สวนหนังสือ
นายยืนยง
พัฒนาการของกวีภายใต้คำอธิบายที่มีอำนาจหรือวาทกรรมยุคเพื่อชีวิต ซึ่งมีท่าทีต่อต้านระบบศักดินา รวมทั้งต่อต้านกวีราชสำนักที่เป็นตัวแทนของความเป็นชาตินิยม ต่อต้านระบอบราชาธิปไตย ต่อต้านไปถึงฉันทลักษณ์ในบางกลุ่ม ต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดิอเมริกา ขณะที่ได้ส่งเสริมให้เกิดอุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคก่อนโน้น มาถึงพ.ศ.นี้ ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ทวนกระแสเพื่อชีวิต ด้วยวิธีการปลุกความเป็นชาตินิยม ปลูกกระแสให้เรากลับมาสู่รากเหง้าของเราเอง
เด็กใหม่ในเมือง
มาล่าช้ากันสักนิดนึงนะครับสำหรับรายการวิทยุส่วนตัวของผม แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มานะครับหวังว่ารายการนี้จะพอทำให้บรรยากาศอันดุเดือดในช่วงนี้เย็นๆ ลงมาบ้าง และรายการนี้... ไม่ว่าสีใด ก็ฟังกันได้สบายๆ...
สวนหนังสือ
นายยืนยง บทความนี้เกิดจากการรวบรวมกระแสคิดที่มีต่อกวีนิพนธ์ไทยในรุ่นหลัง เริ่มนับจากกวีนิพนธ์แนวเพื่อชีวิตมาถึงปัจจุบัน และให้น้ำหนักเรื่อง “กวีกับอุดมคติทางกวีนิพนธ์”
นายหมูแดงอวกาศ
กาดคนเตว ถนนคนเดินเมืองลำปาง.....
เรามักคุ้นๆ ถนนคนเดินของเชียงใหม่เป็นหลักใช้ไหมครับ วันนี้เลยนำเสนอถนนคนเตว(ถนนคนเดินเมืองลำปาง) ที่บรรยากาศดีไม่แพ้ใคร และที่สำคัญยังคงประวัติศาสตร์กลิ่นอายเก่าของเมืองลำปางอยู่ ทั้งบ้านเรือน อาหาร และอื่นๆที่บางคนเห็นแล้วประทับใจ ผมเองก็ยังประทับใจมากๆเลย (ปล.เพราะเป็นบ้านเกิดตัวเองไงครับ 555) แต่จะหาว่าผมโม้ลองชมภาพที่ผมถ่ายมาให้ทุกท่านและบรรยายในแต่ละภาพไปแล้วกันนะครับ ไม่รู้ทุกท่านจะรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า จะทำหน้าที่ฉายภาพถนนคนเดินเมืองลำปางให้ดีที่สุดครับ
Cinemania
ซาเสียวเอี้ย
แต่ไหนแต่ไรมา...ระบบการศึกษาในพื้นที่หลายแห่งทั่วโลกมักถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการ ‘ดับฝัน’ ของคนวัยหนุ่มสาว เพราะทำให้ความอยากรู้อยากเห็นและกระตือรือร้นที่จะ ‘เรียนรู้’ สิ่งแปลกใหม่ในวัยเยาว์ถูกลบเลือนหายไปในกรอบ-กฎเกณฑ์-เหตุผล-เงื่อนไข และข้อเท็จจริงทั้งหลายทั้งปวง (ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีโอกาสเกิดมาใช้ชีวิตบนโลกก่อนหน้าเรา...)
กระนั้น...ใครหลายคนก็ยังยินดีเดินตามแนวทางหรือเงื่อนไขต่างๆ ที่ถูกวางไว้แล้วโดยไม่เคยคิดตั้งคำถาม เพื่อแลกเปลี่ยนกับ ‘การยอมรับ’ จากสังคมรอบข้าง...เพื่อที่มนุษย์ทั้งหลาย (ซึ่งเป็นสัตว์สังคม) จะได้ไม่ต้องรู้สึกวุ่นวายใจไปกับความโดดเดี่ยวแปลกแยกหรือแหกคอก
การตั้งคำถามกับระบบการศึกษาจึงเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส และไม่ค่อยมีใครกล้าลุกขึ้นมาปฏิเสธระบบกันมากนัก แม้จะมีกระแส ‘Drop Out’ ที่ชักชวนให้นักเรียนนักศึกษาหันหลังให้กับตำราและออกไปเผชิญโลกกว้างอยู่บ้างในยุคหนึ่งทางซีกโลกตะวันตก แต่กาลเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเป็นอย่างบิล เกตส์ หรือสตีฟ จ๊อบส์ได้...
00000
แต่ในภาพยนตร์ตลกวัยรุ่นฮอลลีวู้ดที่ออกฉายปี 2549 เรื่อง Accepted ผลงานเรื่องแรกในฐานะผู้กำกับของ ‘สตีฟ พิงค์’ (อดีตคนเขียนบทหนัง Grosse Point Blank และ High Fidelity และผู้อำนวยการสร้างเรื่อง America Sweetheart) ได้พยายามตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะเป็นคำถามที่มาพร้อมกับลีลาโปกฮามากกว่าจะจริงจังขึงขังอะไรมากมาย แต่ก็เป็นภาพยนตร์วัยรุ่นเรื่องล่าสุดที่พูดถึงปัญหาของระบบการศึกษาออกมาตรงๆ
เรื่องราวในหนังเริ่มต้นด้วยการบอกเล่าชะตากรรมของ ‘บาร์เทิลบี เกนส์’ (แสดงโดยจัสติน ลอง จาก Die Hard ภาคล่าสุด) เด็กนักเรียนไฮสคูลปีสุดท้ายที่ยังเคว้งคว้างไร้อนาคต เพราะไม่มีมหาวิทยาลัยแห่งไหนตอบรับใบสมัครเรียนของเขาเลย ในขณะที่พ่อและแม่ต่างก็คาดหวังว่าลูกชายคนเดียวจะต้องมีอนาคตที่ดีและได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ไหนสักแห่ง ทำให้บาร์เทิลบียิ่งกดดันว่าพ่อกับแม่คงผิดหวังถ้าได้รู้ว่าลูกชายกลายเป็นคน ‘ไร้อนาคต’ ไปเสียแล้ว
ขณะที่ ‘เชอร์แมน เชรดเดอร์’ (แสดงโดยโจนาห์ ฮิล) เพื่อนสนิทของบาร์เทิลบี และ ‘รอรี่’ (แสดงโดย มาเรีย เทเยอร์) สาวผมแดงเด็กเรียนเพื่อนร่วมชั้น ล้วนไม่ผ่านการพิจารณาจากมหาวิทยาลัยที่สมัครไปกันถ้วนหน้า ทำให้ทั้งหมดคิดแผนการขึ้นมาตบตาบรรดาพ่อแม่ว่าพวกเขาได้รับการตอบรับเข้าเรียนแล้วจากมหาวิทยาลัยที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ และพวกเขาได้สร้างเว็บไซต์แนะนำมหาวิทยาลัยอุปโลกน์ให้พ่อและแม่เข้าไปดูประกอบคำโกหกให้ฟังน่าเชื่อถือมากขึ้น
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยกำมะลอเกิดขึ้นได้เพราะภาพตัดต่อจากโปรแกรมโฟโตชอป แสดงบรรยากาศและอาคารสถานที่สมจริงสมจัง แถมยังมีปุ่มให้ ‘ผู้ที่สนใจเข้าศึกษาต่อ’ คลิกส่งใบสมัครมาพิจารณากันอีกด้วย และนอกจากพ่อแม่ของทั้งหมดจะเคลิ้มเชื่อตามไปด้วยแล้ว ปรากฏว่านักเรียนนับร้อยคนพลาดหวังจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่เสิร์ชเจอข้อมูลปลอมๆ ในเว็บไซต์ก็ยังหลงเชื่อและส่งใบสมัครเข้ามาจริงๆ และระบบอัตโนมัติซึ่งเชอร์แมนเผลอตั้งค่าไว้ก็ดันส่งใบตอบรับเข้าเรียนไปให้คนที่ส่งใบสมัครเข้ามาทั้งหมดจริงๆ อีกเหมือนกัน!
