บันเทิง

ทิงนองนอย : การค้นพบของหมาทันสมัย

(ก่อนจะเริ่มบทความ...คุณผู้อ่านรู้สึกไหมครับ ว่าชื่อบทความกับชื่อผม มันคล้องจองกันพิลึก อิอิ...)

 

 

ไม่รู้ว่าท่านผู้อ่านจะมีศิลปิน หรือวงดนตรีใดๆ ที่เมื่อมีอัลบั้มใหม่ของพวกเขา / เธอ ออกวางแผง เราก็ไม่รีรอที่จะรีบไปหาอัลบั้มมาเป็นเจ้าของโดยพลันหรือเปล่า

 

สำหรับตัวผม...โมเดิร์นด็อกสร้างความรู้สึกแบบนี้ให้ผมตลอดมา ตั้งแต่สมัยผมควักเงิน 60 บาทจากกระเป๋านักเรียนสีกากีออกจากกระเป๋า และคว้าอัลบั้ม “โมเดิร์นด็อก” (ที่มีชื่อเล่นว่าอัลบั้ม “เสริมสุขภาพ”) จากแผงเทป

 

จนถึงวันนี้ วันที่โมเดิร์นด็อกมีอัลบั้ม “ทิงนองนอย” ออกมาเป็นอัลบั้มใหม่ ความรู้สึกนั้นก็ยังเกิดกับผมไม่แปรเปลี่ยน เพราะในแต่อัลบั้ม โมเดิร์นด็อกจะกลับมาพบกับเราในรูปแบบที่ไม่ซ้ำเดิม ตั้งแต่การเป็นผู้นำกระแสอัลเทอร์เนทีฟ (โมเดิร์นด็อก), การนำกลิ่นอายของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ (คาเฟ่), งานทดลองที่วัดใจทั้งคนทำและคนฟัง (Love me love my life) งานอคูสติก (Very Common of moderndog), การกลับสู่ความเรียบง่าย (แดดส่อง)

 

มาถึงวันนี้ หลังจากอัลบั้ม “แดดส่อง” มา 4 ปี (ซึ่งระหว่างนั้น โมเดิร์นด็อกก็ยังคงตระเวนเล่นสดอย่างสม่ำเสมอ สลับกับโปรเจ็กต์ย่อยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานในโปรเจ็กต์ “น้ำคือชีวิต” ร่วมกับคาราบาวและเฉลียง, โปรเจ็กต์ BoydPod และการร่วมงานในอัลบั้ม “มนต์เพลงคาราบาว” เป็นต้น) ในวันที่โมเดิร์นด็อกออกนอกร่มเงาของเบเกอรี่ มิวสิค และออกอัลบั้มภายใต้สังกัดของตัวเอง และในวันที่วงการเพลงแตกต่างจากวันที่ผมยังใส่กางเกงขาสั้นสีกากีมากมายเหลือเกิน

 

ผมจึงสนใจว่า ในคราวนี้โมเดิร์นด็อกจะมาไม้ไหนอีก ;-)

รักที่เปลี่ยนโลก

นายยืนยง

 

 

ชื่อหนังสือ : อาถรรพ์แห่งพงไพร

ผู้เขียน : ดอกเกด

ผู้แปล : ศรีสุดา ชมพันธุ์

ประเภท : นวนิยายรางวัลซีไรต์ พิมพ์ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2549

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เสมสิกขาลัย


กลับบ้านสวนคราวที่แล้ว ตู้หนังสือยังคงสภาพเดิม ละอองฝุ่นเหมือนได้ห่อหุ้มมันให้พ้นจากสายตาผู้คน ไม่ก็ผู้คนเองต่างหากเล่าที่ห่อหุ้มตัวเองให้พ้นจากหนังสือ

นอกจากตู้หนังสือที่เงียบเหงาแล้ว รู้สึกมีสมาชิกใหม่มาเข้าร่วมขบวนความเหงาอีกสามสิบกว่าเล่ม น่าจะเป็นของน้องสาวที่ขนเอามาฝากไว้ ฉันจึงจัดเรียงมันใหม่ในตู้ใบเล็กที่วางอยู่ข้างกัน ดูเป็นบ้านที่หนังสือเข้าครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ ราวมันเองต่างหากที่เป็นเจ้าของบ้าน แต่หนังสือนั้นหากไร้คนอ่าน คุณค่าของมันจะอยู่ที่ตรงไหน เป็นเฟอร์นิเจอร์ประกาศรสนิยมเจ้าของบ้านเท่านั้นหรือ

ก่อนกลับเข้าเมือง ฉันหยิบวรรณกรรมแปลเล่มหนึ่งมาด้วย เพราะอยากรู้จักนักเขียนจากประเทศนี้ขึ้นมา

คิดให้ได้?

