Skip to main content

ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว

“ดีใจนะที่ปลอดภัย”

จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่เล่าถึงความฝันหรือแสดงความซนด้วยการแซวใครต่อใคร เธอเป็นน้องเล็กของกลุ่ม ที่เจอกันทีไรก็เห็นรอยยิ้มมาแต่ไกล แต่ตั้งแต่เธอเดินทางไปอยู่ที่โน่น การติดต่ออันน้อยนิดของเราก็พอจะให้รับรู้ได้ว่า เธอทั้งเหงา โดดเดี่ยว ไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม ผจญกับอากาศหนาวเย็น และฟังภาษาไม่ค่อยจะเข้าใจนัก

ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ เมืองของเธอก็อยู่ไม่ไกลนักจากพื้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่วนเธอปลอดภัยดี อพาร์ทเมนต์ของเธอก็แข็งแรงดี แต่ข่าวคราวรอบตัวของเธอ แต่ศพกับศพ มีร่องรอยความเสียหาย มีผู้สูญหายและติดอยู่ในซากปรักหักพังที่ยังเอาออกมาไม่ได้ เธอเล่าถึงบรรยากาศการจุดเทียนไว้อาลัยผู้จากไป ตอนเย็นๆ ผู้คนในเมืองต่างๆ พร้อมใจกันยืนไว้อาลัยให้ผู้เสียชีวิต บทสนทนาของเราในระยะนี้ แทบจะไม่มีคำอื่น นอกจากถามว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

เมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว เราจึงพอจะเริ่มสนทนากันได้บ้างถึงเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน เพื่อนที่โน่น โครงการหลังจากกลับเมืองไทย พอได้เห็นรอยยิ้มจางๆ อันมีความหวังของเธอ
เป็นเวลาเดียวกันกับที่เพื่อนสนิทอีกคนของฉัน โทรมาในยามสายของวันหนึ่งเพื่อที่จะบอกว่า
“ได้มองท้องฟ้าบ้างไหม?”
ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องโรแมนติก หรือบทสนทนาบางเบาของคนช่างฝัน แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ เธอบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นมาว่า
“เช้านี้เราเห็นเมฆแผ่นดินไหวล่ะ”
เพื่อนของฉันบอก ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แม้จะได้ผ่านตาบ้างกับข้อมูลเกี่ยวกับการเตือนภัยของแผ่นดินไหว เพื่อนของฉันเล่าว่า เมฆแผ่นดินไหวนั้นมีหลายประเภท มักจะมาแสดงให้เห็นก่อนเกิดเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนหน้า 2-3 วัน หรือเกิดภายในวันนั้นเลยก็มี เป็นต้นว่า

20080611 001  20080611 006
(ภาพตัวอย่างเมฆแผ่นดินไหวจากเวบไซต์ http://board.palungjit.com )

เมฆที่มีลักษณะเป็นก้อนรูปสี่เหลี่ยมแถบกว้าง อยู่นิ่งๆ บนท้องฟ้าราว 30 นาที แม้ลมแรงเท่าไหร่ เมฆก็ไม่กระจายตัวออก ข้อมูลหลายแห่งบอกว่า เมฆชนิดนี้อยู่ในเวลาเกิดแผ่นดินไหวถึง 90% ยิ่งแถบมีความหนาเท่าไหร่ ก็บอกถึงความรุนแรงของการสั่นสะเทือนมากเท่านั้น

20080611 002

ถัดมา เมฆที่มีลักษณะเหมือนเหมือนคลื่น กระจายอยู่ทั่วฟ้าเป็นผืนกว้าง และหยุดนิ่งเป็นเวลานาน มักจะเป็นสัญญาณบอกเช่นกันว่าจะเกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น

