Skip to main content

picture1

เรื่องขยะ ๆ มันโดนใจใครต่อใครหลายคน หลังจากที่เขียนเรื่อง แปดสิบบาทกับผู้ชายริมทางรถไฟ และในเรื่องมีขยะ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ปรากฎว่า มีผู้เขียนเข้ามาคุย และโทร.เข้ามาคุยเรื่องขยะ ๆ เป็นส่วนใหญ่ เรื่องของผู้ชายริมทางรถไฟหล่นหายไปพร้อมกับเรื่องวรรณกรรมที่อยากนำเสนอ

นั่นแสดงว่า เรื่องขยะ ๆ มันเป็นเรื่องโดนใจใคร ๆ และมีผู้สนใจเรื่องขยะอยู่พอสมควร สนใจนะคะไม่ใช่ชอบ  หรือรัก ใคร ๆ ก็ไม่ชอบขยะ และอยากเอาขยะออกไปให้พ้น ๆ ตัว

ดังนั้นขอคุยเรื่องขยะต่ออีกครั้งนะคะ

หญิงสาวคนหนึ่งมีอาชีพเป็นพยาบาล เธอคุยกับฉันว่า เธออยากเห็นตลาดสักแห่งหนึ่งที่เป็นตลาดไร้ถุงพลาสติก ขายกันด้วยใบกล้วย ใบตอง ผู้คนหิ้วตะกร้ามาจ่ายกับข้าว เอาถุงผ้ามาซื้อข้าวสาร เธอย้ำว่าเธออยากจะไปตลาดเช่นนั้น

ฉันก็เห็นด้วยกับเธอ แต่ฉันคิดว่าเธอคงไม่ได้เห็นหรอก 

ส่วนน้องสาวอีกคน เธอมาบ่นว่า เธอมีปัญหาเรื่องโฟมใส่อาหารมาก มีปัญหาทางใจ มีปัญหาครอบครัวเพราะสามีของเธอเคร่งเครียดกับเรื่องนี้มาก เขาเห็นมันเข้ามาในบ้านไม่ได้เลย ใครหิ้วเข้ามาก็ต้องโดนว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร เธอเองก็ไม่อยากได้โฟมหรอก แต่เมื่อไปซื้ออาหารพวกเขาบอกว่าไม่มีอย่างอื่น ถุงพลาสติกก็ไม่มี วันหนึ่งตัดสินใจซื้อขนมปากหม้อ สาคูไส้หมู เจ้าอร่อยมาฝาก เขาถามว่า ทำไมใส่กล่องโฟมมา บอกเขาไปว่า ไม่มีอย่างอื่น เขาเสียงเขียวว่า
“ไม่มีก็ไม่เอา ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องกิน แค่ถุงพลาสติกก็แย่แล้ว”

เธอเล่าต่อว่า เมื่อเดือนก่อนเธอกับเขาไปงานชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ที่เชียงใหม่ เขาหันไปเห็นกล่องโฟมใส่อาหารวางเรียงอยู่บนโต๊ะประมาณสามสิบสี่สิบกล่อง เขาตรงเข้าไปถามว่า อาหารพวกนี้กินมื้อเดียวใช่ไหมครับ น้องที่อยู่ใกล้ๆ พยักหน้า  วันหนึ่งกินสามมื้อ วันละร้อยกล่อง พวกคุณจัดงานกี่วันครับ

คราวนี้น้องงง เขาก็เลยพูดต่อว่า ผมเสนอว่า ควรหาทางอื่นในการกินนะครับ อย่าคิดแต่เรื่องสะดวกสบาย ทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อมกันด้วยไม่ใช่หรือครับ ถ้างั้นก็ป่วยการทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อม

ฟังเขาพูดแล้วต้องเดินหนี อายเขาและกลัวว่า คนที่ถูกว่าจะเสียใจ เสียหน้า กลับมาถึงบ้านเขายังเล่าให้ฟังอีกว่า น้องคนนั้นบอกให้เขาไปเขียนลงที่กล่องแสดงความคิดเห็น

ฉันบอกเธอไปว่า ทำเรื่องที่ควรทำไม่น่าจะอายนะคะ  แต่ก็น่าจะคิดวิธีบอกกล่าวบ้างเหมือนกัน  ถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ศิลปะในการพูดไม่ให้คนอื่นเสียหน้าและได้ผลด้วย การเขียนใส่กล่องความคิดเห็นก็เป็นวิธีหนึ่ง

มีอีกหลายคนที่บอกมาว่า ที่เขาและเธออยู่ต่างมีขยะมากมาย  ทั้งเหนือใต้อีสาน แต่เด็ดสุดจากใต้ น้ำตกพรมโลก เธอบอกว่า ที่นั่นขยะมากมาย เคยพบว่ามีถุงดูเร็กด้วย (ถุงยางอนามัยดูเร็กนะ ไม่ใช่ กระดาษช็อกโกแล็ต)