นายยืนยง

ชื่อหนังสือ : เจ้าหญิงน้อย (A Little Princess)

ผู้เขียน : ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เน็ตต์ (Frances Hodgson Burnett)

ผู้แปล : เนื่องน้อย ศรัทธา

ประเภท : วรรณกรรมเยาวชน พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2545

จัดพิมพ์โดย : แพรวเยาวชน

ปีกลายที่ผ่านมา มีหนังสือขายดีติดอันดับเล่มหนึ่งที่สร้างกระแสให้เกิดการเขียนหนังสืออธิบาย เพื่อตอบสนองความสนใจผู้อ่านต่อเนื่องอีกหลายเล่ม ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิเคราะห์เอย ด้านมายาจิตเอย ทำให้หลายคนหันมาสนใจเรื่องความคิดเป็นจริงเป็นจัง หนังสือเล่มดังกล่าวนั่นคงไม่เกินเลยความคาดหมาย มันคือ เดอะซีเคร็ต

ใครเคยอ่านบ้าง?

คนที่ไม่ชอบหนังสือแนวแนะนำวิธีการ หรือที่เรียกติดปากว่า ฮาวทู อาจขยับความชิงชังออกห่างไปนิด

แต่ก็ไม่มากหรอก เพราะอย่างไรมันก็คือ ฮาวทู วันยังค่ำ ต่อให้ผู้แปลเป็นดั่งดาวกระจ่างฟ้า เนื้อนัยก็ไม่อาจเทียบรัศมี

ส่วนใคร ๆ ที่อ่านวรรณกรรมจะตอบได้ทันทีว่า เดอะซีเคร็ต เป็นหนังสือสุดเชย และไม่ใช่ของเก่า ประเภทหมักบ่มมาสองชั่วอายุคน แล้วเพิ่งถูกค้นพบจนฮือฮากันไม่เลิก ก็เพราะในวรรณกรรมเยาวชน เรื่อง

เจ้าหญิงน้อย (A Little Princess) ของ ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เน็ตต์ (Frances Hodgson Burnett) ที่เนื่องน้อย ศรัทธา แปลเอาไว้ มีเรื่องราวเดียวกับ หรือคล้ายคลึงกับ เดอะซีเคร็ตเป็นแก่นเรื่อง หนำซ้ำ

เจ้าหญิงน้อยเรื่องนี้ยังอ่านได้อรรถรส น่ารื่นรมย์กว่ากันเยอะ ใครที่เคยอ่านเดอะซีเคร็ตจะรู้สึกเหมือนถูกครอบงำอยู่ตลอดทั้งแต่อักษรตัวแรก

เหมือนว่าเมื่อวานนี้เอง

นายยืนยง


ผู้เขียน
:
เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 สิงหาคม 2551

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ในดวงใจ

ชวนอ่านเรื่องสั้นมหัศจรรย์

ปลายกันยายนจนถึงต้นเดือนตุลาคมปีนี้ ข่าวสารที่ได้รับค่อนไปทางรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐที่ส่อเค้าว่าจะลุกลามไปทั่วโลก ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน หุ้นร่วงรูดเป็นประวัติการณ์ ชวนให้บรรดานักเก็งกำไรอกสั่นขวัญแขวน ไม่กี่วันจากนั้น รัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ ซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งได้ไม่กี่วัน ก็ได้ใช้อำนาจทำร้ายประชาชนอย่างไร้ยางอาย ตลอดวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ภาพเหตุการณ์ในจอโทรทัศน์ทำให้เกิดความรู้สึกว่าประเทศนี้เป็นดินแดนอนารยะเต็มขั้น แต่คนที่ติดตามข่าวสารชนิดเสพติดอาจหลงลืมไปว่า ปลายฤดูฝนที่มาพร้อมมรสุมติดต่อกันไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา เขามีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร

การทำกำแพงกั้นน้ำไม่ให้ทะลักเข้านาข้าวที่กำลังชูยอดใบไสวเป็นหน้าที่สำคัญไม่ย่อหย่อนกว่าการประกาศตัวว่าเป็นคนรักชาติ อย่างน้อยที่สุด อาหารมื้อต่อไปก็รออยู่ตรงหน้า เพราะไม่ว่านโยบายอุ้มสถาบันการเงินสหรัฐจะชอบธรรมหรือไม่ ไม่ว่าตำรวจจะสวมวิญญาณข้าราชการผู้จงรักภักดีประทุษร้ายประชาชนด้วยข้ออ้างสูงส่งปานใด ต่อให้รัฐบาลนายสมชายจะหน้าบางแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกหรือไม่ ถั่วฝักยาวก็ยังทอดตัวรอให้เก็บไปเป็นมื้ออาหาร ปูปลาที่เริงรื่นกับน้ำที่มาใหม่ก็ยังเป็นความสามัญของหม้อแกง ประเทศเกษตรกรรมจะมั่นคงอยู่ได้ก็ด้วยสิ่งเหล่านี้ สอดรับกับอมตะวาจาที่ว่า เงินทองคือมายา ข้าวปลาคือของจริง นั่น นอกเสียจากว่า ผืนนาจะไม่ใช่ของคนไทยเท่านั้นเอง