ในเวบบลอกของ “phyblass”  ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจในปรากฏการณ์แผ่นดินไหว ได้ช่วยแปลข้อมูลจากวิกิพีเดียภาคภาษาญี่ปุ่น เรียกว่า "เมฆอัลโตคิวมูลัส"  เป็นเมฆที่มีลักษณะเป็นก้อนสีขาวลอยอยู่ที่ระดับความสูง 2-7 กิโลเมตร เป็นหนึ่งใน 10 รูปแบบพื้นฐานของเมฆ จัดเป็นเมฆชั้นกลาง  บางครั้งเรียกว่าเมฆลายจุด หรือ เมฆแกะ มีสีขาวมองเห็นชัดเจน เมื่อขยายตัวเต็มท้องฟ้าเต็มที่ จะบดบังดวงอาทิตย์จนทำให้ฟ้ามืดได้ ก่อตัวขึ้นจากกระแสลมมวลอากาศเย็น เมื่ออากาศร้อนสัมผัสกับส่วนบน อิทธิพลคลื่นบรรยากาศจะทำให้แผ่กว้าง เห็นการเรียงตัวของเมฆชัดเจน ถือได้ว่าเป็นเมฆที่บ่งบอกถึงลางร้ายอะไรบางอย่าง

นอกจากนี้ ยังมีเมฆชนิดอื่นๆ อีก และถูกเรียกชื่อต่างกันออกไป เช่น เมฆรูปพัด จะเกิดก่อนแผ่นดินไหวราว 2-3 วัน มีรูปเหมือนพัดบนท้องฟ้า เชื่อว่าด้ามของพัดตรงกับบริเวณที่จะเกิดแผ่นดินไหว หรือเมฆก้อนที่คล้ายพายุหมุน เมื่อเกิดให้เห็นก็จะเกิดแผ่นดินไหวเช่นกัน

..............

“เธอว่ามันจะเป็นไปได้จริงไหม”
ฉันถามเพื่อนอย่างสนใจ ด้วยว่าเช้านี้เสียงของเธอตื่นเต้นมากที่ได้ออกไปยืนถ่ายก้อนเมฆแผ่นดินไหวอยู่แถวเขตปทุมธานี ส่วนบ้านของฉันฝนตกโปรยปรายและยังเดินทางอยู่ในรถเพื่อไปทำธุระ หลังจากคุยกับเธอได้แค่ 10 นาทีก็เปิดวิทยุ พบว่าวันเดียวกันนั้นมีข่าวแผ่นดินไหวพร้อมกันถึง 3 แห่ง คือ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้

20080611 005
(ภาพถ่ายฝีมือเพื่อนจากท้องฟ้าย่านปทุมธานี)

“ถ้าเราเห็นที่นี่ แต่ไหวที่ประเทศอื่น มันจะสัมพันธ์กันไหม”
เราสองคนทบทวนไปด้วยกัน อย่างเชื่อครึ่งและไม่เชื่อครึ่ง เพราะข้อมูลบางแห่งบอกเราไว้ว่า สิ่งนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันในเชิงอุตุนิยมวิทยา หากแต่เกิดจากการสังเกตของผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว อย่างไรก็ตามเช้าวานนี้ฉันตื่นมาเปิดประตูบ้านรับลม พร้อมกับการเจอเมฆรูปคลื่นกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า เดินไปหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้กะว่าจะส่งให้เพื่อนดู ไม่นานจากนั้น พี่สาวก็ส่งข่าวมาว่า ก่อนหน้านั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง สถานีอุตุนิยมวิทยาเชียงราย ก็แจ้งข่าวถึงเหตุแผ่นดินไหวที่จังหวัดเชียงราย มีจุดศูนย์กลางที่เวียงป่าเป่า และเกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง ติดต่อกัน

20080611 003
(ภาพถ่ายจากหน้าบ้านของฉันเอง)