ตัวการต้นคิดทั้ง 3 คนจึงต้องไปเช่าอาคารโรงพยาบาลร้างมาปรับปรุงใหม่ให้เป็น ‘สถาบันเทคโนโลยีเซาท์ฮาร์มอน’ หรือ South Harmon Institute of Technology ซึ่งใช้คำย่อว่า S.H.I.T ได้พอดี!! โดยใช้เงินทุนหลักล้านดอลลาร์ซึ่งได้มาจากค่าเทอมที่นักศึกษาบ้าจี้นับร้อยคนโอนมาให้ ก่อนที่ชีวิตใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย (เก๊) จะเริ่มขึ้นอย่างทุลักทะเล
ด้วยพล็อตเรื่องเฮฮาและไม่เน้นความสมจริงสมจัง ทำให้หนังไม่ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ดีเท่าไหร่เมื่อนำออกฉายในอเมริกา แต่ถ้าพูดถึงเรื่องรายได้ก็ถือว่าไม่เจ็บตัว ถึงอย่างนั้นหนังก็ไม่มีโอกาสได้ฉายในโรงหนังบ้านเราอยู่ดี ส่วนดีวีดีลิขสิทธิ์ที่ออกวางจำหน่ายก็ตั้งชื่อออกแนวเบาสมองว่า ‘จิ๊จ๊ะมหาวิทยาลัยรักแห้ว’ ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของหนังยิ่งเบาโหวงไปกันใหญ่
แต่ในความไร้สาระที่เคลือบอยู่ด้านนอก พอกะเทาะปลอกออกพบว่าตัวหนังยังมีแก่นแกนที่ชัดเจน แม้จะดูพยายามจนเกินไปในหลายๆ ฉาก แต่ก็เป็นการตั้งคำถามตรงไปตรงมาชวนให้คิดต่ออยู่ใช่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นฉากที่บาร์เทิลบีเปิดโอกาสให้นักศึกษาของ S.H.I.T ช่วยกันเสนอหลักสูตรที่แต่ละคนอยากเรียนขึ้นมาแทนที่การ ‘กำหนดหลักสูตร’ ซึ่งยึดตามแนวทางการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาในแบบแผนดั้งเดิม ซึ่งมีกรอบชัดเจนว่านักศึกษามีสิทธิ์เลือกได้เฉพาะสิ่งที่ทางสถาบันเสนอให้เท่านั้น ทว่าไม่มีสิทธิ์เรียกร้องหลักสูตรหรือแนวทางที่แตกต่างออกไป
รวมถึงฉากที่บาร์เทิลบีต้องไปชี้แจงหลักสูตรการเรียนรู้ของ S.H.I.T ในฐานะ ‘ผู้ก่อตั้งสถาบันฯ’ ต่อหน้าคณะกรรมาธิการพิจารณามาตรฐานสถาบันการศึกษา ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบด้านการรับรองคุณภาพและวิทยฐานะของสถาบันการศึกษาตัวจริง นำไปสู่การปะทะคารมว่าอะไรกันแน่ที่จำเป็นและยั่งยืนต่อการดำรงชีวิตมากกว่า ระหว่าง‘การศึกษา’ กับ ‘การเรียนรู้’ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลากหลายแนวทาง และไม่มีใครเป็นผู้ผูกขาดองค์ความรู้อยู่ฝ่ายเดียว
00000
หากประเด็นที่ Accepted วิพากษ์วิจารณ์อย่างชัดเจนที่สุดก็คือความคับแคบของระบบการศึกษาที่ปฏิเสธความแตกต่างหลากหลายทางวิธีคิดเรื่องการเรียนรู้ และกระบวนการ ‘คัดทิ้ง’ ที่ไม่ต่างจากการประทับตรา (ผิดๆ) ว่าผู้ที่ไม่ผ่านมาตรฐานการคัดเลือกนั้น ‘บกพร่อง’ หรือ ‘ด้อยคุณภาพ’
"ในความคิดคำนึงถึงระบบการศึกษาที่มุ่งเน้นเพียงความสามารถหรือคุณสมบัติเฉพาะด้านเช่นนี้จะต่างอะไรจากระบบสายพานการผลิตผลไม้กระป๋องซึ่งเน้นที่การคัดเลือ 'ผลโตๆ' เป็นหลัก...ผลไม้ลูกเล็กที่ขนาดเล็ก 'ต่ำกว่ามาตรฐาน' ย่อมถูกคัดทิ้งและนำไปแปรรูปเป็นสินค้าอย่างอื่นโดยไม่ได้รับการพิจารณาหรือคำนึงถึงคุณสมบัติภายในอื่นๆ เช่น ความหวาน ความสด หรือความอร่อย แม้แต่นิดเดียว"
ขณะที่ในหนัง-บาร์เทิลบีมองว่าบรรดานักศึกษา S.H.I.T ไม่ได้รับการ ‘ยอมรับ’ จากสถาบันการศึกษาต่างๆ เป็นเพราะพวกเขาถูก ‘พิพากษา’ ไปแล้วว่าเป็นพวกขี้แพ้ไม่เอาไหน และเป็นพวกที่ถูก ‘คัดทิ้ง’ จากที่อื่น แต่นักศึกษาของ S.H.I.T ทั้งหมดก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดเรียนรู้ในสิ่งที่พวกเขายังไม่รู้...
