอดีตก่อนจากมา รู้เพียงแต่ว่าวันนี้เขาคงจะพร้อมแล้ว ที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบที่ปรารถนา หรือไม่ เมืองใหญ่อาจกลืนกินบางสิ่งไปจากเขา มากไปกว่าที่เขาจะได้รับ
“เธอล่ะไม่อยากซื้อบ้านของตัวเองบ้างเหรอ”
เขาถามสวนมา ฉันสะดุดไปเล็กน้อย เหลือบสายตาออกไปมองภายนอก ซอยเล็กๆ นั้นมีแมวนั่งอยู่ตัวหนึ่ง
“ก็เหมือนแมวไง ย้ายไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าอยู่ที่ไหนแล้วสบายใจ”
ฉันตอบเล่นๆ ไปตามประสา แต่กลับพบว่า เขารีบจ้ำอ้าวไปยังแมวข้างกำแพงตัวนั้น หยิบจับขึ้นมาอุ้ม โอบแนบไว้กับไหล่เล็กๆ นั้น
“ตัวนี้ชื่อเจ้าทอง สีมันทองๆ เห็นไหม”
“อ้าว แมวเธอหรอกเหรอ” ฉันถาม
“เปล่า มันเป็นแนวพเนจร ก็ให้อาหารกินบ้าง อยู่แถวนี้แหละ ไม่มีเจ้าของหรอก”
“อืม เป็นแมวนี่ดีนะ ชีวิตอิสระดี บางทีก็มีคนเก็บไปเลี้ยง” ฉันพูดเรื่อยเปื่อยไปตามประสา เขากับแมวที่คุ้นเคยกัน หยอกล้ออย่างสนิทสนม ก่อนจะตอบว่า
“ถ้าโชคดีมีคนเลี้ยง มันก็เหมือนได้มีบ้าน ไม่ต้องร่อนเร่อีก”
“ฮื่อ แต่บางทีแมวก็เลือกเจ้าของนะ แม้อยากเลี้ยงแทบตาย มันก็ไม่อยู่กับเราหรอก ถ้าไม่อยากอยู่”
ฉันสำทับ เขารีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ในครู่นั้น แววตาอาวรณ์ของเพื่อน กลับทิ้งคว้างด้วยความว่างเปล่า ที่ฉันเดาไม่ออก และไม่อาจจะเข้าไปยังจิตใจของเขา
เขาก้มลงช้าๆ ปล่อยแมวให้ก้าวสู่พื้นดิน หันกลับไปเช็คข้าวของที่ช่วยกันขนขึ้นรถไว้หมดแล้ว
“คงคิดถึงกันน่าดู” ฉันเอ่ยปาก เขาเหมือนจะพยักหน้า แต่แววตากลับมองจ้องไปยังที่แมว
“เจ้าตัวนี้เคยปลอบใจเราบ่อย ยิ่งเวลาเมาๆ หรือเหงาๆ”
เขาพูดกับฉันหรือแมวก็ไม่ทราบได้ มองไปยังแมวตัวนั้น มันยังยืนพิงผนัง ส่งแววตามาไม่ขาดระยะ เหมือนจะเข้าใจในภาษาที่เราพูด เพียงแต่มันคงไม่อาจจะรู้ได้ ว่าเพื่อนคนนี้กำลังจะเดินทางไปไกล แล้วไม่ได้อยู่ที่นี่อีก
“เอาแมวไปด้วยสิเธอ”
ฉันบอกเล่นๆ เขาส่ายหน้าปฏิเสธ
“ให้มันอยู่ของมันแบบนี้ดีแล้ว ถึงพเนจร แต่ก็คงคุ้นเคย และเอาตัวรอดได้”
“เหมือนคนใช่ไหม”
“ฮื่อ ใช่ เหมือนเราแต่ก่อนไง”
เสียงรถสตาร์ทเครื่อง ข้าวของในกระบะหลังอัดแน่นอยู่ในกล่องลังสีน้ำตาล
คนขับก็พร้อมแล้ว เพื่อนผู้จากลากระโดดขึ้นนั่งข้างๆ ฉันหมดหน้าที่ในการช่วยยกข้าวของแล้ว จึงโบกมือลาช้าๆ
“ไว้เจอกันนะ”
“ฮื่อ คงได้เจอกัน ไม่แน่หรอก อาจจะต้องพเนจรกลับมาอีกก็ได้ ใครจะรู้”
เขาพูดเอาไว้อย่างนั้น แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไป ทิ้งฉันไว้กับแมวตัวนั้น
หันไปจ้องหน้า เหมือนมันอยากจะพูดอะไร
ฉันได้แต่พูดว่า
“ขอโทษด้วยนะ ที่พาไปอยู่ด้วยไม่ได้ แต่ไม่ต้องเสียใจนะ ยังไงเราก็ยังพเนจรเหมือนกันแหละ”
ไม่รู้มันจะเข้าใจฉันบ้างไหม ได้ยินแต่เสียงร้องแอ๊วๆ แล้วพยายามจะเดินเข้ามาใกล้ ถูตัวกับขาอย่างออดอ้อน
ฉันก็ต้องรีบเดินจากมา ก่อนที่จะใจอ่อนทำอะไรมากไปกว่านั้น
ในสมองหวนคิดถึงแมวตัวแล้วตัวเล่า ที่เคยพบหน้า ตัวที่อ้วนพีอาศัยอยู่ในวัด แมวกำพร้า ตัวผอมโซในซอกหนึ่งของร้านเหล้า แมวในถนนที่หมู่บ้านที่วิ่งหนีหมาหน้าตาตื่น ทุกๆ เช้า และแมวอีกหลายชีวิต ที่ผ่านและทักทายกัน โดยไม่อาจรู้ว่า บางตัวจะมีบ้านให้กลับบ้างไหม และมันฝันถึงสิ่งใดบ้างในชีวิต
“เถอะนะ บางทีการพเนจรก็เป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน”
วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่ ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…