ฉันบอกน้องสาวคนนั้นไปว่า การเดินป่า เที่ยวป่าเขาและน้ำตกนั้น เขาให้เอาไปแต่สิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตเท่านั้น และเอาไปให้น้อยที่สุด แต่ก็นั่นแหละสิ่งจำเป็นของใคร ๆ ก็ไม่เหมือนกัน ที่สำคัญคือเอาขึ้นไปแล้วก็เอากลับลงมาเหมือนเดิม

บางคนก็บอกเธอเป็นคนเก็บขยะ และเก็บมานานแล้วเห็นขยะที่ไหนก็เก็บ และเขาพบว่า หลังจากที่เขาเริ่มเก็บขยะเขาได้สิ่งมีค่าหลายอย่างที่คนอื่นทิ้งและเขานำมาใช้ได้ บางครั้งเขาก็เอามาขัดมาเช็ดถู เก็บไว้ข้างบ้าน มีเพื่อนมาเห็นชอบเขาก็ยกให้ไปเลย พวกกรอบรูปก็มี พวกเก้าอี้เอามาซ่อมได้ เพื่อน ๆ ไม่รู้หรอกว่าเก็บมาจากที่เขาทิ้ง ๆ

เธอว่าคนชอบทิ้ง ใช้แล้วก็ทิ้งไม่ได้คิดจะเก็บมาใช้ให้คุ้มค่า หรือเอามาซ่อมแซม เธอยังเสนอว่า บริษัทที่ผลิตขยะออกมาก็น่าจะรับผิดชอบเอากลับไปด้วย โดยเฉพาะขยะอันตรายพวกถ่านไฟ แบตเตอรี่มือถือ กระป๋องต่าง ๆ

picture2

อีกคน “น้องเด็กดอย”จากโอเคเนชั่น เขียนมาว่า ขยะบนดอยมาก ดอยไหนก็มีขยะ โดยเฉพาะที่เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว

เขาเป็นเด็กดอยอินทนนท์ ข้อความสั้น ๆ แต่มีความหมาย และเข้าใจอารมณ์ของคนอยู่ดอยจริง ๆ และข้อความสั้น ๆ นี่แหละ ทำให้ฉันเขียนเรื่องขยะต่อ

ด้วยคำถามว่า ขยะดอยมาจากไหนและมันจะกลับมาได้อย่างไร

แน่นอนมันต้องลงมาถึงพื้นราบ มากับสายน้ำที่ปนเปื้อนด้วยสารต่าง ๆ มากับอากาศ ทั้งน้ำและอากาศจะได้รับกันอย่างทั่วถึง

ว่ากันว่า ขยะในตัวเมืองเชียงใหม่ จำนวนมหาศาล ถูกนำไปเก็บไว้บนป่าบนดอยสูงด้วย คิดดูเถิดว่า การจัดการกับขยะในเมืองเป็นเรื่องโหดแค่ไหน การย้ายขยะจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งเท่านั้น

เคยคุยกับเพื่อนที่เป็นเจ้าของโรงเรียน อนุบาล เธอบอกว่า เด็ก ๆ เป็นภูมิแพ้กันมาก พ่อแม่ต้องเตรียมรับมือเรื่องนี้ให้ดี เพราะพวกเขาจะได้โรคภูมิแพ้เป็นของขวัญทันทีที่เกิดมา    

นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวไหม

บอกกล่าวกันไว้แค่นี้แล้วกันนะคะ เผื่อใครจะคิดต่อทำต่อ

****************

ปล.ข่าวฝากเพื่อสังคมค่ะ

งานเดิน และปั่นจักรยาน ขึ้นดอยสุเทพ ตามรอยครูบา และดูแลสิ่งแวดล้อมค่ะ
“วันที่ 4 พฤศจิกายน 2550” นี้ สำหรับผู้สนใจร่วมเดินทาง

เริ่มโมงเช้าที่ลานครูบาศรีวิชัย กลุ่มเดินเท้าเดินตามเส้นทางป่าดอย ค่อยลัดเลาะไป ดูและฟังเสียงป่า ไปกินขนมอร่อย ๆ ที่วัดผาลาด และเดินต่อไปจนถึงลานวัดพะธาตุไปพบกับทีมปั่นจักรยานที่รออยู่แล้ว  ในช่วงวันดี ๆ เช่นนี้ เราจะฟังธรรมเทศน์เรื่อง การอนุรักษ์ดอยสุเทพและสิ่งแวดล้อมของเชียงใหม่  ณ บริเวณลานวัดพระธาตุ  ครั้งนี้เจ้าอาวาสจะได้เปิดใจเรื่องดอยสุเทพและวัดพระธาตุว่าท่านคิดอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงของดอยสุเทพและวัดพระธาตุดอยสุเทพ หลังจากดื่มด่ำกับธรรมชาติ ก็มาดื่มกินอาหารร่วมกัน  พูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างเป็นธรรมชาติ

