Skip to main content

ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว

“ดีใจนะที่ปลอดภัย”

จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่เล่าถึงความฝันหรือแสดงความซนด้วยการแซวใครต่อใคร เธอเป็นน้องเล็กของกลุ่ม ที่เจอกันทีไรก็เห็นรอยยิ้มมาแต่ไกล แต่ตั้งแต่เธอเดินทางไปอยู่ที่โน่น การติดต่ออันน้อยนิดของเราก็พอจะให้รับรู้ได้ว่า เธอทั้งเหงา โดดเดี่ยว ไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม ผจญกับอากาศหนาวเย็น และฟังภาษาไม่ค่อยจะเข้าใจนัก

ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ เมืองของเธอก็อยู่ไม่ไกลนักจากพื้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่วนเธอปลอดภัยดี อพาร์ทเมนต์ของเธอก็แข็งแรงดี แต่ข่าวคราวรอบตัวของเธอ แต่ศพกับศพ มีร่องรอยความเสียหาย มีผู้สูญหายและติดอยู่ในซากปรักหักพังที่ยังเอาออกมาไม่ได้ เธอเล่าถึงบรรยากาศการจุดเทียนไว้อาลัยผู้จากไป ตอนเย็นๆ ผู้คนในเมืองต่างๆ พร้อมใจกันยืนไว้อาลัยให้ผู้เสียชีวิต บทสนทนาของเราในระยะนี้ แทบจะไม่มีคำอื่น นอกจากถามว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

เมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว เราจึงพอจะเริ่มสนทนากันได้บ้างถึงเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน เพื่อนที่โน่น โครงการหลังจากกลับเมืองไทย พอได้เห็นรอยยิ้มจางๆ อันมีความหวังของเธอ
เป็นเวลาเดียวกันกับที่เพื่อนสนิทอีกคนของฉัน โทรมาในยามสายของวันหนึ่งเพื่อที่จะบอกว่า
“ได้มองท้องฟ้าบ้างไหม?”
ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องโรแมนติก หรือบทสนทนาบางเบาของคนช่างฝัน แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ เธอบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นมาว่า
“เช้านี้เราเห็นเมฆแผ่นดินไหวล่ะ”
เพื่อนของฉันบอก ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แม้จะได้ผ่านตาบ้างกับข้อมูลเกี่ยวกับการเตือนภัยของแผ่นดินไหว เพื่อนของฉันเล่าว่า เมฆแผ่นดินไหวนั้นมีหลายประเภท มักจะมาแสดงให้เห็นก่อนเกิดเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนหน้า 2-3 วัน หรือเกิดภายในวันนั้นเลยก็มี เป็นต้นว่า

20080611 001  20080611 006
(ภาพตัวอย่างเมฆแผ่นดินไหวจากเวบไซต์ http://board.palungjit.com )

เมฆที่มีลักษณะเป็นก้อนรูปสี่เหลี่ยมแถบกว้าง อยู่นิ่งๆ บนท้องฟ้าราว 30 นาที แม้ลมแรงเท่าไหร่ เมฆก็ไม่กระจายตัวออก ข้อมูลหลายแห่งบอกว่า เมฆชนิดนี้อยู่ในเวลาเกิดแผ่นดินไหวถึง 90% ยิ่งแถบมีความหนาเท่าไหร่ ก็บอกถึงความรุนแรงของการสั่นสะเทือนมากเท่านั้น

20080611 002

ถัดมา เมฆที่มีลักษณะเหมือนเหมือนคลื่น กระจายอยู่ทั่วฟ้าเป็นผืนกว้าง และหยุดนิ่งเป็นเวลานาน มักจะเป็นสัญญาณบอกเช่นกันว่าจะเกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น

ในเวบบลอกของ “phyblass”  ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจในปรากฏการณ์แผ่นดินไหว ได้ช่วยแปลข้อมูลจากวิกิพีเดียภาคภาษาญี่ปุ่น เรียกว่า "เมฆอัลโตคิวมูลัส"  เป็นเมฆที่มีลักษณะเป็นก้อนสีขาวลอยอยู่ที่ระดับความสูง 2-7 กิโลเมตร เป็นหนึ่งใน 10 รูปแบบพื้นฐานของเมฆ จัดเป็นเมฆชั้นกลาง  บางครั้งเรียกว่าเมฆลายจุด หรือ เมฆแกะ มีสีขาวมองเห็นชัดเจน เมื่อขยายตัวเต็มท้องฟ้าเต็มที่ จะบดบังดวงอาทิตย์จนทำให้ฟ้ามืดได้ ก่อตัวขึ้นจากกระแสลมมวลอากาศเย็น เมื่ออากาศร้อนสัมผัสกับส่วนบน อิทธิพลคลื่นบรรยากาศจะทำให้แผ่กว้าง เห็นการเรียงตัวของเมฆชัดเจน ถือได้ว่าเป็นเมฆที่บ่งบอกถึงลางร้ายอะไรบางอย่าง