คำถามมากมายผุดขึ้นในความคิด หากผืนเปลือกโลกของเราเป็นผืนเดียวกันหมด ปรากฏการณ์แห่งลมฟ้า อากาศ และก้อนเมฆล้วนอยู่ไม่ไกลกันนัก แล้วสิ่งที่ฉันเห็นอยู่บ่อยๆ บนท้องฟ้าที่ไกลนับหลายพันกิโลเมตรจากพื้นที่ประสบเหตุนั้น บอกอะไรกับเราได้บ้าง รวมถึงเมฆที่เพิ่งเห็นหยกๆ เมื่อวานนี้

บอกว่าใกล้จะถึงตาของพวกเราแล้ว หรือ บอกว่า มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นทุกวัน รอดูเถอะว่าด้ามพัดจะไปหยุดอยู่ตรงไหน หรือแล้วแต่โอกาสของสภาพแวดล้อม ลม ฝน แสง อากาศ ว่าจะปรากฏให้ใครได้เห็นก้อนเมฆเหล่านี้อยู่ที่ไหนของโลกบ้าง อย่างนั้นหรือเปล่า?

“บางครั้งเมฆอาจจะมาก่อนแผ่นดินไหว บางครั้งก็มาทีหลัง และอาจจะเกิดตอนกลางคืนที่เราไม่สามารถจะมองเห็นเมฆบนท้องฟ้าก็ได้นะ”
เพื่อนของฉันสรุปสั้นๆ  แบบนี้ เป็นเวลาเดียวกันกับที่น้องสาวจากประเทศจีนส่งข้อความมาว่า รอคอยเวลากลับบ้านใจจะขาด แน่นอนว่าเธอคงส่งความรู้สึกมาหาญาติมิตรผ่านอากาศและท้องฟ้าอยู่ทุกวัน

ฉันหยิบโปสการ์ดจากประเทศจีนของเธอมาดูอีกครั้ง ขอต้อนรับกลับบ้าน  คิดพลางส่งความรู้สึกผ่านไปยังผืนฟ้า ผืนเดียวกันที่สามารถเกิดก้อนเมฆรูปทรงประหลาดให้มองเห็นไม่เหมือนกันในแต่ละวัน ฉันนึกขอบคุณทั้งน้องสาวและเพื่อนที่ทำให้การส่งความคิดถึงมีคุณค่าสำหรับมากขึ้น

อย่างน้อยก็ทำให้อยากมองฟ้าทุกๆ วัน นอกจากได้คิดถึงกันแล้ว ยังได้สังเกตไปด้วยว่า วันนี้ท้องฟ้าเป็นแบบที่เราคิดอยู่หรือเปล่า หรือไม่ใช่? และสิ่งที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเราขณะนี้  บางทีใต้ท้องฟ้าอีกด้านของซีกโลก หรือกำลังจะมีข่าวร้ายเพื่อทดสอบมนุษย์ในวันไม่กี่วันข้างหน้า

ก็เป็นได้.

ข้อมูลเพิ่มเติม : ภาพถ่ายลักษณะต่างๆ ของเมฆแผ่นดินไหว ถูกบันทึกภาพโดย Zhonghao Shou  จากเวบไซต์http://www.dmr.go.th

20080611 c1 
01                                   02                                                                     03

รูป 01  - เมฆรูปเส้นตรง (Line-shaped cloud) พบบริเวณเมือง Pasadena ในวันที่ 8 มกราคม 2537 เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์แผ่นดินไหวในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ของวันที่  17 มกราคม 2537 ขนาด 6.7 ริกเตอร์

รูป 02  เมฆรูปคลื่น (Wave-shaped cloud) ที่บันทึกภาพได้วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2537 ก่อนเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.3 ริกเตอร์   ของวันที่ 20 มีนาคม 2537

รูป 03  เมฆรูปเส้นตรง ถ่ายภาพไว้วันที่ 31 สิงหาคม 2537 ก่อนเกิดแผ่นดินไหว ของวันที่ 1 กันยายน 2537 บริเวณนอกชายฝั่งทะเลตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ขนาด 7.1 ริกเตอร์

20080611 c2 
04                                   05                                                                     06

