รวิวาร
เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอ ฉันมักจะฝันถึงเธอเสมอเวลาที่เราอยู่ไกลห่าง เธอยังเหมือนเดิม ส่งเสียงแจ้ว ๆ ไถ่ถามสิ่งต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เธอคือเด็กน้อยน่ารักที่สุด ความรู้สึกของเธอ หัวใจของเธอ ฉันรู้จักดีที่สุด แม่ของเธอคิดถึงเธออยู่นะสาวน้อย พ่อทางใจน้ำตาคลอขณะพับเสื้อกระโปรงตัวจิ๋วของนกน้อยต้อยตีวิด ส่วนพี่สาวที่ชอบข่มขู่ดุว่า แต่ก็ถลาไปปกป้องน้องยามมีภัยบ่นอยู่นั่นแล้วว่า คิดถึงเธอเหลือเกิน ใครจะรู้สึกถึงดินฟ้าได้เท่าเจ้านกน้อย สำหรับเธอแล้ว ก้อนกรวดที่พบตามพื้นดินหรือในลำธารสวยเสียจนต้องเก็บมาพินิจ เช่นเดียวกับลูกปัด ลูกแก้ว พลาสติกหรือพลอยเทียมราคาถูก ต้นไม้ดอกไม้ แมลงตัวเล็ก ๆ นกและกระต่ายป่า สำหรับเธอแล้วช่างน่าอัศจรรย์ เธอถึงกับกำชับทุกคนว่า อย่าลืมเตือนเมื่อถึงเวลาดู สารคดีสัตว์โลก รายการโปรด
มาลำ
วันนี้แล้วที่ฉันต้องจากพ่อไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าเราจะได้พบกัน ความเป็นห่วงพ่อยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจฉัน ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว เช้านี้ฉันเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของโรงพยาบาล จากประตูห้องพ่อ เดินตรงไป ถึงบันได ลงไปชั้นล่างสุด เลี้ยวขวาถึงร้านกาแฟร้านแรก ฉันซื้อกาแฟสดหนึ่งถ้วย เดินออกมาจากร้านแล้วไปร้านขายตั๋วรถที่อยู่ทางขวามือ ตรงข้ามกับร้านกาแฟ เป็นร้านเดียวในโรงพยาบาลที่ขายตั๋วเดินทางทั้งรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คนขายถามฉัน เดินทางวันไหน ฉันตอบแล้วใจหาย พ่อนั่งมองฉันเก็บข้าวของสองสามอย่างใส่กระเป๋า อย่าลืมอะไรไว้นะลูก เก็บของให้หมดไม่ต้องรีบร้อนหรอก เหลือเวลาอีกตั้งนานกว่ารถจะออก
อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
วันหนึ่งปลายฤดูหนาวของลอนดอน ณ Natural History Museum ย่าน South Kensington เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมมีโอกาสได้ไปเดินชมนิทรรศการภาพถ่ายทางอากาศนิทรรศการหนึ่ง จำความรู้สึกของตัวเองขณะนั่งรถไฟใต้ดินไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ว่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่กำลังจะได้ชมภาพถ่ายเหล่านี้ที่กำลังแสดงอยู่อย่างใกล้ชิด “Earth From Above” By Yann Arthus-Bertrand…สาเหตุก็คือเมื่อหลายปีก่อนหน้านั้นไปอีก ผมได้เห็นหนังสือชื่อเดียวกันนี้เป็นหนังสือปกแข็งขนาดเขื่องวางขายอยู่ในร้านหนังสือต่างประเทศในกรุงเทพฯ ภาพปกเป็นภาพสีเขียวขจีของดินแดนหนึ่งที่มีรอยโค้งเว้าของแผ่นดินซึ่งเมื่อมองลงมาเบื้องบนกลับดินแดนนั้นมีลักษณะเหมือนรูปหัวใจ เมื่อได้เปิดชมภาพงามๆ แสนจะน่ากังขาว่าช่างภาพสามารถเก็บภาพเหล่านี้มาได้อย่างไร ก็ทำให้ตกหลุมรักภาพถ่ายทางอากาศฝีมือช่างภาพหนุ่มใหญ่ชาวฝรั่งเศสคนนี้จนต้องรีบจดจำชื่อเสียงเรียงนามเขาเอาไว้ กระทั่งมีโอกาสได้ชมภาพเหล่านี้ที่ลอนดอนในอีกไม่นานปีต่อมา