'ตลกพม่า' ประชัน 'ตลก.ไทย' ใครขำกว่า

Ko We Kyaw

เมื่อวันเสาร์ สัปดาห์ก่อน มีการจัดงาน ‘Saffron Revolution, A Year Later' ที่จัดโดยคณะผลิตสื่อเบอร์ม่า (Burma Media Production) หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อรำลึกถึง 1 ปี แห่งการปฏิวัติชายจีวร นอกจากการเสวนาและการกิจกรรมเพื่อเป็นการรำลึกแล้ว ภาคบันเทิงในงานก็มีความน่าสนใจเพราะมีการแสดงจากคณะตีเลตี (Thee Lay Thee) ที่มีชื่อเสียงจากพม่า

การแสดงในวันดังกล่าว เป็นการแสดงในเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี 2551 หลังจากเคยจัดการแสดงมาแล้วในเดือนมกราคม และการแสดงการกุศลเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยนาร์กิส เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ในพม่า ซึ่งควบคุมเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนเป็นอย่างมาก สื่อโทรทัศน์ วิทยุส่วนใหญ่เป็นของรัฐบาล มีการผ่อนปรนให้เอกชนประกอบกิจการผลิตสิ่งพิมพ์บ้าง แต่ก็ต้องมีใบอนุญาตและถูกเซ็นเซอร์จากรัฐบาลก่อนจำหน่าย การแสดงละคร ดนตรี ทั้งการแสดงสด และบันทึกการแสดงลงเทป หรือซีดีเพื่อจำหน่ายก็ต้องได้รับอนุญาตเช่นกันถึงจะสามารถแสดงได้

การแสดงตลก แม้จะต้องได้รับอนุญาตก่อนแสดง แต่ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการแสดงความคิดเห็นต่อสังคมและการเมืองพม่า เพราะมุกตลกที่ ซ่อน' สารกับผู้ชม ก็เป็นเรื่องยากกว่าที่รัฐบาลจะจับได้ไล่ทัน แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลซึ่งถูกส่งไปสังเกตการแสดงตลกก็ยังหัวเราะชอบใจไปกับมุขเสียดสีรัฐบาลของคณะแสดงตลก!

ก๊อตซิล่า หัวหน้าคณะตลกตีเลตี เคยกล่าวว่า มุกตลกของพวกเขาเป็นเสียงจริงที่สะท้อนมาจากประชาชนบนท้องถนนในพม่า เราเพียงแต่รับฟังเสียงของประชาชน จากนั้นจึงสะท้อนชีวิตของพวกเขาโดยผ่านการแสดง

ซึ่งไม่ผิดไปจากนั้น

000

การแสดงรอบล่าสุดที่เชียงใหม่ของพวกเขา แม้นักแสดงจะมาไม่ครบทีม มีเพียงเส่งตี ปานตี ชอซุเมียว และก๊อดซิล่า แต่ก็สามารถสะท้อนชีวิตของชาวพม่าออกมาเป็นการแสดงแสบๆ คันๆ เสียดสีสภาพสังคมและรัฐบาลทหารพม่าเช่นเคย

ช่วงหนึ่งของการแสดงพวกเขากล่าวยกย่องพระสงฆ์และประชาชนพม่าที่ออกมาเดินขบวนเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ก่อนที่จะเสียดสีรัฐบาลโดยบอกว่าเดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธในพม่าไม่ครบพระรัตนตรัย คือมีพระพุทธ พระธรรม แต่ขาดพระสงฆ์ ที่ขาดเพราะพระสงฆ์ไปอยู่ที่อินเส่ง

ซึ่งในพม่าคุกอินเส่งเป็นสถานที่กักขังนักโทษการเมืองที่รัฐบาลทหารเห็นว่าเป็นปฏิปักษ์ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นนักโทษเจเนอเรชั่น'88 ที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลในเดือนสิงหาคมปี 1988 แต่ในปัจจุบันผู้ำนำสงฆ์ในการเดินขบวนเมื่อปีที่แล้ว ถ้าไม่ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ก็ถูกควบคุมตัวอยู่ภายในเรือนจำแห่งนี้เป็นจำวนมากเช่นกัน