ประโยคยืดยาวของบาร์เทิลบีในฉากนี้คล้ายจะเป็นแถลงการณ์ของผู้กำกับสตีฟ พิงค์ อดีตนักกิจกรรมทางสังคมที่ทำงานเกี่ยวกับการบริการชุมชนอยู่พักใหญ่ก่อนจะผันตัวสู่แวดวงบันเทิง แต่ถ้าใครจะมองว่าหนังเรื่องนี้ทำขึ้นเพื่อตอบสนองจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นจริงของพวกขี้แพ้ซึ่งอยากตอบโต้ระบบที่ตัวเองไม่มีโอกาสได้มีส่วนร่วม...ก็ย่อมทำได้อีกเช่นกัน
แต่ในชีวิตจริงซึ่งทางแก้ปัญหาไม่ได้มีแค่ ก ข ค ง หรือข้อ 1 2 3 4 บางทีการมองต่างมุมเรื่องการเรียนรู้อาจช่วยเตือนสติได้ว่าโลกยังมีอะไรที่มากกว่าและกว้างกว่าการวัดผลคะแนนสอบจากกระดาษคำตอบที่มีตัวเลือกให้เลือกแค่ไม่กี่ข้อ…
Anime Watch
เนตรชนก แดงชาติ อนิเมะที่พูดถึงสงครามไม่ว่าจะเป็นมุมมองของผู้ก่อสงครามหรือมุมมองของผู้ได้รับผลกระทบ ไปจนถึงการก่อสงครามระหว่างประเทศหรือก่อสงครามระดับอวกาศ เป็นวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมมาเป็นเวลาช้านาน ไม่ว่าจะเป็น กันดั้ม (ภาคต่าง ๆ), สุสานหิ่งห้อย, Axis Power Hetalia, หรือแม้กระทั่ง “ก้านกล้วย” การ์ตูนไทยที่มีเป้าหมายอยู่ที่เด็กและเยาวชน แต่ในภาค 2 ก็ยังมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับสงคราม สำหรับส่องโลกอนิเมะสัปดาห์นี้ผู้เขียนขอชวนคุยเกี่ยวกับมังงะและอนิเมชัน (ที่เสี่ยงต่อการแบนของกระทรวงวัฒนธรรมบ้านเรา) เรื่อง 'อาวุธสุดท้ายคือเธอ ไซคาโนะ' หรือ 'ไซชูเฮกิคาโนะโจ' (最終兵器彼女) โดย ชิน ทาคาฮาชิ เรื่องนี้ถูกจัดเป็นการ์ตูนแนวเซเน็น (สำหรับผู้อ่านหรือผู้ชมอายุระหว่าง 18 – 25 ปี) เพราะมีทั้งอาวุธสงคราม การต่อสู้แบบ “ระเบิดภูเขา เผากระท่อม” ความรักกุ๊กกิ๊กไปจนถึงขั้น “ติดเรท” ระหว่างหนุ่มแว่นผู้เย็นชากับสาวน้อยจอมซุ่มซ่าม และการตั้งคำถามต่อความเป็นมนุษย์ ไซคาโนะ เปิดเรื่องที่เมืองเล็ก ๆ บนเกาะฮ็อกไกโดอันเงียบสงบ มีการสารภาพรักของ “จิเสะ” ต่อ “ชูจิ” เพื่อนร่วมห้อง แล้วจึงมีการแลกกันอ่านไดอารี จูบแรกที่เคอะเขิน แต่เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้าจู่โจมญี่ปุ่น แล้ว “จิเสะ” แฟนสาวที่ชูจิเริ่มผูกพันธ์กลับกลายเป็นอาวุธที่พัฒนาได้ของกองทัพ ญี่ปุ่น สร้างความสับสน ความกลัว และการกระตุ้นให้ผู้ชมตั้งคำถามต่อจิเสะ ว่าเธอยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ ผู้ที่เคยอ่านหรือชมเรื่องไซคาโนะแล้วมีกระแสตอบรับทั้งชอบและไม่ชอบอยู่พอ ๆ กัน จุดที่ทำให้ไซคาโนะ มีความต่างจากการ์ตูนสงครามเรื่องอื่นอยู่ตรงที่การมองสงครามในมุมของผู้ที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของการก่อความรุนแรง เช่น จิเสะ เด็กนักเรียน ม.ปลายธรรมดาที่อยู่ดี ๆ ทางกองทัพญี่ปุ่นก็พาเธอไปดัดแปลงร่างกายให้เป็นอาวุธขึ้นมา ไปจนถึง "อัทสึชิ" เพื่อนของชูจิ ทหารแนวหน้าตัวเล็กตัวน้อยที่สงครามทำให้เขาลุกขึ้นมาสมัครเป็นทหารเพราะ อยากปกป้องแฟนสาวของตัวเอง ไปจนถึงการนำเสนอความหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวของผู้ ที่ต้องพรากจากบุคคลผู้เป็นที่รัก ด้านมืดในจิตใจของแนวหลังที่แทบจะสิ้นหวังกับการรอคอย และความรู้สึกไร้คุณ ค่าที่ไม่สามารถปกป้องสิ่งที่พวกเขารักได้ ซึ่งจะเห็นได้จากข้อความที่ทั้ง สองเขียนไว้ในไดอารี “... พวกเราไม่อยากจะคิดถึงมันอีกแล้ว ถึงจะยกเรื่องนั้นมาคุยกัน แม้จะคิดถึงเรื่องใครสักคนก็ตามแต่ ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไร ๆ เปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว ...” – ชูจิ “... หมู่นี้ชูจังใจดีจังเลยนะ แต่ว่าเห็นชูจังยิ้มแบบนั้น ฉันกลับยิ่งเป็นห่วง ยิ่งชูจังฝืนยิ้มให้ฉันเท่าไร ตัวฉันยิ่งรู้สึกอยากจะหายไปมากขึ้นเท่านั้น ทำไมร่างกายฉันถึงเป็นแบบนี้ด้วยนะ ตัวฉันทำอะไรผิดลงไปหรือเปล่า นี่เป็นการลงโทษฉันอย่างนั้นเหรอ เรื่องอาวุธสุดท้ายนี่เป็นความลับสำหรับทุกคน ฉันอึดอัดมากที่ไม่สามารถปรึกษาใครได้ ...” – จิเสะ สำหรับการก่อสงครามในเรื่องไม่ได้บอกว่าใครเป็นผู้เริ่ม ใครเป็นผู้บงการ หรือใครเป็นฝ่ายผิดถูก เสมือนจะบอกกับผู้ชมว่า “ถึงรู้ไปก็ช่วยให้อะไรดีขึ้นไม่ได้” ส่วนจิเสะแม้ว่าจะไม่ได้เต็มใจที่จะเป็นอาวุธในตอนแรกแต่พออยู่ในสนามรบนานวันเข้าก็เริ่มเข้าใจตรรกะของสงครามได้ว่า “ถ้าเราไม่ฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าเรา” ขอเพียงหันอาวุธไปที่เธอเท่านั้น เธอก็สามารถจัดการศัตรูข้างหน้าได้อย่างราบคาบ แต่หลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้นในการจู่โจมหรือป้องกันแต่ละครั้งเธอก็จะเจ็บปวดกับความเป็นมนุษย์ที่ถูกตรรกะของสงครามกลืนกินหัวใจไปจนหมดสิ้นในชั่วขณะนั้น และขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไปด้วยน้ำตาในทุกครั้ง ที่ซ้ำร้ายก็คือ ร่างกายของเธอนับวันก็ลดความรู้สึกทางผัสสะแบบมนุษย์ลงทุกวันแต่กลับสามารถ ปล่อยอาวุธจู่โจมโดยอัตโนมัติมากขึ้นทุกครั้งที่เธอกลับจากสมรภูมิ จิเสะทำให้ผู้เขียนนึกถึงเด็ก ๆ ในประเทศต่าง ๆ ที่ยังไม่สงบจากการสู้รบ หากท่านผู้อ่านเคยชมภาพยนตร์เรื่อง Blood Diamond จะเห็นภาพของเด็กชาวเซียร์รา ลีโอน (Sierra Leone) ในแอฟริกา ถูกนำไปฝึกเป็นทหาร หรือกรณีสองฝาแฝดลิ้นดำ “จอห์นนี” และ “อาร์เธอร์” ทหารเด็กแห่งกองกำลัง God’s Army คงไม่ต่างจากจิเสะและตัวละครที่เป็นเด็กภายในเรื่องไซคาโนะ ผู้เขียนเชื่อว่าต่อไปข้างหน้าอีกสิบหรือหรืออีกร้อยปี โลกใบนี้ของเราก็ยังคงก่อสงครามกันอยู่ดั่งบรรพบุรุษของเรานับหมื่นกว่าปีที่ผ่านมา ตราบใดที่ “ความแตกต่าง” กลายเป็น “ความเป็นอื่น” ที่สามารถลดทอนความเป็นมนุษย์ได้ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงเชิงกายภาพหรือความรุนแรงในโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะฝ่ายกดขี่หรือเป็นผู้ถูกกดขี่จะเป็นฝ่ายเริ่มใช้ความรุนแรง ผลที่เกิดก็คงหลีกหนีไม่ผลความสูญเสีย ดังที่เราเห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในโปแลนด์ กัมพูชา และอินโดนิเซีย สิ่งที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งของเรื่องนี้คือการเลือกเอาลักษณะของ “ผู้หญิง” ที่ผู้ชายอยากปกป้องแบบจิเสะมาเป็นตัวละครที่ต้องประหัตประหารผู้คน ทั้งยังเป็นผู้บังคับบัญชาผู้ชายหรือเหล่าทหารขณะเดียวกันก็ยังเป็นตัวละครที่ เหล่าผู้บัญชาการชั้นสูงและนักวิทยาศาสตร์ออกคำสั่งและมีสิทธิเหนือร่างกายของเธอ ผู้เขียนคิดว่าแม้ในสงครามที่คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของผู้ชายเพียงผ่ายเดียว แต่เรื่องนี้ทำให้บทบาทของผู้หญิงในสงครามเด่นชัดขึ้น ฉายภาพของผู้หญิงที่ยังคงอยู่ภายใต้การบงการของผู้ชาย ตลอดจนอยู่ภายใต้อำนาจของ “ความรู้” ทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ชายนำมาใช้กับเธอ คล้ายกับในสมัยสงครามเวียดนามที่กองทัพสหรัฐอเมริกาต้องการทั้งผู้ชายที่จะไปเป็นทหารและแรงงานของผู้หญิงที่จะผลิตปัจจัยต่าง ๆ เพื่อไปสนับสนุนการก่อสงคราม แม้ไซคาโนะอาจไม่ใช่อนิเมชันที่สั่นสะเทือนสังคมได้อย่างเรื่อง สุสานหิ่งห้อย ของสตูดิโอ จิบลิ หรือสะท้อนความปวดร้าวเหมือน Voice of a distance star แต่คงเป็นการ์ตูนอีกเรื่องที่สะท้อนมุมมองของสงครามในอีกมุมหนึ่ง ที่เพียงหวังว่าเราจะเข้าใจคนที่แตกต่างจากเรา หากสักวันหนึ่งเขากลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับชาติที่รักสงบแต่ถึงรบไม่ 'ขาด' กับประเทศเพื่อนบ้านเพียงแค่ที่ดินแปลงเล็ก ๆ บนภูเขาที่ประวัติศาสตร์ไม่ประกาศว่าเป็นของประเทศใดกันแน่ (เพราะตอนนั้นยังเป็นอาณาจักรมิใช่รัฐชาติ) หรือเพียงชาติพันธุ์ที่ต่าง เพศที่ต่าง ไปจนถึง มุมมองทางการเมืองที่ต่าง หากนำความต่างเหล่านั้นออกไป เราก็ต่างเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน หวังว่าหัวใจของเราในตอนนั้นจะไม่กลายเป็นอาวุธเหมือนที่จิเสะเคยเป็นอยู่นะขอรับ
เด็กใหม่ในเมือง
แม้ว่าในประชาไท รายการ My Private Radio จะเพิ่งได้มาโอกาสมาเปิดเพลงเพราะมั่ง ไม่เพราะมั่งให้กับคุณๆ ได้ฟังกันไม่นานนี้ แต่จริงๆ แล้ว ถ้านับตั้งแต่ที่ผมเริ่มทำรายการตอนแรกลงในเว็บไซต์ http://myprivateradio.ning.com แล้ว ตอนที่คุณได้ฟังอยู่ตอนนี้ นับเป็นตอนที่ 10 แล้วครับ ในตอนนี้ ผมเลยตั้งโจทย์เล่นๆ ว่า ถ้าผมต้องเลือกเพลงทุกเพลงในรายการ ให้กับคนหลายๆ คน ตั้งแต่เพี่อนของผม เลยเถิดไปจนถึงทีมการท่าเรือไทย เอฟ ซี (!) ผมจะหยิบอะไรมาเปิดบ้าง
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : ร่างกายที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา Ageless Body, Timeless Mind เขียน : โชปรา ดีปัก แปล : เรืองชัย รักศรีอักษร พิมพ์ : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2551 แสนกว่าปีมาแล้วที่มนุษย์พัฒนากายภาพมาถึงขีดสุด ต่อนี้ไปการพัฒนาทางจิตจะต้องก้าวล้ำ มีหนังสือมากมายที่กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะทางจิต เพื่อให้อำนาจของจิตนั้นบันดาลถึงความมหัศจรรย์แห่งชีวิต หนึ่งในนั้นมีหนังสือที่กล่าวอย่างจริงจังถึงอายุขัยของมนุษย์ ว่าด้วยกระบวนการรังสรรค์ชีวิตให้ยืนยาว เล่มนี้เป็นหนังสือขายดีที่เขียนโดยนายแพทย์หนุ่มชาวอินเดียนาม โชปรา ดีปัก ผู้ยืนยันว่า มนุษย์สามารถมีอายุยืนยาวเกินกว่า 100 ปี
Cinemania
themadmon
หมายเหตุ: ข้อเขียนชิ้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น บทสะท้อนย้อนคิดหลังจากการชมภาพยนตร์เรื่อง Air Doll ผมในฐานะที่เป็นผู้เขียนจงใจจะหยิบเลือกประเด็น (ซึ่งผ่านการตีความของผม) โดยไม่ได้อ้างอิงอย่างชัดเจนไปสู่ตัวภาพยนตร์ในแต่ละฉากแต่ละตอน โดยหวังว่าผู้ที่ยังไม่ได้ชมภาพยนตร์ก็สามารถอ่านได้ และผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์แล้วจะสามารถระลึกถึงฉากต่างๆ ในภาพยนตร์ได้ด้วยเช่นกัน
หากลองพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ในสามประโยค ผมคงพูดสั้นๆ ว่า..
“ผู้คนหลากหลาย เราต่างก็ว่างเปล่า และเหงามากมาย”
เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะผมเข้าใจว่า..
..ในสังคมสมัยใหม่ที่ผู้คนต่างก็แตกกระเจิงกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทางแม้จะอยู่ร่วมในพื้นที่เดียวกัน มันคงเป็นภาพที่ฉายให้เห็นของลักษณะการเคลื่อนตัวของความคิดและการดำรงอยู่แบบปัจเจกบุคคล ในแง่หนึ่งมันสร้างอิสระ มันอาจเป็นอิสระที่จะล่องลอยและโบยบินไปไหนต่อไหน อิสรภาพนั้นอาจเป็นสภาวะที่แสนจะสวยงามเหลือเกิน แต่ในความอิสระบางครั้งมันก็เบาหวิว มันอาจเบาหวิวเกินจะทานทนเช่นกัน ปัจเจกบุคคลและความโดดเดี่ยวจึงเป็นของคู่กัน พร้อมๆ กับที่อิสรภาพและความเหงาก็คงเป็นของคู่กันเช่นกัน แต่เมื่อมันล้วนแต่บางเบามันจึงไม่มีความเศร้าและความเหงาที่สมบูรณ์ เช่นเดียวกับที่ไม่มีความเห็นหรืองานเขียนใดสมบูรณ์แบบ
บางครั้งเรามองสิ่งต่างๆ ในลักษณะของการ “แทนที่” เพื่อหวังจะทดแทนสิ่งที่เคยมี แต่แท้ที่จริงมันไม่มีอะไรแทนที่อะไรได้อย่างสมบูรณ์ มันคงมีเพียงความคล้ายบางอย่างที่เราหลงว่าต่างแทนที่กันได้ ในความเหงาเราอาจหาบางสิ่งบางอย่างมาเติมเต็ม แต่มิใช่หรอกหรือว่ามันไม่มีอะไรที่เติมเต็มได้ การเติมให้เต็มเป็นดังสภาวะที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริงในตอนสุดท้าย การพยายามเติมให้เต็มเป็นกระบวนการอันไม่รู้จบต่างหาก เพราะในท้ายที่สุด มันไม่เคยมีสิ่งใดสมบูรณ์ในกระบวนการเหล่านั้น เรามักหลงละเมอเพ้อพกเพ้อฝันกันไปเองทั้งนั้นว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามาเติมความว่างเปล่าให้เต็มได้ และสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งย้ำเตือนให้เรารู้ว่าเราต่างก็ผิดพลาดอยู่เสมอๆ ความขาดไม่มีวันจะเหือดหายไป เพราะเราต่างก็ขาดอะไรบางอย่างอยู่เสมอ
แต่ก็ใช่ว่ามันจะสิ้นหวังไปทั้งหมดเพราะคงกล่าวได้ว่าความหมายมันเกิดขึ้นในกระบวนการเติมเต็มนั้น ในระหว่างที่เราพยายามจะเติมให้เต็ม โดยหวังว่ามันจะเต็ม แม้มันจะไม่มีทางเต็ม แต่มันก็ทำให้เรามีความหมายขึ้นมา แม้เพียงในบางขณะก็ตาม มันจึงไม่มีอะไรไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง แต่มันก็ไม่มีอะไรที่สวยงามสมบูรณ์
จนกว่าเราจะมองมันอย่างให้คุณค่า ความดี ความไม่ดี ความสุข ความเศร้า ความเหงา ความโดดเดี่ยว ความเจ็บปวด ต่างๆ นานา ราวกับว่ามันจะเป็นขั้นตอนภายหลัง แต่เราก็ทำให้มันเกิดขึ้นเป็นจริงอย่างพร้อมๆ กัน หากเพียงเราทำความเข้าใจขั้นตอนเหล่านี้อย่างชะลอเลื่อนเวลา แม้เราจะไม่สามารถชะงักการเดินของเวลาได้จริงก็ตาม แต่มิใช่หรือว่า เวลาก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่เราให้ความหมายลงไปกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เราจะทำความเข้าใจมันผ่านสิ่งที่เราเรียกกันว่าเวลา การทำความเข้าใจอย่างละเอียดละออ มันคงทำให้เราสะท้อนย้อนคิดถึงสิ่งต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเมื่อถึงตอนนั้นเราอาจเห็นว่าเราต่างก็สร้างความหมายให้กับสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา
และเมื่อมองย้อนหลังกลับไปเราคงพบได้ไม่ยากว่าชีวิตนั้นช่างว่างเปล่า เพราะความหมายต่างๆ ไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ภายใน แต่ความหมายของชีวิตอาจอยู่กับสิ่งเกี่ยวเนื่อง อยู่กับสิ่งรายล้อม ที่ประกอบและแฝงฝังให้ตัวตนเกิดความหมายขึ้นมาได้ เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แม้เราจะโดดเดี่ยวเพียงไรก็ตาม
..ในหลายๆครั้ง ไม่เพียงแต่ตัวเอง แต่เราอาจพบว่าเราให้ความหมายแก่สิ่งต่างๆ และผู้คนที่เรารู้จักพบเจอด้วย และในหลายๆ ครั้งเราก็อาจให้ความหมายแก่สิ่งต่างๆ นั้นเพียงแค่ในแง่มุมของสิ่งที่เขาหรือเธอเหล่านั้น “ทำ” หรือพูดให้กลายเป็นสิ่งของมากไปกว่านั้นคือ “ใช้งาน” อะไรบางอย่างได้ และมันไม่ใช่แค่เพียง “ใช้” ได้ แต่ในชีวิตในโลกทุนนิยมอุตสาหกรรมภายใต้วิธีคิดแบบเสรีนิยมใหม่ ของทุกชิ้นหรือคนทุกคนต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพ มันจึงเป็นสิ่งที่ “ใช้ได้” เราจึงต่างก็กลายเป็นเพียงแค่แรงงานที่สามารถสร้างความหมายให้กับชีวิตได้เพียงแค่จากงานที่ทำ หากผลิตภาพลดลง สร้างรายได้ได้น้อยลง (หรือทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น) ฯลฯ เราก็คงกลายเป็นแค่ชิ้นส่วนที่เสื่อมค่า พร้อมที่จะถูกเขี่ยทิ้งไปจากสายพาน เพื่อเปิดทางให้สิ่งใหม่หรือคนใหม่ๆ เข้ามาแทนที่อยู่ทุกอึดใจ
ดังนั้นเมื่อเรามองสิ่งต่างๆ เพียงแค่หน้าที่ เราจึงควานหาสิ่งแทนที่ที่เราคิดว่ามันน่าจะดีกว่าสิ่งเดิมอยู่เสมอๆ เพราะเรามองสิ่งต่างๆ เพียงแง่เดียวคือในแง่ของหน้าที่การทำงานหรือเปล่าเราจึงลดทอนกันและกัน ลดทอนความสัมพันธ์ระหว่างกันให้เป็นแต่เพียงความสัมพันธ์ของหน้าที่ที่ทำให้แก่กัน นี่หรือเปล่าที่เป็นจุดเริ่มต้นที่เราทำร้ายกัน บางทีเราอาจรู้ตัวแต่บางทีก็ไม่ แต่ในเรื่องราวเหล่านั้นเราต่างก็กัดกินกันไปตลอดเวลา ทำให้ใครต่อใครรอบกายเหงาและโดดเดี่ยวท่ามกลางการอยู่ร่วมกันตลอดเวลาเช่นกัน
ในความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ใครหลายคนอาจเรียกว่าความรัก แต่ละคนก็คงมีจินตภาพถึงความสัมพันธ์และความรักที่แตกต่างออกไป ใครหลายคนคงมองแต่เพียงการมีหน้าที่บางอย่างของความสัมพันธ์และคู่สัมพันธ์ คู่รักของเธอหรือเขาอาจกลายเป็นแต่เพียงผู้ทำหน้าที่บางอย่าง เคยหรือไม่ที่เราลดทอนอีกคนหนึ่งให้กลายเป็นแต่เพียงหน้าที่บางหน้าที่ และก็พร้อมที่จะเขี่ยสิ่งเดิมๆ ทิ้งไปเมื่อพบสิ่งใหม่ที่คาดว่าจะทำหน้าที่ได้ดีกว่า ความสัมพันธ์และความรักในแง่มุมหนึ่งมันก็กลายเป็นแต่เพียงรูปแบบของการผลิต ที่เราพร้อมจะเปลี่ยนปัจจัยการผลิตที่เราคิดกันไปเองว่ามันน่าจะดีกว่าเพื่อมาแทนที่เพื่อให้ได้ผลิตภาพมากขึ้น
และหากจะพูดเลยไปกว่านั้นสักนิดหนึ่ง หากในกระบวนการผลิตเราสามารถคิดคำนวณต้นทุนกำไรได้อย่างละเอียดลึก ซึ้งเห็นเป็นขั้นเป็นตอนเป็นฉากๆ แต่ในความคุ้มค่าของความสัมพันธ์หรือความรักนั้น เราเคยคิดคำนวณได้อย่างถูกต้องด้วยหรือ เราจะแน่ใจได้มากน้อยแค่ไหนว่าอะไรบ้างที่จะเป็นตัวแปรในสมการ อะไรจะถ่วงน้ำหนักมากน้อยเพียงไร หรือเพราะสิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่สิ่งที่จะมาคิดคำนวณกันได้ และเมื่อไรก็ตามที่เราพยายามชั่งน้ำหนักถูกผิดตรงนี้ มันอาจผิดตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้ และในความเข้าใจกันอย่างผิดๆ หรือเข้าใจเพียงแต่ในแง่มุมของตัวเอง มันอาจทำให้เราทำร้ายกัน ทั้งโดยรู้ตัว โดยที่ไม่ทันจะรู้ตัว และโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่ในความสัมพันธ์และกิจกรรมทางเพศ อวัยวะเพศชายที่สามารถแข็งชูชัน อวัยวะเพศหญิงที่ยืดขยายและมีน้ำหล่อลื่น หรืออาจหมายถึงรูทวาร (ไม่ว่าจะของใครเพศใดก็ตาม) คงเป็น “หน้าที่” ในทำนองเดียวกัน การมีสมรรถภาพหรือความสามารถในการร่วมเพศ จึงเป็นทั้งวิถีทางและเป็นเป้าหมาย (หรือความสำเร็จและการรักษา/ยืนยันความสำเร็จ) ในตัวเอง ในชีวิตทางเพศการสามารถ/ความสามารถในการร่วมเพศคงเป็นความหมายสำคัญและคงเปรียบได้ดังกิจกรรมที่ให้ความหมายของชีวิต การไม่สามารถร่วมเพศได้ หรือสมรรถภาพที่ด้อยลงไป คงเปรียบได้กับความป่วยไข้ในชีวิตและการเดินทางสู่ความตายด้วยเส้นทางที่เจ็บป่วยและเจ็บปวด หากความหมายของชีวิตขึ้นอยู่กับการทำงาน ชีวิตทางเพศก็คงขึ้นอยู่กับการทำงานทางเพศอันหมายถึงความสามารถในการร่วมเพศได้