แสงพูไช อินทะวีคำ
มองฟากฟ้า นพาแจ่ม กระจ่าง ทางเบื้องบนเหมือนดั่งคน พ้นเคราะช้ำ ในกรรมเก่าพ้นจากทุกข์ พ้นจากเวร พ้นจากความเหงาทำให้เรา และท่าน เบีกบานใจ วันนี้แจ่ม วันหน้าหมอง ครองคู่กันผ่านคืนวัน ที่เศร้าหมอง แล้วสุขใจสลับเปรียน หมูนเวียน เช่นนี้ไปพอทนได้ เพราะคู่กัน ดังฉันและเธอ แต่ฟ้าแจ่ม เพียงหน้อยนิด ซิคิดมากทนลำบาก เพราะฟ้าครื้ม กระหื่มฝนขู่คำราม แผดเสียง อยู่เบื้องบนทำเอาคน ใต้ล้า หน้าเศร้าหมอง หลายคนแล ดูฟ้า นพาสลับนอนนั่งนับ เดือนปี ให้เปรียนผลเปรียนจากฟ้า คะนองกระหื่ม อยู่เบื้องบนให้เป็นผล งอกงาม ตามกฎเกณท์ วันใดหนอ ฟากฟ้า จะสดใสพอให้มวล พืชไม้ ได้เกีดผลเกีดไปตาม กฎเกณท์ ของความเป็นคนให้หลุดพ้น จากกงกรรม และกงเกวียน
ชนกลุ่มน้อย
ภาพขาวดำที่มีอายุยืนยาว เหมือนแสงส่องเข้าไปไม่ถึง ตรึงอยู่ในเบื้องลึกของก้นบึ้งความทรงจำ มันแตกพร่ามาสั่นไหวดวงใจทุกครั้งที่นึกรำลึก จริงเหมือนไม่เคยมีจริง ภาพเบลอมัวหม่นเต็มไปด้วยความรู้สึกดีเหลือเกิน ปลอดภัย เป็นสุข สงบ ไม่ร้อน ไม่รน สีของความเก่าแก่ สีของนักบวช เพียงไม่นึกถึงมันก็ถอยร่นไปอยู่ลึก ราวกับถูกลืมเลือนหายไปสิ้นผมกลับไปเดินบนทางดินสายนั้น ทางเลียบลำคลองที่ออกไปสู่ทะเลสาบสงขลา ทำให้นึกถึงครั้งหนึ่ง เคยเดินตามหลังแม่ชีทุกเช้า กลิ่นแม่ชีเป็นกลิ่นนักบวช โชยเข้าจมูกมาจนถึงปัจจุบัน เป็นกลิ่นที่ราวกับมัดผูกไว้กับต้นไม้ภายใน ที่ไม่เคยผลัดใบเปลี่ยนสีกลิ่นเป็นอื่นแม่ชีเดินอุ้มบาตร เด็กชายวัยสิบสองสิบสามปีเดินถือปิ่นโต ทางเดินของแม่ชีไม่ต่างไปจากวันก่อน เริ่มต้นจากกุฏิไม้หลังคามุงจาก ทุกอย่างวางตั้งอยู่ในนั้น แม่ชีมีสิ่งของเครื่องใช้ไม่กี่อย่าง ชามช้อนแค่จำนวนนิ้วมือข้างเดียว ไม่มีหม้อ มีแต่กาน้ำกับไม้ฟืน มีกระติกน้ำร้อน แก้วน้ำสองสามใบ ไม่มีตู้ใส่เสื้อผ้า เสื้อแม่ชีสองสามชุดเก่าๆทั้งนั้น พาดอยู่ตามฝา ซ้อนทับอยุ่บนพื้นไม้เก่าๆ มีกลิ่นธูปเทียนโชยอยู่ตลอดเวลา ทางดินเท่าฝ่าเท้า เดินกันจนเป็นร่องลึก เด็กชายเดินเงียบตามหลัง ได้ยินเสียงลมพัดใบมะพร้าว เสียงนกร้องชัดเจนมาก ทางดินตัดผ่านเขตแดนที่ไม่มีรั้วบ้าน ตัดผ่านสวนผลไม้จำพวกมังคุด ละมุด(สะหวา) ฝรั่ง ชมพู่มะเหมี่ยว ลางสาด น้อยหน่า มะปริง มะปราง มะไฟ มะม่วง หมาก มะพร้าว ฯลฯ เป็นสวนผลไม้ที่ต่อเนื่องกันไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนแม่ชีเดินวนๆอยู่ในสวนผลไม้ แม่ชีเดินไปทางไหน เด็กชายเดินตามหลัง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบ้านไม้เก่าๆซุกซ่อนตัวอยู่ในสวนผลไม้ เต็มไปด้วยใบหน้าคนจีนแก่ๆ บ้านทุกหลังรู้จักกันหมด รู้ว่าใครเป็นลูกใคร