รูป 04  เมฆรูปขนนก (Feather-shaped cloud) ) ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในวันที่ 18 ตุลาคม 2537 ก่อนเกิดแผ่นดินไหวของวันที่ 27 ตุลาคม 2537 บริเวณนอกชายฝั่งทะเลของรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา  ขนาด 6.3 ริกเตอร์

รูป 05  เมฆรูปตะเกียง (Lantern-shaped cloud) ถูกบันทึกภาพได้เหนือท้องฟ้าเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2537 ก่อนเกิดแผ่นดินไหวของวันทื่ 19 กุมภาพันธ์ 2538ขนาด 6.8 ริกเตอร์ บริเวณนอกชายฝั่งทะเลตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

รูป 06  เมฆรูปรัศมี (Radiation-pattern-shape cloud) ที่ถูกถ่ายภาพไว้ได้วันที่ 22 กรกฎาคม 2539 ก่อนเกิดแผ่นดินไหว ของวันที่ 14 สิงหาคม 2539 ขนาด 4.4 ริกเตอร์ บริเวณเมือง Joshua Tree 

20080611 007
07

รูป 07 ภาพปรากฏการณ์เมฆเรืองแสงประหลาด ที่เกิดขึ้นเหนือท้องฟ้าในจีน ประมาณ 30 นาที ก่อนเกิดเหตุธรณีพิบัติอย่างรุนแรง  ภาพนี้บันทึกได้ที่เมือง Meixian ในมณฑลชานซี ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการเตือนภัยของธรรมชาติก่อนเกิดแผ่นดินไหว (จาก http://www.matichon.co.th)

 

ข้อมูลอ้างอิงประกอบจาก

- http://ikamiso.exteen.com/20080507/entry-3
- http://my.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=267891&chapter=4
- http://www.dmr.go.th/geohazard/earthquake_n/precursory.htm
- http://ikamiso.exteen.com
- http://board.palungjit.com/showthread.php?t=80328&page=10
- http://www.matichon.co.th/news_scoop.php?id=200

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
ความชื้นแฉะเหล่านั้นคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง หยดน้ำที่ทำให้พื้นดินที่สีดำขึ้นมากกว่าปกติ ดินที่นุ่มลง หญ้าที่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ฉันว่ามันชุ่มฉ่ำดีเหมือนกัน เมื่อฤดูฝนยาวกว่าที่เราคิด และปีนี้ ฝนก็ตกบ่อยกว่าปีที่ผ่านมา
วาดวลี
ท้องฟ้าอ้อยสร้อยแบบนั้นแหละ ที่คนแถวบ้านฉันรำพึงกันว่า เป็นความชุ่มฉ่ำต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษา ฝนตกเอื่อยๆ พรมความชื้นไปทั่วถนนเล็กๆ ของหมู่บ้านเรา แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อที่จะออกไปทำบุญ ดอกไม้ธูปเทียน อาหารคาวหวาน ข้าวตอกดอกไม้ คนข้างบ้านของฉันซึ่งเป็นครอบครัวที่ขยันทำงานไม่มีวันหยุด ก็ยังเอ่ยปากบอกว่า หยุดงานสักวันสองวันดีกว่า นอกจากไปทำบุญแล้ว ก็ยังได้หยุดอยู่บ้านกับครอบครัวอีกด้วย
วาดวลี
นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า
วาดวลี
 “รักของพี่กับเขาเริ่มตรงนี้”ตรงที่พี่ชายพูด มันคือถนนเส้นหนึ่ง ที่ตัดผ่านกลางระหว่างคูเมืองด้านในของเชียงใหม่ ไปยังชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนมีอาหารพื้นเมืองขาย มีส้มตำ ไก่ย่าง ร้านรวง บริษัท รวมทั้งวัดเก่าแก่สวยงาม   ฉันก้มลงไปมองตามนิ้วชี้ของเขา ที่ตรงนั้น คือฝาท่อกลมๆ เก่าๆ ปิดรอยโหว่ขี้เหร่ของถนนเอาไว้“ตรงนี้น่ะหรือ จุดเริ่มต้นของความรัก”ฉันทำหน้าไม่อยากเชื่อ พี่ชายยิ้มที่มุมปาก แล้วพยักหน้า “มีอยู่วันหนึ่ง พี่มาก้มๆ เงยๆ ผูกเชือกรองเท้าตรงนี้ ว่าจะเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าข้างหน้านั่น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมยาว ผิวขาว หน้าตาก็ไม่สวยมาก…
วาดวลี
“บ้านพอมีที่เหลือว่างไหม” คนถามฉันเป็นชายหนุ่ม ที่นับนามว่าเป็น “เพื่อน” กัน มาได้ 4 ปีแล้ว ความจริง เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เมื่อรู้จักกันได้นับปี ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาน่าจะเป็น “คนดี” พอในแบบที่ร้องขออะไร แล้วเราไม่กล้าที่จะไม่ให้ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือลำบากใจกันจริงๆ มาครั้งนี้ บนถ้อยคำอาวรณ์ น้ำเสียงเขาหม่นเศร้า แววตาก็หม่นเศร้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ เช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดสายสาดส่องให้อบอุ่น บนฟ้ามีก้อนเมฆปุกปุยสีขาว ไหลไปมาบนพื้นสีคราม สวยยิ่งกว่าสวย แต่เขาคนนี้มีแววเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
วาดวลี
 ๑. จะมี อะไรบ้าง ยั่งยืน ? กลางวัน กลางคืน แดด ฝน ลม หนาว มนุษย์ สมมุติ ชั่วคราว ว่าเรา ครอบครอง เพื่อ "ของเรา" ๒. ไยแย่งโอบกอดอนาคต แล้วเอ่ยกล่าวโทษวันเก่า ไยถก ไยเถียง เรื่องเงา ที่ลาลับ ล่วงกับ ดวงตะวัน 
วาดวลี
เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมายเธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 
วาดวลี
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว“ดีใจนะที่ปลอดภัย”จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ…
วาดวลี
"เธอว่าเราจะไปไหน ?"ฉันถาม แล้วก็ก้าวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยไม่รอคำตอบมาถึง เสียงติดเครื่องของรถคันเก่าดั่งกระหึ่ม ยามบ่ายๆ ของวันหยุดที่เราควรจะได้เดินทางบ้าง แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ หรือยามว่างอันน้อยนิด ฉันอยากออกไปสูดอากาศ ส่วนเธออยากขี่รถเล่นเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีฝน แม้จะไม่มีแดด แต่ก้อนเมฆยามบ่ายขับเคลื่อนราวว่า อีกนานกว่าพายุจะคลุมเมืองไว้อีกครั้ง
วาดวลี
ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)
วาดวลี
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้…
วาดวลี
ฝนยังโปรยลงมาไม่ขาดสาย แม้จะเพิ่งผ่านเดือนเมษายนมาได้ไม่เท่าไหร่  ท้องทุ่งฉ่ำไปด้วยฝนและดูจะมากไปจนน่าวิตก ลานกว้างหน้าบ้านของยายปลีวันนี้จึงไม่มีเด็กๆ มาวิ่งเล่น แต่หลบฝนกันไปวาดรูปเล่นอยู่ตรงชานเรือน หลานอีกคนทำหน้าตาเบื่อเพราะอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน นี่เป็นวันธรรมดาที่อาจมีทั้งความหมายหรือไม่มี สำหรับยายปลี เพราะหลังจากแกเก็บผ้าเข้าไปตากใต้ยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมานั่งอยู่ประจำที่ อยู่กับเครื่องทอด้ายแบบสมัยโบราณ มันทำจากไม้ และไม่รู้ว่ามันมีอายุมาแล้วเท่าไหร่