ไม่เพียงแต่ชีวิตการทำงานหรือในความสัมพันธ์ แต่ชีวิตของคนเราก็คงดำเนินไปในท่วงทำนองคล้ายๆ กัน เมื่อความตายซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยแน่นอนว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่มันก็แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นกับทุกคนนั้นเป็นดังปลายทางของชีวิต ในการเดินทางไปสู่ความตายเราต่างค่อยๆ เสื่อมสลายไปตามเส้นทางนั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือตั้งแต่เราถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกเราก็กำลังใกล้ความตายเข้าไปเรื่อยๆ วันเกิดและวันคล้ายวันเกิดในปีต่อๆ มามันจึงเป็นทั้งการระลึกถึงจุด เริ่มต้นและบอกเราว่าเราเดินทางมาถึงจุดไหนๆ ในหนทางที่เรียกว่าชีวิต การเฉลิมฉลองการเกิด/วันเกิดอย่างใหญ่โตมันคงเป็นทั้งความสวยงามและความน่ารังเกียจ วันเกิดจึงเป็นทั้งวันแห่งความสุขและวันแห่งความน่าสะอิดสะเอียน ในทางหนึ่งวันเกิด/วันคล้ายวันเกิดคงเปรียบได้กับการเตือนถึงสังขาร ที่เปลี่ยนแปรไปตามเวลา แต่ในอีกทางหนึ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันมันคือสารที่พยายามจะบอกว่าเรากำลังใกล้เดินทางไปสู่ความตายมากขึ้นเรื่อยๆ
ในแง่นี้ความตายจึงสวยงาม หรือพูดอีกแบบหนึ่งเราอาจมองได้ว่าความตายนั้นช่างสวยงามเพราะความตายอาจเปรียบกับการปลดปล่อยตัวตนที่ว่างกลวงไร้ความหมายในตัวเอง ปลดปล่อยชีวิตที่ความหมายของชีวิตต้องขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น/คนอื่นอยู่ตลอดเวลา ปัจเจกบุคคลสมบูรณ์แบบไม่อาจเกิดขึ้นได้พร้อมๆ กับที่สัตว์สังคมสมบูรณ์แบบก็ไม่อาจมีอยู่จริง โครงสร้างสังคมอาจกำหนดเราแต่มันก็ไม่มีทางกำหนดได้สมบูรณ์ เราต่างสร้างและเสริมกันอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับที่เราต่างก็กัดกินกรีดเฉือนกันอยู่ตลอด เราจึงทั้งเหงาและเศร้าไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน แต่เราก็มีอิสระไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน ชีวิตและความตายอาจเป็นด้านตรงข้ามของกันและกัน แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
แต่บางทีชีวิตไม่ได้มีแค่ความหมายในเรื่องของความหมาย แต่มันยังมีชีวิตที่เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นตัวเป็นตน มันคือความหมายในอีกแบบอีกลักษณะ เพราะคนเรามี “หัวใจ” ไม่ใช่แค่ในด้านความรู้สึก แต่คือหัวใจเป็นก้อนๆ ที่เต้นตุบๆ อยู่ในทรวงอก คอยสูบฉีดให้ชีวิตในแต่ละชั่วขณะ และมากไปกว่านั้นคือมันไม่ใช่แค่หัวใจ แต่ต้องมีลมหายใจหรืออากาศด้วยที่ทำให้คนเรามีชีวิตดำรงตนและดำเนินไป ลมหายใจและหัวใจเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถสร้างความหมายให้กับชีวิตไปได้เรื่อยๆ และความหมายของชีวิตก็ล้วนต่อเติมหรือเป็นแรงผลักดันให้เรายังคง หายใจ สองด้านของความหมายของชีวิตดำเนินไปด้วยกัน มันจึงไม่ใช่แค่ชีวิตแต่เป็นชีวิตชีวาด้วยหากการขาดอากาศหายใจทำให้เราไม่สามารถมีชีวิตต่อไป การขาดกิจกรรมที่ให้ความหมายมันก็คงเปรียบได้กับการตายในทางสังคม
แม้ภาพยนตร์เรื่อง Air Doll ในแง่หนึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการสวมใส่ความเป็นมนุษย์ลงไปในสิ่งของ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ฉายภาพด้านกลับให้เราเห็นว่าเราก็ต่างทำให้ผู้คนกลายไปเป็นสิ่งของด้วยกันทั้งนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นแต่เพียงเรื่องราวของตุ๊กตายางที่มีชีวิตขึ้นมา แต่ใช่หรือไม่ว่าในหลายๆ ครั้งเราก็อาจเคยทำให้คนที่มีชีวิตและเลือดเนื้อกลายไปเป็นเพียงแค่ตุ๊กตายางเป่าลมเช่นกัน ถึงกระนั้น คงมิอาจปฏิเสธว่าชีวิตเราท่านทั้งหลายก็ดำเนินไปในแบบนั้น
ป.ล. ในทำนองเดียวกัน ข้อเขียนชิ้นนี้ก็คงหนีไม่พ้นการลดทอนให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นเพียง “สิ่ง” ที่ใช้ถูกอธิบาย และผมในฐานะผู้กระทำการเขียนก็คงถูกประเมินในกรอบของความสามารถในการถ่ายทอด ความหมายของผมในฐานะผู้เขียนข้อเขียนชิ้นนี้ก็ทั้งถูกให้และถูกลดทอนภายใต้ข้อเขียนชิ้นนี้เฉกเช่นเดียวกัน เพราะในท้ายที่สุด ไม่ว่าผม หรือคุณ หรือใคร ข้อเขียนชิ้นนี้หรือข้อเขียนชิ้นไหนๆ รวมไปถึงภาพยนตร์เรื่องนี้และภาพยนตร์ทั้งหมดทั้งมวล เมื่อถูกหยิบมาพูดหรือเขียน มันก็ถูกหยิบเลือก ฉวยฉุด ยื้อยุด ทั้งหมดทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ต่อคำถามเรื่องในการดำเนินชีวิตไปในโลกว่าเราจะหลีกหนี “หน้าที่” และ “การแทนที่” ไปได้หรือไม่อย่างไร คงเป็นคำถามที่เราท่านคงต้องขบคิดกันต่อไป หรือกระทั่งว่าจะหลีกหนีไปเพื่ออะไรก็คงเป็นคำถามสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
สวนหนังสือ
นายยืนยง
ชีวประวัติของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ในความจดจำของฉัน เป็นเพียงภาพร่างของนักเขียนในอุดมคติ ผู้ซึ่งอุทิศวันเวลาของชีวิตให้กับงานเขียนอย่างเคร่งครัด ไม่มีสีสันอื่นใดให้ฉันจดจำได้อีกมากนัก แม้กระทั่งวันที่เขาหมดลมหายใจลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ฉันจำได้เพียงว่าเป็นเดือนกุมภาพันธ์...