งานนี้มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย เพื่อการจัดงานและเป็นทุนในการดำเนินงานของภาคีคนฮักเชียงใหม่ โดยชื่อบัตรเดินทางคนละ 199 บาท พร้อมรับเสื้อยืดหนึ่งตัว และข้าวหนึ่งห่อ และขนม

ท่านที่จะเดินเท้าหรือปั่นจักรยาน ติดต่อล่วงหน้าล่วงหน้านะคะ โทร.ที่ 084 0415096 หรือ  085 0397138  หรือที่ ร้านหนังสือ สุริวงค์บุคเซ็นเตอร์  ร้านเล่า หรือ ร้านนันทขว้าง  ร้านเมล็ดกาแฟ เอเดน กรีนเฮาส์ และสุดสะแนน

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
  แล้วฉันก็คิดว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิน ฉันเดินทางไปหาเพื่อนที่กรุงเทพฯ  และบอกเธอว่า ฉันอยากจะไปเยี่ยมนักเขียนผู้ใหญ่รุ่นพี่คนหนึ่ง  เพื่อนบอกว่า ไม่ได้ไปนานแล้ว ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยมีใครไปหาใครกัน  เมื่อถามว่าทำไม
แพร จารุ
ป่าสนวัดจันทร์   หลังจากที่เขียนเรื่องป่าสนวัดจันทร์ถูกโฆษณาว่าเป็นผืนป่าสนแห่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีชนเผ่าใช้วิถีชีวิตแบบเดิม ๆ
แพร จารุ
เมื่อเขียนเรื่อง “ป่าสนวัดจันทร์ถูกโฆษณาว่าเป็นที่สุด”  ฉันก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เขียนถึงเรื่องอำเภอใหม่ส่งเข้ามา วันนี้จึงนำจดหมายฉบับนี้มาให้อ่านกันค่ะ  เธอเขียนมาว่า ลองเขียนเรื่องอำเภอใหม่มาให้อ่าน
แพร จารุ
ป่าสนผืนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มองขึ้นบนต้นสนเหมือนหนึ่งว่ามีนกเกาะอยู่บนนั้นเต็มไปหมด จนใครบางคนเผลอถามว่า นั่นนกอะไรเกาะอยู่เต็มไปหมด หลายคนหัวเราะ ไม่ใช่นกหรอกมันคือลูกสน ที่นี่มีชื่อว่า ป่าสนวัดจันทร์ เป็นครั้งที่สองที่ฉันเดินทางมาที่นี้ห่างจากครั้งแรกเกือบยี่สิบปี ฉันไม่กล้าเดินทางไปที่นั่นเพราะรู้สึกว่ามันลำบากยากเย็นเหลือเกิน เป็นการเดินทางที่โหด ๆ ในช่วงวัยเยาว์ เพราะต้องนั่งรถไฟชั้นสามมาจากกรุงเทพฯ นานกว่าสิบสองชั่วโมง ก็รู้กันอยู่ว่ารถไฟไทยเสียเวลาเสมอ ๆ ลงจากรถไฟมีนักเขียนจากเมืองเหนือรอรับอยู่
แพร จารุ
มุสโต๊ะ (มุส-สะ-โต๊ะ) อาหารมื้อไหน ๆ ก็ต้องมีมุสโต๊ะ มุสโต๊ะก็คือน้ำพริกนั่นเอง ฉันรู้จักมุสโต๊ะครั้งแรกเมื่อเที่ยวบ้านปกาเกอญอ และนับจากวันนั้นก็ชอบมุสโต๊ะแบบปกาเกอญอทันที่
แพร จารุ
คุณทำอะไรเมื่อเช้านี้  ส่วนฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับหยิบหนังสือเล่มเล็ก ๆ จากโต๊ะกินข้าวติดมือไปนอนอ่านในเปลใต้ต้นมะขามเล็ก  หนังสือชื่อ ไม่รักไม่บอก 5 เป็นของกลุ่มภาคีคนฮักเจียงใหม่  ฉันเป็นอาสาสมัครในกลุ่มนี้กับเขาด้วย แต่ฉันไม่ได้ทำหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นฉันจึงเพิ่งได้อ่านจริง ๆ ครูโรงเรียนอนุบาลเพิ่งให้มาสิบเอ็ดเล่ม วันนั้นมีน้อง ๆ หนุ่ม ๆ จากไหนก็ไม่รู้มาช่วยกันขนหนังสือหลายกล่องที่นำมาขายในงานอำลา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์  ฉันไม่มีของอะไรตอบแทนน้องจึงแจกพวกเขาไปคนละเล่มเหลือเก็บไว้เล่มหนึ่ง ภาพปกเป็นแม่มดหน้าตาน่ารักถือไม้เท้าวิเศษ มีข้อเขียนว่า จงสุภาพกับโลกใบนี้ (คำจากสาร…