เขายังกล่าวถึงผู้ปกครองพม่าอย่างแสบคัน โดยเปรียบเทียบกับผู้นำของประเทศอื่นๆ โดยนักแสดงได้กล่าวเปรียบว่าประชาชนแต่ละประเทศจะแสดงความเคารพต่อผู้นำประเทศเป็นอย่างมาก ในประเทศไทยประชาชนจะพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเดียวกันในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ ในสหรัฐอเมริกาประธานาธิบดีจอร์จ บุช มาเยือนชายแดนไทย-พม่าที่ อ.แม่สอด ก็ส่งบอดี้การ์ดมาอารักขาหลายพันคน ขณะที่ตานฉ่วยผู้นำของประเทศเรา ครั้งหนึ่งไปตรวจราชการที่เขตอิระวดี ซึ่งเป็นเขตที่ประสบภัยพิบัติจากพายุไซโคลนนาร์กีส ก็มีประชาชนชี้ไปที่ตานฉ่วยและบอกว่านี่คือคนที่บ้าที่สุดในประเทศพม่า

ตอนท้ายของการแสดง ก๊อดซิล่า หัวหน้าคณะ ยอมถอดโลงจีออกเหลือแต่กางเกงบ็อกเซอร์ แล้วสวมกล่องเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อซันโย (Sanyo - ถ้าเสียงแบบเลียนอักษรพม่าจะพ้องกับ ตะโยะ ในภาษาพม่าแปลว่า จีน) แปลงร่างเป็นหุ่นยนต์พูดความจริง หุ่นยนต์ตัวนี้มีความสามารถพูดความจริงได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องทะลึ่งทะเล้นสารพัดหุ่นยนต์ก็ตอบได้หมด

แต่พอถึงคำถามท้ายสุดท้ายว่าการเลือกตั้งปี 2010 ใครจะชนะการเลือกตั้ง หุ่นยนต์ตัวนี้ก็ช็อตและล้มตึงจากเก้าอี้ไปดื้อๆ ทำเอาผู้ชมหัวเราะปรบมืออย่างชอบใจ เพราะเสียดสีการเมืองพม่าภายใต้รัฐบาลทหารที่ควบคุมกลไกการปกครองในพม่าเป็นอย่างดี และเมื่อถามว่าทำไมถึงตอบไม่ได้ หุ่นยนต์ก็ตอบว่าเพราะยี่ห้อซันโยทำมาจากจีนกับอินเดีย ถึงตรงนี้ทำเอาผู้ชมยิ่งขำกันใหญ่ เพราะจีน กับ อินเดีย สองมหาอำนาจที่ขนาบพม่าต่างหนุนรัฐบาลทหารพม่า และกำลังทวีบทบาทและอิทธิพลในพม่า

ปิดท้ายการแสดงด้วยนาฏศิลป์ของซอซุเมียว โดยก่อนจบการแสดงก๊อดซิล่าหัวหน้าคณะยืนยันว่าแม้ผู้ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจอย่าง ซากะนา' จะถูกจับหลังจากระดมสิ่งของเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยจากพายุนาร์กิส แต่พวกเขายืนยันว่าจะแสดงตลกต่อไป

000

ขอเอาใจช่วยให้คณะตีเลตีได้ทำการแสดงกันต่อไป ไม่ถูกจับไปอบรมที่อินเส่งเสียก่อน

แต่ก็น่าอิจฉาพวกเขาตรงที่คณะตลกพม่ายังสามารถพูดถึงรัฐบาลพม่าได้ แม้จะกล่าวถึงอย่างเลี่ยงๆ แต่ก็สามารถพูดถึงได้อยู่ดี ไม่อย่างนั้นคนคงไม่ขำ แต่มี คณะ ตลก.' คณะหนึ่งของไทย ที่คนดูต้องวิจารณ์ คณะตลก.' ที่ว่าีนี้อย่างระมัดระวังอย่าง คณะตลก.รธน.'

ที่ในรอบ 2 ปีมานี้โชว์ลีลาอึ้ง ทึ่ง เสียว โดยเฉพาะรอบล่าสุดในการเชือดสมัคร คดีชิมไปบ่นไป คณะ ตลก. ลงทุนโยนกฎหมายแรงงานทิ้งหันมาเปิดพจนานุกรมเพื่อนิยามสมัครเป็นลูกจ้างให้ขาดคุณสมบัติการเป็นเสนาบดีให้ได้ แต่การตีึความที่ว่าทำเอาคนไทยขำแทบน้ำตาเล็ด เพราะนายจรัล' หัวหน้าคณะ ตลก.รธน. ก็ถูกคนดูสงสัยว่าจะเข้าข่ายเดียวกับสมัครตามการตีความด้วยพจนานุกรมจนต้องขาดคุณสมบัติตามนายสมัคร ที่ คณะตลก. เพิ่งเชือดไปหรือไม่!

ไม่รู้ว่าถ้า ตลกคณะตีเลตี' กับ คณะ ตลก.รธน.' มาประชัน ใครจะขำกว่ากัน

โดยเฉพาะถ้าให้หุ่นยนต์พูดความจริง' มาตอบคำถามเรื่องคุณสมบัติหัวหน้าคณะ ตลก.รธน. ไม่รู้ว่าหุ่นยนต์จะช็อตใบ้กินหรือเปล่า

เกี่ยวกับตีเลตี

นานาดี เขียนบทความลง นานาดี เขียนบทความลงนิตยสารสาละวิน ฉบับที่ 47 ประเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2551 อธิบายคณะ ตีเลตี' ว่าเป็นคณะนักแสดง อะเญะปอย' หรือ การแสดงตลก สลับกับการร้องและการรำแบบนาฏศิลป์พม่า  "ตีเลตี"  ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 จากความคิดของซากะนา (Zarganar) นักแสดงตลกอาวุโสชื่อดังในวงการบันเทิงพม่า เขาได้รวบรวมบรรดานักศึกษาไฟแรงจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ย่างกุ้งมาสร้างคณะตลก โดยการควบคุมของหัวหน้าคณะที่มีชื่อในการแสดงว่า ก๊อตซิล่า' (Gawzillar) อดีตเจ้าหน้าที่ในกระทรวงวัฒนธรรมที่ผันตัวเองออกมาเป็นนักแสดงอิสระ

สำหรับ ตีเลตี' มีความหมายว่า "สี่ผล" (ตี' แปลว่า ผล, ลูก เล' แปลว่า สี่) ในคณะมีนักแสดงชายตัวหลักที่ชื่อลงท้ายด้วยคำว่า ตี' 4 คน ได้แก่ ซีตี (พุทรา - Zee Thee) ปานตี (แอปเปิล - Pan Thee) เส่งตี (Sein Thee - เพชร) และเจตี (มะเฟือง - Kyae Thee) นอกจากนี้ยังมี ชอซุเมียว (Chaw Su Myo) และ เมียะซะแปโง่ง (Mya Sabae Ngone) นางรำสาวสวยที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับการแสดงแต่ละครั้งอีกด้วย

การแสดงมุขตลกการเมืองในพม่ามีความเสี่ยงสูง เช่น ปาปาเลย์ แห่งคณะแสดงสามพี่น้องตลกหนวด (The Moustache Brother) แห่งเมืองมัณฑะเลย์ที่มีชื่อเสียง ก็เคยถูกรัฐบาลจับมาแล้วหลายหน นักแสดงตลกอย่างซากะนา ก็ถูกรัฐบาลจับ

แต่การแสดงตลกก็เหมือนเป็นการพูดแทนในสิ่งประชาชนไม่สามารถพูดได้  ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้การแสดงของตีเลตีเป็นที่ถูกอกถูกใจชาวบ้านร้านตลาดเป็นอย่างมาก พวกเขาได้รับความนิยมและสามารถครองใจ ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งให้ไปสังเกตการณ์หน้าเวทีแต่ละครั้งก็ยังแอบชอบใจ

และก่อนหน้านี้ วีซีดีการแสดงของตีเลตีที่จัดขึ้นที่ทะเลสาบกั่นดอจี เมืองย่างกุ้ง เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ถูกทางการพม่าห้ามเผยแพร่ การันตีคุณภาพการแสดงของคณะนี้เป็นอย่างดี

รูปแบบการแสดงของคณะตีเลตีเหมือนการแสดง อะเญะปอย' ทั่วไป โดยจะโหมโรงด้วยการร้องเพลงเรียกน้ำย่อย ต่อด้วยนาฏศิลป์แบบพม่าของนักแสดงหญิงที่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงไปตามท่วงทำนองเพลงที่คึกคัก ถึงตรงนี้นานาดีชื่นชมการแสดงของนางรำเป็นอย่างมาก โดยว่านางรำสามารถเลี้ยงชายผ้าถุงความยาวประมาณเมตรเศษ ๆ ให้พลิ้วไหวอยู่ในอากาศได้อย่างน่าทึ่ง แต่ถ้าไม่รับการฝึกฝนจน ชำนาญแล้วละก็ แค่เดินเฉย ๆ ก็อาจสะดุดชายผ้าล้มหัวฟาดพื้นได้ง่ายๆ

และเมื่ออุ่นเครื่องจนร้อนได้ที่แล้ว ซีตี ปานตี เส่งตี และเจตี และก๊อตซิล่า หัวหน้าคณะ จะขนมุขตลกมาเพียบ โดยการแสดงตลกจะมีทั้งการพูดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในพม่า และการสมมติสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากการสนทนาระหว่างทหารพม่าและชาวบ้าน  ซึ่งทั้งบุคลิก น้ำเสียงและเครื่องแต่งกายของนักแสดงก็จะเปลี่ยนไปตามตัวละครนั้นๆ  เรียกได้ว่า ทำเอาคนดูแทบไม่มีเวลาหยุดหัวเราะตลอดเวลาการแสดง

อ้างอิง

บันเทิง: คณะตลกตีเลตี ผู้ซับน้ำตาเหยื่อนาร์กิสด้วยเสียงหัวเราะ,โดย นานาตี, นิตยสารสาละวิน ฉบับที่ 47 (16 พ.ค. - 30 มิ.ย. 51)

Thee Lay Thee Show a Smash in Chiang Mai, By Wai Moe, the Irrawaddy, Monday, January 28, 2008 http://www.irrawaddy.org/article.php?art_id=10054

บุญชู ไอ เลิฟ สระ อู : คนดีที่บ้านโข้ง

คุณรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับข่าวการเมืองในตอนนี้บ้างหรือเปล่าครับ?

เอาเข้าจริง ถ้าคุณเป็นคนปกติทั่วไป แม้ว่าจะสนใจการเมืองมากขนาดไหน แต่ถ้ารับปริมาณข่าวการเมืองจากหลากหลายฝ่ายถี่ๆ มันก็พาลจะเกิดอาการเอียน พาลให้ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว หรือหนักๆ เข้าอาจจะเล่นเอาอ้วกแตกเอาง่ายๆ

(อันนี้ผมขอยกเว้นบรรดานักเสพติดการเมืองตามบรรดาเวบบอร์ดการเมืองต่างๆ นะ ไม่รู้ว่าพวกพี่แกกินอะไรกัน ถึงได้สนใจเรื่องพรรค์นี้กันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย)

และด้วยภาวะการเมืองอันชวนพะอืดพะอมแบบนี้ อาจทำให้หลายๆ คนไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องหนัง ละคร รวมถึงเรื่องบันเทิงเริงใจต่างๆ แต่วันนี้ผมจะพูดถึงหนังภาคล่าสุดของหนังไทยภาคต่อที่คนไทยรักที่สุด

ใช่ครับ...ผมกำลังจะพูดถึง “บุญชู : ไอ – เลิฟ – สระ – อู” ซึ่งถ้านับจากตัวเลขภาค ก็ถือเป็นภาค 9 เข้าไปแล้ว

Imagine : แด่สงครามและ John Lennon

 

นพพร ชูเกียรติศิริชัย

Imagine : John Lennon

Imagine there's no heaven

It's easy if you try

No hell below us

Above us only sky

Imagine all the people 

Living for today

Imagine there's no countries

It isn't hard to do

No greed or hunger

And no religion too

Imagine all the people 

Living life in peace

You may say I'm a dreamer

But I'm not the only one

I hope someday you'll join us

And the world will live as one

Imagine no possessions

I wonder if you can

Nothing to kill or die for

A brotherhood of man

Imagine all the people

Sharing all the world

ผมเคยได้ยินและได้ฟังเพลง Imagine ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ฟันน้ำนมยังร่วงไม่หมดปาก ทั้งๆที่ในวัย 10 ขวบ ภาษาอังกฤษนั้นยังเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ (จนถึงตอนนี้ก็ยังยากอยู่ดี) แต่เจ้าบทเพลงของ John Lennnon เพลงนี้กลับทำให้ผมรู้สึกว่า "ดนตรีคือพื้นที่ปลอดพรมแดน"

ผมเติบโตมาในช่วงปลายของยุคสงครามเย็น (Cold War) และคลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีโอกาสได้นั่งชมบรรยากาศการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศรัสเซียผ่านหน้าจอโทรทัศน์ หลังจากนั้นผมก็เชื่อมั่นมาตลอดว่าต่อไปนี้ โลกจะไม่มีสงครามอีกแล้ว'

แต่จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ใครต่อใครต่างก็ทราบกันดีว่า สงคราม' ไม่เคยสิ้นสุด และอาณาเขตของมันก็มีแต่จะขยับขยายออกไปเรื่อยๆ เพียงแต่เราถูกทำให้หันไปใส่ใจใน แฟชั่นเพื่อโลกร้อนมากกว่า' ที่จะให้ความสำคัญกับ จำนวน' ของผู้บริสุทธิ์ที่ต้องสังเวยชีวิตไปกับการทดลองประสิทธิภาพของ อาวุธ' ในทุกมุมโลก

"พี่น้องร่วมโลกเอ๋ย มันจะดีกว่าไหม? ถ้าหากโลกนี้ไม่มีเส้นกั้นอาณาเขตมาแบ่งแยกดินแดนออกเป็นประเทศของฉันประเทศของเธอ

 

"มันจะดีสักแค่ไหน? หากโลกใบนี้ไม่มีความโลภและไม่มีความหิวโหย

 

"แล้วถ้าหากโลกใบนี้ไม่มีศาสนาที่จะมาแบ่งแยกว่า พระเจ้าของฉันนั้นยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าของเธอ' เธอกับฉันจะต้องมานั่งโต้เถียงกันอีกไหม?

 

"แล้วถ้าหากมนุษย์ทั้งโลกต่างมุ่งหวังที่จะแบ่งปันมากกว่าครอบครอง เราจะต้องฆ่าฟันกันไปเพื่อสิ่งใด?" (ดัดแปลงและเรียบเรียงจากเนื้อเพลง Imagine)

 

หลังจากที่ได้รับชมภาพยนตร์สารคดี ‘Imagine' ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของ Lennon ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงดนตรี The Beatles จนกระทั่งในวันสุดท้ายของชีวิต และท่ามกลางข่าวคราว กองทัพรัสเซียบุกเข้าโจมตีเมืองหลวงของจอร์เจีย' ผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้บริหารท่านหนึ่งเกี่ยวกับเนื้อเพลง Imagine ของ John Lennon

"จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีการโต้เถียงกันอยู่ว่า John Lennon เป็นคอมมิวนิสต์หรือเปล่า เพราะบางประโยคอย่าง Imagine no possessions, Imagine there's no heaven ,And no religion too

โลกที่ไม่มีการครอบครอง โลกที่ไม่มีนรกสวรรค์ โลกที่ไม่มีศาสนานี่มันหมายถึงสังคมแบบ คอมมิวนิสต์' หรือเปล่า?" ผู้บริหารหนุ่มกล่าวด้วยความสงสัย

"ผมว่าไม่นะครับ" คนว่างงานอย่างผมตอบกลับอย่างไม่ต้องคิด เพราะผมเชื่อว่าหาก คอมมิวนิสต์'หมายถึงแนวคิดที่ใช้ในการแบ่งแยกจำแนก มนุษย์' ออกเป็นสองฝ่าย มันก็คงจะเปล่าประโยชน์ที่ John Lennon จะมานั่งกล่าวถึง โลกที่เป็นหนึ่งเดียว (The wold will live as one)

ส่วนใครที่อยากจะรู้ว่าก่อนที่จะเป็น ‘Imagine' John Lennon คิดถึงอะไร? คงปฏิเสธไม่ได้ที่จะชมภาพยนตร์สารคดีเรื่อง ‘Imagine'

สำหรับผมก็ได้แต่หวังว่า ในสงครามครั้งต่อไป บทเพลง ‘Imagine' จะมีโอกาสดังก้องในกองทัพก่อนการนำผู้บริสุทธิ์เข้าสู่สงคราม

 

อาขยาน บ้านก้านมะยม สู่ปมคลี่คลายในสังคม

นายยืนยง


นวนิยายเรื่อง : บ้านก้านมะยม
สำนักพิมพ์ : นิลุบล

ผู้แต่ง : ประภัสสร เสวิกุล

อาขยาน เป็นบทท่องจำที่เด็กวัยประถมล้วนมีประสบการณ์ในการท่องจนเสียงแหบแห้งมาบ้างแล้ว ทุกครั้งที่แว่วเสียง ...

แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างประเปรียวเป็นนักหนา หรือ

มานี มานะ จะปะกระทะ มะระ อะไร จะไป จะดู หรือ

บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี ฯลฯ

เมื่อนั้น..ความรู้สึกจากอดีตเหมือนได้ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากความทรงจำ ช่างเป็นภาพแสนอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มและไม้เรียวของคุณครู ทั้งเสียงหัวเราะและเสียงกระซิบกระซาบจากเพื่อน ๆ ตัวน้อยในวัยเยาว์ของเรา แต่ขณะเดียวกันต้องยอมรับไปพร้อมว่า ยังมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อยที่ไร้โอกาสเข้าถึงการศึกษาภาคประถม  นวนิยายที่เขียนถึงสัมพันธภาพระหว่างครูกับลูกศิษย์ถือกำเนิดและดำรงอยู่เหมือนเป็นมนต์เสน่ห์หนึ่งของชีวิต และด้วยภาษาเขียนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน ชวนซาบซึ้ง ก็ทำให้นวนิยายเรื่อง บ้านก้านมะยม ก้าวออกมาจากความทรงจำอีกครั้ง

บ้านก้านมะยม ผลงานของประภัสสร เสวิกุล เป็นผลงานเขียนที่เล่าถึงความผูกพันระหว่างครูกับลูกศิษย์ ที่ความเรียบง่าย ซึ้งกินใจ แต่ความมุ่งหมายของผู้เขียน ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเชิงชั้นการประพันธ์เท่านั้น เพราะขณะเดียวกันยังเสนอแนะให้คนในสังคมครุ่นคิดไปถึงปัญหาด้านการศึกษาและแนวทางที่เด็กด้อยโอกาสจะเข้าถึงครู เข้าถึงความรู้ ...นี่เองที่เป็นจุดน่ายกย่องยิ่งเมื่อนวนิยายเรื่องหนึ่งจะมีมรรคประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าความงดงามทางวรรณศิลป์

อ่านแบบไร้ข้อจำกัด

นายยืนยง

ชื่อหนังสือ : แม่ทั้งโลกเป็นเช่นนี้

ผู้เขียน : ชมัยภร แสงกระจ่าง

ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2551

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ คมบาง

เมื่อคืนพายุฝนสาดซัดเข้ามาทั่วทิศทาง กระหน่ำเม็ดราวเป็นคืนแห่งวาตะภัย มันเริ่มตั้งแต่หกทุ่มเศษ และโหมเข้า สาดเข้า ถ้าเป็นหลังคาสังกะสี ฉันคงเจ็บปางตายเพราะฝนเม็ดหนานัก มันพุ่งแรงเหลือเกิน ต่อเนื่องและเยือกฉ่ำ

ฉันลุกขึ้นมาเปิดไฟ เผชิญกับความกลัวที่ว่าบ้านจะพังไหม? ตัดเรือน เสา ที่เป็นไม้ (เก่า) ฐานรากที่แช่อยู่ในดินชุ่มฉ่ำ โถ..บ้านชราภาพจะทนทานไปได้กี่น้ำ นั่งอยู่ข้างบนก็รู้หรอกว่า ที่ใต้ถุนนั่น น้ำคงเนืองนอง

อยากหลับต่อจนถึงเช้าคงจะยากแล้วล่ะ เพราะเลยหกทุ่มมันเป็นช่วงที่ความคิดตื่น สดใหม่ หากจะนอนให้หลับก็เสียดาย แต่ถึงจะฝืนคงหลับไม่เป็นดีหรอก

การนอนให้หลับสบายเพื่อตื่นขึ้นด้วยพลังเรี่ยวแรงเต็มชีวิต จะหาได้จากที่ไหนกัน เมื่อเราไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ว่าไป..การนอนหลับอาจถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง.. หรือเปล่านะ นอนคือพักผ่อน พัก ทุกอย่างไว้

และ ผ่อน (ไม่ใช่ผ่อนบ้าน) ผ่อนให้ทุกอย่างทุเลา อ่อนบางลงเสียบ้าง อะไร ๆ ในจอทีวีก็พักไว้ก่อน

ไม่ต้องเกร็งมาเฝ้าลุ้นระลึกไปกับข่าวต้นชั่วโมง กดรีโมตทีวีสลับไปสลับมาจนตาลาย หนังสือพิมพ์ก็เลือกอ่านอย่างปล่อยวางบ้าง ไม่ต้องบ้าคลั่งหยิบมาทีสี่ห้าฉบับเพื่อเปรียบเทียบว่า สำนักไหนเอียงข้างไหน แล้วมานั่งด่าเขาอย่างนั้นอย่างนี้

มาลัยสามชายกับนัยยะที่ไม่ได้เจตนา

 

นายยืนยง

 

10_9_01

ชื่อหนังสือ : มาลัยสามชาย

ผู้เขียน : .วินิจฉัยกุล

ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่ 1 กรกฎาคม 2550

จัดพิมพ์โดย : บริษัท ศรีสารา จำกัด

หนังสือที่ได้รับรางวัลดีเด่นในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ จะส่งผลกระทบหรือสะท้อนนัยยะใดบ้าง

เป็นเรื่องที่น่าจับตาอีกเรื่องหนึ่ง แม้รางวัลจะประกาศนานแล้ว แต่เนื้อหาในนวนิยายจะยังคงอยู่กับผู้อ่าน

เพราะหนังสือรางวัลทั้งหลายมีผลพวงต่อยอดขายที่กระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะประเภทวรรณกรรม เรื่องสั้น นวนิยาย กวีนิพนธ์ โดยในปีนี้ นวนิยายเรื่อง มาลัยสามชาย ผลงานของ .วินิจฉัยกุล ได้รับรางวัลดีเด่น ประจำปี 2551 น่าสังเกตว่า นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นภายใต้เจตนาของนักเขียน เพื่อจะยกย่องผู้หญิงที่ผ่านชีวิตสมรสมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ยังสามารถครองตัวให้เป็นที่ยอมรับนับถือ และคงไว้ซึ่งยศฐานบรรดาศักดิ์ เกียรติยศของวงศ์ตระกูล

ข้อนี้ปรากฏชัดเจนตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง ที่ตัวละครใน 2 ตระกูล ต้องการเป็นฝ่ายเก็บอัฐิของลอออร (นางเอกของเรื่อง) ราวกับอัฐิของคนคนนี้จะเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีให้วงศ์ตระกูลของตน สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้กับผู้อ่านตั้งแต่แวบแรกเลยทีเดียว

Pages

Subscribe to บันเทิง