เด็กใหม่ในเมือง
กลับมาอีกครั้งสำหรับรายการวิทยุส่วนตัวของผมครับ :-)ผมบันทึกเสียงรายการตอนนี้ในคืนวันวาเลนไทน์ เลยทำให้บรรยากาศของวันแห่งความรักเผลอตลบอบอวลเข้ามาในรายการด้วยตอนนี้เลยมีเพลงรักดีๆ ให้ฟังกันเยอะครับเชิญฟังกันได้เลยครับ
Cinemania
บริวารเงา
ขงจื๊อ เป็นชื่อหนึ่งที่ผมได้ยินมาเนิ่นนาน ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็นหนังจีนกำลังภายในสักเรื่องหนึ่งที่อ้างชื่อนี้ขึ้นมาเพื่อพูดถึงปรัชญาในเรื่องคุณธรรมน้ำมิตร ผมมารู้จักเขาอีกครั้งในห้องสมุดช่วงที่กำลังสนใจพวกวิชาปรัชญา จิตวิทยา วรรณกรรม ฯลฯ แต่ผมกลับไปชอบปรมาจารย์จีนอีกคนคือ เล่าจื๊อ เสียมากกว่า เพราะว่าแกมีความคิดที่ 'แนว' ดี (อารมณ์ของวัยรุ่นเช่นนี้แล) อีกนัยหนึ่งก็ดูเพี้ยน ๆ อีกนัยหนึ่งก็มีอารมณ์ศิลปินกว่าขงจื๊อ
ขณะที่ผมเห็นว่าขงจื๊อเอาแต่พร่ำบ่นอะไรที่เป็นหลักจริยธรรมน่าเบื่อ ๆ ซึ่งความน่าเบื่อนี้ไม่ใช่ความผิดของขงจื๊อเสียทีเดียว แต่เป็นเพราะหลักจริยธรรมทั้งหลายเหล่านี้มันถูกกรอกหูอยู่ทุกวันในชั้นเรียน และในสื่อต่าง ๆ จน 'วัยรุ่นเซ็ง' ในโลกความจริงที่พวกเขาพบเจอมันไม่เห็นมีอะไรงดงาม ๆ อย่างที่พร่ำสอนไว้เลย
ชีวิตผมดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ ผ่านพ้นอะไรมาหลายอย่าง ผาดโผนบ้างน่าเบื่อบ้างเหมือนชีวิตหลาย ๆ คน พบเจอชื่อใหม่ ๆ ที่ผมต้องไปค้นในห้องสมุดหรือตามอินเตอร์เน็ตจนแทบจะลืมชื่อขงจื๊อไปแล้ว มาพบชื่อเขาอีกครั้งจากป้ายโฆษณาภาพยนตร์ในห้างจนความสงสัยผมพุ่งพรวดว่าคนที่มีแนวคิดน่าเบื่อขนาดนี้ถูกนำมาสร้างเป็นหนังได้ด้วยหรือ!?
ถ้าให้พูดแบบแฟร์ ๆ หน่อยล่ะก็ ขงจื๊อเป็นคนที่มีอิทธิพลทางความคิด จิตใจ ของชาวเอเชียตะวันออกอยู่มากที่เดียว โดยต้องนับรวมไปถึงชาวเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในที่อื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเรื่องการนับถือบรรพบุรุษ เรื่องการนับถืออาวุโส เรื่องการรู้จักหน้าที่ของตนเอง ฯลฯ ทั้งหลายเหล่านี้สืบทอดมาทั้งในรูปแบบของคำสอน พิธีกรรม และวิถีปฏิบัติ ที่คาดว่าชาวไทยเชื่อสายจีนทั้งหลายคงคุ้นเคยกันดี
ผมไม่ค่อยแปลกใจนักที่รู้ว่าผู้สนับสนุนรายใหญ่ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้คือสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กำลังเป็นมังกรผงาดในทางเศรษฐกิจโลก และกำลังพยายามประกาศตนให้โลกรู้ด้วยศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย นอกจากภาพยนตร์ของจางอี้โหมว พิธีเปิดกิฬาโอลิมปิก และภาพยนตร์มังกรสร้างชาติแล้ว จีนแผ่นดินใหญ่ยังเคยพยายามสร้างขบวนการ 5 สี แข่งกับญี่ปุ่นมาแล้ว แต่งานโปรดักชั่นนี้ยังไม่ถึงขั้นของญี่ปุ่นแน่ ๆ ล่ะ
ตัดเรื่องขบวนการ 5 สี ออกไป งานภาพยนตร์โรงใหญ่ของจีนนี้คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามาพร้อมกับความอลังการณ์แน่นอน คอภาพยนตร์แนวเดียวกันคงจำ "Hero" กันได้ ซึ่งนอกจากเรื่องความอลังการณ์ จังหวะการเล่าเรื่องบางช่วงแล้ว เรื่อง ขงจื๊อ ก็มีการ 'เล่น' กับโทนสีเช่นเดียวกับ Hero เหมือนกัน (ซึ่งไว้จะพูดถึงต่อไป)
แน่ะ ๆๆๆ ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนพอได้ยินว่ามันเป็นเรื่องจีนแผ่นดินใหญ่เข้าคงพากันสงสัยแน่ ๆ ว่ามันจะเป็นภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่ออีกหรือไม่ ตัวผมเองรู้เต็มอกว่ามันต้องมีโฆษณาชวนเชื่อแฝงมาอยู่แล้ว แต่ผมไม่สนใจ ยังไงผมก็จะดู และอยากจะให้ลองมองกันแฟร์ ๆ กว่านี้หน่อยว่า ไม่ว่าภาพยนตร์จากชาติไหน ภาษาไหน ใครสนับสนุนมันก็มีโฆษณาชวนเชื่อทั้งนั้นแหละครับ
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอภาพชีวประวัติของขงจื๊อ หรือที่รู้จักกันในยุคสมัยนั้นว่า 'ขงฉิ่ว' ผู้ที่เกิดเมื่อ 551 ปีก่อนคริสตกาลจากชีวประวัติวัยเด็กซึ่งตัวภาพยนตร์ไม่ได้เล่า ขงฉิ่วสูญเสียพ่อซึ่งเป็นนักรบไปเมื่ออายุ 3 ปี และอาศัยอยู่กับแม่ท่ามกลางความยากจนแต่ก็สนับสนุนให้เขาได้เรียนหนังสือ โดยในเรื่องนี้เริ่มต้นเล่าในฉากที่ขงฉิ่วอยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่รับราชการมีลูกมีเมียแล้ว
และสิ่งที่เราจะได้เห็นจากขงจื๊อฉบับภาพยนตร์ คือภาพของขงจื๊อในฐานะมนุษย์ปุถุชน มากกว่าภาพของปราชญ์ต้นแบบที่ดูเลิศเลอ ไม่เชิงว่าตัวขงจื๊อที่แสดงโดยโจวเหวินฟะ จะละทิ้งความเป็นนักอุดมคติไปทั้งหมด แต่ในช่วงครึ่งแรกที่ขงฉิ่วต้องต่อกรกับ 'กลุ่มผู้มีอำนาจ' เขาไม่ได้เอาอุดมคติลุ่น ๆ เข้าไปเสยคาง แต่มีการใช้วาทศิลป์ ใช้เล่ห์กลตบตา จนคนที่เคยซึมซับแต่คำสอนของเขามาคงนึกไม่ออกว่าจะได้เห็นขงจื๊อในภาพที่ดูเป็น 'นักการเมือง' แบบนี้ (ถึงจะเป็นเรื่องเล่าก็เถอะ)
เรื่องนี้คงเหมือนกับการที่รัฐบาลจีนนำเสนอเรื่องราวของขงจื๊ออีกครั้งนั่นแหละครับ ทั้งที่ในสมัยก่อนพรรคคอมมิวนิสท์จีนต่อต้านขงจื๊อจะเป็นจะตาย มองว่าเป็นแนวคิดแบบศักดินาบ้าง อะไรบ้าง มีการยกเลิกพิธีพรรมรำลึกถึงขงจื๊อ แต่พอถึงช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาก็ค่อยรื้อฟื้นมาอีกครั้ง และในปัจจุบันพวกสื่อบันเทิงทั้งหลายของจีนก็เริ่มตามกระแสโลกมากขึ้น การจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มันก็ต้องรู้จักหาอะไร 'จับใจ' คนด้วย จริงไหม
แต่บทเรียนอย่างหนึ่งที่จีนควรรู้ไว้คือ การแข่งขันทางธุรกิจบันเทิงนี้ผู้บริโภคเขาก็อยากมีตัวเลือกหรืออยากบริโภคอะไรที่มันดู Globalized หรือดูเป็นสิ่งที่คนอื่น ๆ ทั่วโลกเขาดูกัน ฉะนั้นการไปจำกัดโรงฉายเรื่อง Avatar เพื่อเอาเรื่องขงจื๊อมาฉายจึงถูกชาวจีนก่นด่า ต่อต้าน ทำให้เรื่องขงจื๊อเสียคะแนนไปปล่าว ๆ ปลี้ ๆ เพราะคนเกิดอคติไปก่อนเสียแล้ว
เท่าที่ผมลองสำรวจบทวิจารณ์ของชาวจีนในเน็ตมา หลายคนดูจะไม่ชอบภาพยนตร์ขงจื๊อเท่าไหร่ เช่น บล็อกเกอร์จีนที่ชื่อ Han Han เขียนวิจารณ์ไว้ในบล็อกว่าหนังเรื่องขงจื๊อไม่ได้สามารถทำให้คนดูรู้สึกซาบซึ้งกับมันได้เท่าที่โจวเหวินฟะเคยคุยไว้ (โจวเหวินฟะถึงขั้นเคยบอกเลยว่า "ถ้าดูเรื่องนี้แล้วไม่ร้องไห้ ก็ไม่ใช่คนแล้ว")
อีกบทหนึ่งที่ท้าทายการแสดงของโจวเหวินฟะมากคือบทตอนที่ขงจื๊อแกต้องเผชิญกับสภาพความขัดแย้งระหว่างแนวคิดอุดมคติของเขากับโลกของความจริง อีกฉากหนึ่งที่ผมค่อนข้างประทับใจคือฉากที่หนานจื่อ พระชายาจากแคว้นหนึ่ง ที่ตัวหนังฉายภาพเป็นหญิงร้ายคอยใช้เสน่ห์เป่าหูผู้นำ เธอได้พบกับขงจื๊อ และประชันบทบาทกันอย่างกระชั้นชิด ก่อนจะทิ้งท้าย ด้วยคำพูดที่บาดความรู้สึกอย่าง "ฉันเข้าใจความเจ็บปวดลึก ๆ ในตัวคุณ"
...และหลังจากนั้นภาพยนตร์ก็ฉายภาพ 'ความเจ็บปวด' ของ ขงจื๊อที่เขาต้องหะหกระเหิน ไปพร้อมกับเหล่าลูกศิษย์ลูกหา ภาพของขงจื๊อที่ดูรุ่งโรจน์และเป็น 'นักการเมือง' ที่ประสบความสำเร็จในช่วงแรก ๆ เริ่มกลายเป็นภาพของวีรบุรุษตกอับ (Tragic Hero) ที่ยังคงยืนยันวิถีทางความเชื่อของตนเอง และสั่งสอนผู้คนโดยไม่สนว่าจะถูกต่อต้าน
เนื้อเรื่องในช่วงหลังนี้ ผมว่าภาพยนตร์ยังสื่อออกมาไม่ได้อารมณ์เท่าช่วงแรก ๆ หลายบทหลายตอนดูไม่ปะติดปะต่อ และทำให้รู้สึกถึงความอิหลักอิเหลื่อของการพยายามอิงประวัติดั้งเดิมกับการเสริมแต่งจินตนาการที่ไม่ได้เน้นไปทางใดทางหนึ่ง จนทำให้คนที่ดูเพื่อ 'เอาประวัติ' ก็ไม่ได้ประโยชน์ คนที่ดูเพื่อความบันเทิง (เช่นผม) ก็จะไม่ได้รับรสชาติความเป็นหนังอย่างเต็มที่
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือการที่ภาพยนตร์พยายามเน้นโทนสีน้ำเงิน/คราม อย่างมากทั้งฉากและเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะฉากที่มีขงจื๊ออยู่ ถ้าว่าตามหลักศิลปะแบบซื่อ ๆ แล้ว สีน้ำเงินเป็นสิ่งที่สื่อถึงความสุขุม สติปัญญา และความสุภาพ ขณะเดียวกันก็เป็นวรรณะสีเย็น
ขณะที่ดูเรื่องนี้อยู่ก็ไพล่นึกไปถึงปราชญ์จีนอีกคนที่ชื่อเล่าจื๊อซึ่งผมได้พูดถึงตอนต้น จากหนังสือต่าง ๆ ที่ผมอ่านมารู้สึกว่าทั้งเล่าจื๊อและขงจื๊อ ต่างก็เป็นปรัชญาคนละสาย คนละขั้ว ขงจื๊อออกจะเน้นเรื่องคุณธรรมน้ำมิตร เรื่องในเชิงรัฐศาสตร์และจริยศาสตร์ในชีวิตประจำวัน ขณะที่เล่าจื๊อเน้นพูดถึงปรัชญาที่จับต้องไม่ค่อยได้ แต่ก็มีความหมายลึก ๆ บางคนถือว่าเล่าจื๊อเป็นนักเสรีนิยม หรือนักคิดแนวอนาธิปไตยคนแรกทีเดียว
แต่อย่างที่ขงจื๊อบอกไว้ว่า เล่าจื๊อสำหรับเขาแล้วเปรียบเหมือนมังกร ซึ่งยากจะเข้าถึงและใช่จะได้เห็นในชีวิตปกติ ผมหวังว่าจะได้เห็นฉากวิวาทะทางปรัชญาของปราชญ์สองท่านนี้อยู่เหมือนกัน ไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม แต่ตัวหนังก็นำเล่าจื๊อออกมาในฉากหนึ่ง ที่แต่งด้วยเทคนิคภาพจนดูเหมือนเป็นเทพอะไรสักอย่างโผล่มาชี้แนะขงจื๊อ และขงจื๊อก็น้อมรับฟัง เราเลยอดดู 'ดราม่า' ไป
เนื้อหาของภาพยนตร์ยังสะท้อนความขัดแย้งระหว่างแคว้นต่าง ๆ การแย่งชิงอำนาจ รวมถึงการกดขี่จากประเพณีของผู้มีอำนาจ เช่นการต้องฝังบ่าวไพร่ไปพร้อมกับนายเมื่อนายเสียชีวิต แน่นอนว่าแนวความคิดของขงจื๊อไม่ก้าวหน้าเท่ายุคปัจจุบันที่มีเรื่องของหลักการสิทธิมนุษยชน (ที่ในบ้านเรายังดูไม่ค่อยมีมาตรฐานเท่าไหร่) เรื่องรัฐสวัสดิการ (ที่ดูลม ๆ แล้ง ๆ พิกล) ฯลฯ แต่สำหรับในยุคนั้นแล้วหลาย ๆ เรื่องก็ถือว่าก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเรื่องการศึกษาที่ขงจื๊อคิดว่าทุกชนชั้นควรมีสิทธิได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน เรื่องการละเลิกพิธีกรรมป่าเถื่อนที่ไม่เคารพคุณค่าของมนุษย์ ฯลฯ
และการที่ได้เห็น 'พระเอก' คนนึงต่อสู้กับ 'ผู้มีอำนาจ' อยู่ในโลกภาพยนตร์ มันก็ชวนให้เอาใจช่วยอยู่ไม่น้อย (พล็อตสูตรสำเร็จแบบนี้ ตราบใดที่มันยังตอบสนองมนุษย์ได้ มันก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป)
...แม้คำว่า 'คุณธรรม' ที่ขงจื๊อ ชอบอ้างถึง ในปัจจุบันมันจะถูกนำมาปู้ยี้ปู้ยำโดยกลุ่มที่มีอำนาจตรวจสอบคนอื่น แต่ตนเองตรวจสอบไม่ได้ก็ตาม
ตัวอย่างภาพยนตร์