นอกจากนี้ ยังมีเมฆชนิดอื่นๆ อีก และถูกเรียกชื่อต่างกันออกไป เช่น เมฆรูปพัด จะเกิดก่อนแผ่นดินไหวราว 2-3 วัน มีรูปเหมือนพัดบนท้องฟ้า เชื่อว่าด้ามของพัดตรงกับบริเวณที่จะเกิดแผ่นดินไหว หรือเมฆก้อนที่คล้ายพายุหมุน เมื่อเกิดให้เห็นก็จะเกิดแผ่นดินไหวเช่นกัน

..............

“เธอว่ามันจะเป็นไปได้จริงไหม”
ฉันถามเพื่อนอย่างสนใจ ด้วยว่าเช้านี้เสียงของเธอตื่นเต้นมากที่ได้ออกไปยืนถ่ายก้อนเมฆแผ่นดินไหวอยู่แถวเขตปทุมธานี ส่วนบ้านของฉันฝนตกโปรยปรายและยังเดินทางอยู่ในรถเพื่อไปทำธุระ หลังจากคุยกับเธอได้แค่ 10 นาทีก็เปิดวิทยุ พบว่าวันเดียวกันนั้นมีข่าวแผ่นดินไหวพร้อมกันถึง 3 แห่ง คือ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้

20080611 005
(ภาพถ่ายฝีมือเพื่อนจากท้องฟ้าย่านปทุมธานี)

“ถ้าเราเห็นที่นี่ แต่ไหวที่ประเทศอื่น มันจะสัมพันธ์กันไหม”
เราสองคนทบทวนไปด้วยกัน อย่างเชื่อครึ่งและไม่เชื่อครึ่ง เพราะข้อมูลบางแห่งบอกเราไว้ว่า สิ่งนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันในเชิงอุตุนิยมวิทยา หากแต่เกิดจากการสังเกตของผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว อย่างไรก็ตามเช้าวานนี้ฉันตื่นมาเปิดประตูบ้านรับลม พร้อมกับการเจอเมฆรูปคลื่นกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า เดินไปหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้กะว่าจะส่งให้เพื่อนดู ไม่นานจากนั้น พี่สาวก็ส่งข่าวมาว่า ก่อนหน้านั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง สถานีอุตุนิยมวิทยาเชียงราย ก็แจ้งข่าวถึงเหตุแผ่นดินไหวที่จังหวัดเชียงราย มีจุดศูนย์กลางที่เวียงป่าเป่า และเกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง ติดต่อกัน

20080611 003
(ภาพถ่ายจากหน้าบ้านของฉันเอง)

คำถามมากมายผุดขึ้นในความคิด หากผืนเปลือกโลกของเราเป็นผืนเดียวกันหมด ปรากฏการณ์แห่งลมฟ้า อากาศ และก้อนเมฆล้วนอยู่ไม่ไกลกันนัก แล้วสิ่งที่ฉันเห็นอยู่บ่อยๆ บนท้องฟ้าที่ไกลนับหลายพันกิโลเมตรจากพื้นที่ประสบเหตุนั้น บอกอะไรกับเราได้บ้าง รวมถึงเมฆที่เพิ่งเห็นหยกๆ เมื่อวานนี้

บอกว่าใกล้จะถึงตาของพวกเราแล้ว หรือ บอกว่า มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นทุกวัน รอดูเถอะว่าด้ามพัดจะไปหยุดอยู่ตรงไหน หรือแล้วแต่โอกาสของสภาพแวดล้อม ลม ฝน แสง อากาศ ว่าจะปรากฏให้ใครได้เห็นก้อนเมฆเหล่านี้อยู่ที่ไหนของโลกบ้าง อย่างนั้นหรือเปล่า?

“บางครั้งเมฆอาจจะมาก่อนแผ่นดินไหว บางครั้งก็มาทีหลัง และอาจจะเกิดตอนกลางคืนที่เราไม่สามารถจะมองเห็นเมฆบนท้องฟ้าก็ได้นะ”
เพื่อนของฉันสรุปสั้นๆ  แบบนี้ เป็นเวลาเดียวกันกับที่น้องสาวจากประเทศจีนส่งข้อความมาว่า รอคอยเวลากลับบ้านใจจะขาด แน่นอนว่าเธอคงส่งความรู้สึกมาหาญาติมิตรผ่านอากาศและท้องฟ้าอยู่ทุกวัน

ฉันหยิบโปสการ์ดจากประเทศจีนของเธอมาดูอีกครั้ง ขอต้อนรับกลับบ้าน  คิดพลางส่งความรู้สึกผ่านไปยังผืนฟ้า ผืนเดียวกันที่สามารถเกิดก้อนเมฆรูปทรงประหลาดให้มองเห็นไม่เหมือนกันในแต่ละวัน ฉันนึกขอบคุณทั้งน้องสาวและเพื่อนที่ทำให้การส่งความคิดถึงมีคุณค่าสำหรับมากขึ้น

อย่างน้อยก็ทำให้อยากมองฟ้าทุกๆ วัน นอกจากได้คิดถึงกันแล้ว ยังได้สังเกตไปด้วยว่า วันนี้ท้องฟ้าเป็นแบบที่เราคิดอยู่หรือเปล่า หรือไม่ใช่? และสิ่งที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเราขณะนี้  บางทีใต้ท้องฟ้าอีกด้านของซีกโลก หรือกำลังจะมีข่าวร้ายเพื่อทดสอบมนุษย์ในวันไม่กี่วันข้างหน้า

ก็เป็นได้.

ข้อมูลเพิ่มเติม : ภาพถ่ายลักษณะต่างๆ ของเมฆแผ่นดินไหว ถูกบันทึกภาพโดย Zhonghao Shou  จากเวบไซต์http://www.dmr.go.th

20080611 c1 
01                                   02                                                                     03

รูป 01  - เมฆรูปเส้นตรง (Line-shaped cloud) พบบริเวณเมือง Pasadena ในวันที่ 8 มกราคม 2537 เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์แผ่นดินไหวในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ของวันที่  17 มกราคม 2537 ขนาด 6.7 ริกเตอร์

รูป 02  เมฆรูปคลื่น (Wave-shaped cloud) ที่บันทึกภาพได้วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2537 ก่อนเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.3 ริกเตอร์   ของวันที่ 20 มีนาคม 2537

รูป 03  เมฆรูปเส้นตรง ถ่ายภาพไว้วันที่ 31 สิงหาคม 2537 ก่อนเกิดแผ่นดินไหว ของวันที่ 1 กันยายน 2537 บริเวณนอกชายฝั่งทะเลตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ขนาด 7.1 ริกเตอร์

20080611 c2 
04                                   05                                                                     06

รูป 04  เมฆรูปขนนก (Feather-shaped cloud) ) ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในวันที่ 18 ตุลาคม 2537 ก่อนเกิดแผ่นดินไหวของวันที่ 27 ตุลาคม 2537 บริเวณนอกชายฝั่งทะเลของรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา  ขนาด 6.3 ริกเตอร์

รูป 05  เมฆรูปตะเกียง (Lantern-shaped cloud) ถูกบันทึกภาพได้เหนือท้องฟ้าเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2537 ก่อนเกิดแผ่นดินไหวของวันทื่ 19 กุมภาพันธ์ 2538ขนาด 6.8 ริกเตอร์ บริเวณนอกชายฝั่งทะเลตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

รูป 06  เมฆรูปรัศมี (Radiation-pattern-shape cloud) ที่ถูกถ่ายภาพไว้ได้วันที่ 22 กรกฎาคม 2539 ก่อนเกิดแผ่นดินไหว ของวันที่ 14 สิงหาคม 2539 ขนาด 4.4 ริกเตอร์ บริเวณเมือง Joshua Tree 

20080611 007
07

รูป 07 ภาพปรากฏการณ์เมฆเรืองแสงประหลาด ที่เกิดขึ้นเหนือท้องฟ้าในจีน ประมาณ 30 นาที ก่อนเกิดเหตุธรณีพิบัติอย่างรุนแรง  ภาพนี้บันทึกได้ที่เมือง Meixian ในมณฑลชานซี ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการเตือนภัยของธรรมชาติก่อนเกิดแผ่นดินไหว (จาก http://www.matichon.co.th)

 

ข้อมูลอ้างอิงประกอบจาก

- http://ikamiso.exteen.com/20080507/entry-3
- http://my.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=267891&chapter=4
- http://www.dmr.go.th/geohazard/earthquake_n/precursory.htm
- http://ikamiso.exteen.com
- http://board.palungjit.com/showthread.php?t=80328&page=10
- http://www.matichon.co.th/news_scoop.php?id=200

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…