ฐาปนา
(มะพร้าวกะทิ)ตอนอายุสิบขวบ ผมค้นพบว่าโลกนี้มีผลไม้ประหลาดที่เรียกว่า “มะพร้าวกะทิ” เมื่อพ่อซื้อมันมาจากตลาดฟังดูน่าหัวเราะ เหมือนชาวเมืองมาคอนโดค้นพบว่าโลกนี้มีน้ำแข็ง ในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวแต่นี่คือเรื่องจริงในวัยเด็กของผมอาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่นที่ผมอยู่ ไม่ใช่ของที่หากินได้ทั่วไป จึงได้มีราคาสูงถึงลูกละ 50 บาท ซึ่งแน่ละ สำหรับยี่สิบปีก่อน ถือว่า แพงมาก แล้วเมื่อแพงขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ใช่ของที่จะซื้อกันบ่อยๆผมจำความตื่นเต้นในการเจอหน้าครั้งแรกได้ดี มะพร้าวอะไรกัน มีเนื้อเต็มลูก ไม่แข็งแต่นิ่มๆ หยุ่นๆ รสชาติก็ลื่นๆ มันๆ ราวกับกำลังเคี้ยวเนยก้อน จะว่าอร่อยก็ไม่เชิง จะว่าไม่อร่อยก็ไม่ใช่ เมื่อกินพร้อมกับน้ำตาลทราย กลับหวานมันเพลินปากตอนนั้นผมคิดตามประสาเด็กว่า ทำไมจึงเรียกว่ามะพร้าวกะทิ น่าจะเรียกว่า มะพร้าวเนยมากกว่าหลายปีต่อมา ผมได้พบเจอกับเจ้ามะพร้าวกะทิอีกครั้งสองครั้ง แต่ไม่ค่อยประทับใจนัก เพราะรสชาติ ออกจะมันเลี่ยนเกินบ้าง เก่าจนเหม็นหืนบ้าง ทั้งผมเองก็ไม่ได้ติดอกติดใจเป็นพิเศษ จึงไม่ได้ขวนขวายจนกระทั่ง วันหนึ่ง หลังจากจัดข้าวของเข้าที่เข้าทางแล้ว แม่บ้านของผมไปสอยมะพร้าวข้างบ้านมากองรวมกันไว้ เนื่องจากมีคนมาติดต่อขอซื้อมะพร้าว เธอชี้ให้ผมดูมะพร้าวต้นที่อยู่หน้าบ้านด้านติดกับถนน“ต้นนี้แหละ...มะพร้าวกะทิ”
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ได้รับจดหมายที่ส่งต่อๆ กันมา (Forward mail) ฉบับด้านล่างนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เพราะนี่เข้าเดือนที่ 6ของปีแล้ว...)“สาส์นจากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008 นี้ แล้ว…คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมากข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต
แสงดาว ศรัทธามั่น
*1 เรียวนิ้ว บรรเลง เพลง บลูส์ กีร์ต้า เรียวปาก พริ้ม ฮาร์โมนิการ์ขับขาน*2 กลอง บองโก้ บรรเลง เพลงรัก ฉ่ำชื่นบาน โอบกอดโลก สุข สราญย์เบิกบาน ชีวี สาก มือ นิ้ว ด้าน ด้าน เหนี่ยว ไกปืน ผงาดยืน สาดกระสุนใส่ ในทุกที่ *3 ระเบิดบาป กระสุนบ้า ณ เพลานี้ ถล่มโลก ให้ป่นปี้ ด้วย ไ ฟ ส ง ค ร า ม*4 เธอ “ผิวปากเป็นบทเพลงแห่งความคิดถึง” เพราะรักจึงจิตวิญญาณ – หัวใจ มิอาจห้าม เพลงสะล้อซอซึง – ขลุ่ย-แคน-ไวโอลิน... พริ้มพริ้วตาม โอ้... เพลงรองเง็ง เพลงนิยามแห่งรัก ... จึงโบกบิน ปัง ปัง ปั้ง วิดบูมบ์ ถล่มไป จรวด ปืน นิวเคลียร์ ห่ากระสุนไซร์ มิสุดสิ้น สงคราม อวิชชาบนโลก บนแผ่นดิน ชาติ – ชีวิน โอ.. เธอ รู้ไหม? มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวสิ่งสมมุติ! มาเถิดผองพี่น้อง เราโอบกอด ด้วย ใจ รัก โลก ประจักษ์ ชีวิต ชีวี งามผ่องผุด แนบแน่นชีวาไร้เร่งรุด พร้อง บทเพลง เริง ระ บำ แห่งยุคสมัยงดงามแล้ว! โอ... เพื่อนเอ๋ย จิตวิญญาณ เรา ยัง ปรารถนา คืน เดือนเพ็ญ ดวง ดารา พริ้ง พราว พร่าง แพร้ว ลบ ทิ้ง เถิด ลบ เพลง รบ ออกไป โลก วาวแวว กล่อม กอด เพลง รัก งด งาม แล้ว ตราบนิรันดร์ด้วยรักอันงดงาม + พลังใจแสงดาว ศรัทธามั่นปลายฤดูหนาว 21 กุมภาพันธ์ 2551บ้าน – ร้าน สุดสะแนน (แสนสนุกสุดเสน่ห์) .. วจีกวีของอ้าย “เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์” *1 “น้าเปี๊ยก – บลูส์” นักดนตรียุคส์ซิกซ์ตี้แห่งร้านสุดสะแนน*2 “อรุณรุ่ง สัตย์สวี... ฮวด สุดสะแนน” กวี นักเขียน*3 ภาษากวีของอ้าย “เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์” กวีซีไรต์*4 ขอโทษจำนามปากกาเธอมิได้ เธอเป็นกวี นักเขียนแห่งดินแดนด้ามขวานด่านใต้, ทะเลอันดามัน
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ข้าคือความลวงคือสิ่งที่โกหกมดเท็จข้าเป็นความลวงของสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมถูกเข้าใจผิดและถูกมองไปเป็นอื่นถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะได้รู้จักความลวงใดๆในโลกนี้อีกเลยข้าคือความอัปลักษณ์คือสิ่งที่น่าเกลียดข้าเป็นความอัปลักษณ์ของสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมแลดูต่ำต้อยด้อยค่าถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะได้พบปะความอัปลักษณ์ใดๆในโลกนี้อีกข้าคือความเลวคือการกระทำที่ไม่ถูกต้องข้าเป็นความเลวของสิ่งใดย่อมมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของสิ่งนั้นข้าจึงมีแต่ความขัดแย้ง เบียดเบียน และทำลายในทุกสิ่งถ้าใครสักคนหนึ่ง...ได้รู้จักตัวข้าด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริงเขาย่อมไม่ปรารถนาจะเข้าไปกรายใกล้ความเลวใดๆในโลกนี้อีก
นาโก๊ะลี