แพร จารุ
  เล่าเรื่องงาน อำลา ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เปิดงานไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม ยามแดดร่มลมตก หน้าที่ของฉันในงานนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลงานขายหนังสือ ฉันรับปากไปว่า “ได้ค่ะ” ทั้งที่ไม่มีความชำนาญเรื่องการขาย หรือเรียกว่าไม่มีทักษะสักนิดเดียว และมักจะคิดตัวเลขผิด วิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่บวกลบคูณหารไม่เก่งเลย ยิ่งวิชาเลขคณิตคิดในใจนี้ไม่ได้เลย แต่ เพราะว่าในช่วงที่เขาประชุมเรื่องการดำเนินการจัดงานฉันไมได้เข้าร่วมประชุม…
แพร จารุ
ฤดูร้อนในเมืองเชียงใหม่ค่อนข้างน่าสยองค่ะ เพราะนอกจากความแห้งแล้งที่เริ่มขึ้นในปลายฤดูหนาวนี้แล้ว เมื่อฤดูร้อนมาถึงเราก็จะพบกับกลุ่มหมอกควันที่มีทั่วเมือง สำหรับประชาชนในชนชั้นเรา ๆ นั้น เตรียมอะไรได้บ้างคะ
แพร จารุ
สวัสดีนักท่องเที่ยว ระหว่างทางนักท่องเที่ยวเจออะไรมาบ้าง ฉันมาอยู่เชียงใหม่สิบกว่าปี แต่บ่อยครั้งที่รู้สึกว่า ตัวเองเหมือนนักท่องเที่ยว
แพร จารุ
  หญิงสาวมักจะกลัวอ้วนเพราะอยากสวย เราถูกทำให้เชื่อกันว่าคนอ้วนจะไม่สวย เป็นสาวเป็นนางต้องผอมเข้าไว้ ใครไม่ผอมเหมือนนางแบบ หรือนักแสดงหน้าจอโทรทัศน์ก็จะไมได้มาตรฐาน ซึ่งความจริงแล้วบางคนผอมจนเกินไป เรียกว่าแห้งแรงน้อยไม่แข็งแรง ขาแขนมีแต่กระดูก คอโปน ไหปลาร้าลึกขนาดน้ำขังยามเมื่ออาบน้ำ
แพร จารุ
ชวนมากินกันต่อค่ะ เพื่อนนักเขียนรุ่นน้องที่เชียงดาว เล่าว่าเธอปลูกข้าวไร่ที่บ้านของเธอ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ฉันคิดว่าแค่เธอเริ่มต้นปลูกข้าวความมั่นคงทางอาหารก็เริ่มมีแล้ว ต่อมาน้องนักเขียนที่เพิ่งรู้จักยังไม่ได้เห็นหน้ากันเลย เขียนมาบอกว่า เธอปลูกข้าวได้เจ็ดกระสอบ ฉันชื่นชมยินดีกับเธออย่างจริงจังและจริงใจยิ่ง เพราะฉันมีความฝันที่จะปลูกข้าวปลูกผักไว้กินเอง แต่ไม่ได้ทำ และคิดว่าคงไม่ได้ทำ เพราะอายุปูนนี้แล้ว กล้ามเนื้อเป็นไขมัน เรี่ยวแรงหมดไปแล้ว ที่ทำได้ก็คือปลูกกล้วย ซึ่งก็เหมาะสมอยู่เพราะกล้วยเป็นอาหารนิ่ม ๆ กินง่าย…
แพร จารุ
ชวนมากินกันต่อดีกว่า   คราวนี้กินถั่วงอกผัดเห็ดสามอย่างค่ะ ดูเป็นอาหารธรรมดา ๆ นะคะ แต่พิเศษก็ตรงที่ เป็นอาหารที่ประกอบด้วยเห็ดสามอย่างนะคะ ความจริงแล้วอาหารเห็ดสามอย่างที่กินเป็นยานี้ เขาว่าหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันเป็นดีค่ะ แต่ไม่เป็นไรใช้น้อย ๆ เราเน้นความอร่อยด้วยค่ะ