เมื่อกว่าสามสิบปีที่แล้ว มีหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง เข้าใจว่าในช่วงเวลานั้นมีคนกล่าวขวัญถึงหนังเรื่องนี้กันพอสมควร ด้วยมันเป็นหนังที่คาดการณ์ความเป็นไปในช่วงล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด นั่นก็คือ 2001A Space Odyssey เนื้อหาของหนังคงไม่ได้เอามาเล่า ณ ที่นี้ แต่ในภาคแรกของหนังเรื่องนี้นั้นมีประเด็นที่น่าสนใจยิ่ง นั่นก็คือ เรื่องราวเริ่มขึ้นในโลกมนุษย์ ช่วงเวลาที่ยังไม่มีมนุษย์เกิดขึ้นมา ลิงฝูงหนึ่ง ซึ่งตัวหนังเล่าว่า ลิงพันธุ์นี้เองที่กำลังจะวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ ช่วงเวลานั้น ลิงฝูงนี้ก็เริ่มมีปัญหากับลิงพันธ์อื่น เค้าลางแห่งความขัดแย้ง ปรากฏชัดเจน จนในที่สุดก็เกิดการต่อสู้ จากการใช้เขี้ยวเล็บในการต่อสู้ ลิงฝูงนี้ก็เริ่มคิดเป็น และสิ่งแอรกที่มันคิดได้ก็คือ จับไม้มาเป็นอาวุธในการต่อสู้ นั่นหมายความว่า สิ่งที่อยู่ลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจมนุษย์นั้น มันคือการทำลาย ฆ่า หรือเอาชนะ อย่างนั้นหรือเปล่า แล้วหนังก็ตัดไปในปี ค.ศ. 2001
ภู เชียงดาว
มองไปในความกว้างและเวิ้งว้าง ทำให้ผมอดครุ่นคิดไปลึกและไกล และพลอยให้อดนึกหวั่นไหวไม่ได้ หากภูเขา ทุ่งนาทุ่งไร่ สายน้ำ และวิถีชีวิตในหมู่บ้านเกิดของผมต้องเปลี่ยนไป เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติเข้ามาเยือน
มาลำ
หากมีใครนั่งมองความเคลื่อนไหวของฉัน เขาคงมองเห็นภาพที่ฉันเดินเข้าออกในโรงพยาบาลช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนเช้ากลับไปอาบน้ำ นอนพักที่บ้านพักน้องชาย ตอนเที่ยงขึ้นรถมาโรงพยาบาล ลงจากรถก็เดินไปโรงอาหาร แวะร้านหนังสือร้านเดียวที่แอบอยู่ในซอกด้านซ้ายมือของโรงอาหาร หยิบหนังสือรายสัปดาห์มาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินแล้วเดินเลยมาซื้อน้ำเต้าหู้ อาหารเจเจ้าประจำ ผลไม้และขนมหวานที่พ่อชอบเจ้าเดิม แวะซื้อกาแฟสดและขนมปังแผ่นที่มีอยู่ร้านเดียวของชั้นล่าง แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปผ่านหน้าห้องยา ร้านขายกาแฟเย็นและน้ำอัดลม ถึงประตูตึก ผ่านเตียงที่พ่อเคยนอนหน้าเคาน์เตอร์ วันนี้ฉันเดินเลยเตียงนั้นมาถึงห้องพิเศษ 1205 เปิดประตู วันนี้พ่อนอนพักในห้องพิเศษ ฉันมีห้องเล็กๆ ที่จะได้นอนมองพ่อทั้งคืนแล้วฉันใช้ชีวิตเป็นคนโรงพยาบาลเต็มตัว กลิ่นยาในโรงพยาบาลที่ฉันคุ้นเคย กลิ่นกับข้าว กลิ่นขนมหวาน กลิ่นเหม็นคาวเลือด กลิ่นห้องน้ำ คละคลุ้งอยู่ในจมูกฉัน รอยยิ้มของคนข้างๆเตียงพ่อ เสียงทักทายพูดคุยของพยาบาล เสียงเปิดปิดประตู เสียงฝีเท้าของหมอ เสียงญาติคนไข้ เสียงโวยวาย เสียงครวญครางเจ็บปวด เสียงล้างเครื่องมือ เสียงลากรถ เสียงล้อหมุนของเปล เสียงเดินของเข็มนาฬิกา เสียงกระทบกันของถาดฃ้าว เสียงเปิดปิดก็อกน้ำ เสียงร้องไห้ขอความช่วยเหลือ จนกระทั่งเสียงความเงียบในตอนกลางคืน เสียงเหล่านี้หมุนวนอยู่รอบตัวฉัน มันหมุนวนอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน