Skip to main content

เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ”

The Joy Luck Club

 

 

สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า

 

ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก

บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น

วันที่กินข้าวคลุกน้ำปลาอย่างเดียวก็เคยมี ฉันไม่รู้สึกแย่อะไร เพราะว่าอร่อยดี แต่แม่เดือดร้อนมาก

แม่จึงมักหอบลูกๆ ดั้นด้นไปไว้กับตายายทุกวันหยุดและทุกปิดเทอม เพราะอยู่บ้านตายายนั้น “ยังไงก็ไม่อด”

 

 

แม่ชอบทุเรียนมาก สมัยก่อนเราไม่เคยซื้อเพราะว่าแพงเกินฐานะ แต่ทุกวันนี้ ทุกหน้าทุเรียน ฉันจะซื้อให้แม่ ไม่ใช่ว่ารวยแล้ว แต่ทุเรียนไม่ใช่เพชรหรือทอง ฉันพอมีปัญญาซื้อ แต่ซื้อทีไรถูกบ่นทุกครั้ง

ไม่ใช่แค่ทุเรียน ซื้ออะไรให้ก็ตาม แม่จะบ่นแล้วบ่นอีกไปสามวันเจ็ดวัน ต่อด้วยการรำลึกอดีตว่า สมัยก่อน แม่ไม่มีวันซื้อของแพงๆ อย่างนี้

แล้วแม่ก็จะพูดว่า กินไม่ลง เสียดายเงิน ให้ฉันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห เพราะที่สุดแล้วแม่ก็กิน ฉันเลยไม่รู้ว่าแม่จะบ่นทำไม

แม่ซื้อเสื้อยกทรงชนิดสามตัวร้อยจากตลาดนัด ฉันรู้ว่าแม่ไม่ได้ชอบหรอก แต่อยากประหยัด คุณภาพของก็สมราคา คือใช้ไม่นานก็ยืดจนย้วย เสียทรงและไม่สบายตัว แต่แม่ก็ทนใส่เป็นปีๆ ขาดก็เย็บซ่อมเอง

ฉันเคยซื้อยกทรงมียี่ห้อให้ ถูกบ่นจนหูชา ความจริงแม่ชอบมากทั้งแบบและเนื้อผ้า แต่เผอิญฉันเผลอบอกราคาไป

เป็นอันว่าถ้าอยากให้แม่กินอะไรหรือใช้อะไร เวลาแม่ถามว่าซื้อมาเท่าไร ฉันยอมบาปด้วยการบอกราคาถูกกว่าจริงอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง โกหกตกนรกหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่โกหกแล้วทำให้แม่ยอมกินหรือใช้อย่างสบายใจ ฉันเองก็สบายหูสบายใจไปด้วย

 

ปกติฉันจะหาเวลาล้างตู้เย็นครั้งใหญ่เดือนละครั้ง ทุกครั้งจะต้องพบกับข้าวเล็กๆ น้อยๆ ในถุงหรือในกล่องพลาสติก เช่น ไข่เค็มเสี้ยวหนึ่ง หางปลาทูทอดหางหนึ่ง ผัดถั่วงอกคำหนึ่ง หรือแกงขี้เหล็กช้อนหนึ่ง ประมาณว่า มีถุงหรือกล่องใส่อาหารเหลืออย่างละนิดหน่อย เต็มตู้ไปหมด

อะไรเนี่ย ผัดถั่วงอกทำให้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว แม่เหลือไว้ทำไมคำเดียว” ฉันโวยวาย

ก็มันกินไม่หมดนี่”

เหลือคำเดียวกินไม่หมดก็ผสมต้มข้าวให้หมาไปเลยก็ได้ จะเก็บไว้ทำไม”

อ้าว ก็มันเสียดาย ของยังกินได้ก็เก็บไว้ก่อนสิ”

เก็บไว้แล้วทำไมไม่กินล่ะ”

ก็มันลืมนี่นา” แม่เถียงเหมือนเด็ก

แม่รู้ไหม กับข้าวเก็บไว้นานเกินมันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว มันหมดอายุ เผลอๆ จะทำให้ท้องเสียอีก”

เอ๊ะ ทำไมเรามันถึงขี้บ่นหยั่งงี้นะ” แม่หน้างอ “ทีหลังไม่ต้องทำอะไรไว้ให้แม่หรอก กินไม่หมดก็บ่น”

ไม่ได้บ่นที่กินไม่หมด แต่ไม่เข้าใจว่าเก็บไว้นานๆ ทำไม เก็บทีไรก็ลืมทุกที ทั้งเปลืองถุง ทั้งรกตู้ด้วย”

 

เถียงกันทีไร แม่จะต้องพูดว่า รอให้มีลูกเองเถอะ เวลาลูกมานั่งเถียงฉอดๆ แล้วจะรู้ว่ากรรมตามทัน

ซึ่งฉันก็จะอดปากไวไม่ได้อีก “กรรมตามไม่ทันหรอก เพราะจะไม่มีลูก” หรือไม่ก็ “มีแต่ลูกหมาลูกแมว ถึงมันเถียงก็ฟังไม่ออก” ถ้าไม่เริ่มเถียงกันใหม่ แม่ก็ค้อนจนตาคว่ำ

ทั้งๆ ที่ฉันก็สงสัยตัวเองบ่อยๆ ว่าจะเถียงแม่ไปทำไม แต่ก็อดไม่ได้สักที(สิน่า)

 

เวลาฉันเผลอ แม่จะปีนบันไดเปลี่ยนหลอดไฟบ้าง ตอกตะปูบ้าง สิ่งที่ฉันต้องเตือนตัวเองคือให้อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ อย่าได้อ้าปากบ่นเชียว เพราะแม่จะ “ของขึ้น” ทันที

นึกว่าแม่ทำไม่ได้เหรอ อ๋อ จะให้นั่งเฉยๆ เป็นยายแก่หงำเหงือกทำประโยชน์อะไรไม่ได้งั้นสิ”

ไม่ได้ว่าทำไม่ได้ แต่ถ้าตกบันไดลงมาจะทำยังไง หรือทุบฆ้อนใส่มือตัวเองจะเป็นยังไง”

เออ รอให้มันเป็นก่อนเหอะ” เป็นซะอย่างนี้

 

บ้านเราไม่คุ้นกับการแสดงความรักอย่างการกอด การหอมแก้ม หรือการออดอ้อนฉอเลาะ นอกจากไม่ฉอเลาะแล้ว บางครั้งกลับกวนโมโหไปเสียนี่

อายุตั้งเจ็ดสิบแล้ว สายตาก็เสื่อมลง ทำให้กะระยะผิด กระดูกก็เริ่มพรุน ตกลงมาหักเอาง่ายๆ ต้องไปหาหมอก็ไม่ชอบอีก เดี๋ยวต้องใส่เฝือกนานๆ ก็บ่นเบื่ออีก ตัวเองก็สุขภาพจิตเสียอีก” ฉันว่าไปเรื่อย

ไม่ต้องมาสอนแม่”

ไม่ได้สอน แต่พูดบางเรื่องที่แม่อาจจะไม่รู้ สมัยนี้เขาว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน แม่ไม่เคยได้ยินเหรอ เรื่องการศึกษาตลอดชีวิต”

ไม่ต้องมาใช้คำพูดวิชาการ ขี้เกียจแปล”

ไม่ได้พูดวิชาการ พูดเรื่องธรรมดาๆ นี่แหละ”

เรื่องไหนๆ ก็ไม่ต้องพูด” แล้วแม่ก็จะหน้าบูดไปพักหนึ่ง (เวลาแม่หน้าบูดชอบทำปากยื่น ฉันต้องแอบไปขำ ขำแม่นี่บาปไหมนะ)

 

รู้จักมักจี่กันมาตลอดชีวิต แต่บางทีฉันก็เอาใจแม่ไม่ถูก

สมัยที่บ้านสี่ขายังมีสมาชิกไม่กี่ตัว แม่ชอบต่อภาพจิ๊กซอว์มาก ต่อจนลืมเวลา บางทีดึกดื่นยังไม่ยอมนอน ต่อเป็นร้อยๆ ภาพจนไม่มีที่เก็บ ฉันมีหน้าที่ตระเวนหาซื้อภาพใหม่ๆ มาให้ทันกับการต่อของแม่ (แม่มีการพัฒนาฝีมือแรงงานในอัตราเร็วสูงทีเดียว)

พอสมาชิกในบ้านเยอะขึ้น แม่ก็เลยห่างจิ๊กซอว์ไป (ความจริงแม่หันมาติดละครโทรทัศน์ต่างหาก)

วันดีคืนดีก็บอกว่า

เมื่อไรจะเลิกเลี้ยงซักทีเจ้าพวกเนี้ย ดูซิ แม่ไม่ได้ต่อจิ๊กซอว์เลย มัวแต่ดูหมาแมว”

อ้าว ซะงั้น ไม่เคยห้ามเลยนะเนี่ย แม่อยากต่อจิ๊กซอว์ก็ต่อสิ หมาแมวมันก็อยู่ของมันไป ไม่ต้องไปดูมันทั้งวันหรอก เดี๋ยวจะไปซื้อภาพใหม่ๆ ให้ เอาแบบพันห้าร้อยชิ้นเลยดีไหม”

ซื้อมาทำไม ต่อไปก็เสียเวลา ดูหมาแมวยังดีกว่าอีก”

เป็นงั้นไป

 

บางครั้งฉันกลับจากต่างจังหวัด เจอลูกแมวหน้าใหม่สี่ตัวในตะกร้า

ไหนตกลงกันว่าจะพอแล้วไง อุตส่าห์ทำใจไม่มองตามถนนหนทางแล้วนะ แล้วแม่เอามาจากไหนอีกเนี่ย”

ก็แม่ไปเจอมันถูกทิ้งไว้หลังตลาดเก่า จะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว จะให้แม่ทำไง ฮะ ให้แม่เดินผ่านไปเฉยๆ เรอะ แม่ทำใจไม่ลงหรอก หรือเราทำลง ฮึ ช่วยมาได้เป็นร้อยตัว นี่แค่สี่ตัว ใจร้ายนะเราเนี่ย”

ก็อย่างนี้ทุกที

 

ช่วงหนึ่ง แม่นึกครึ้มลุกขึ้นมาหัดแต่งโคลงสี่สุภาพ ฝึกไปฝึกมา แม่ก็แต่งโคลงบทหนึ่งชื่อพระคุณแม่ ส่งไปที่สถานีวิทยุ ปรากฏว่า โคลงของแม่ได้รับการอ่านออกอากาศในวันที่ 12 สิงหาคม (ปีไหนฉันก็ลืมไปแล้ว) แม่ปลาบปลื้มมาก เอามาอ่านออกเสียงให้ฉันฟังหลายครั้ง

 

ฤดูฝนหนึ่ง ผ้าใบกันสาดที่ใช้ขึงกันฝนให้หมาๆ เปื่อยจนรุ่งริ่ง ตอนนั้นเงินขาดมือ ฉันจึงยังไม่สามารถเปลี่ยนผ้าใบได้ในทันที ได้แต่ตั้งใจว่าจะต้องรีบหาเงินมาซื้อให้เร็วที่สุดก่อนฝนจะมาอีกครั้ง

อยู่ๆ แม่ก็โทรศัพท์มาบอกว่า ไม่ต้องซื้อแล้ว เสียดายเงิน แม่มีผ้าใบกันสาดผืนใหม่แล้ว

 

เมื่อฉันกลับบ้านไปดู ก็เห็นผ้าพลาสติกผืนใหญ่ที่มีลวดลายแมวเต็มไปหมดทั้งผืน

แม่เย็บเองนะเนี่ย” แม่บอกว่า เอาถุงอาหารแมวมาตัดเป็นแผ่นแล้วเย็บต่อกันเป็นผืนใหญ่ แม่ชี้ให้ดูสีของถุงที่อุตส่าห์สลับกันอย่างสวยงาม แถมแมวหันไปทางเดียวกันเสียด้วย

ฉันนึกภาพแม่อดหลับอดนอน นั่งหลังแข็งเย็บถุงหลายสิบใบเข้าด้วยกัน แถมยังปีนขึ้นไปขึงเอง แวบแรกคือโมโหที่แม่ทำอะไรไม่ระวังตัวเอง แม่น่าจะรู้ว่าฉันไม่ได้เสียดายเงินที่ต้องซื้อผ้าใบ ทั้งยังเคยห้ามไม่ให้ปีนบันไดเวลาอยู่คนเดียวอีก แวบต่อมา ถามตัวเองว่าโมโหแล้วเกิดประโยชน์อะไรกับใครบ้าง

 

เมื่อฉันชมว่าผ้าใบสวยดี แม่ก็ยิ้ม ตาเป็นประกายอย่างภาคภูมิใจ

 

ฉันนึกถึงถ้อยคำในหนังสือเรื่อง The Bonesetter’s Daughter ของเอมี่ ตัน ที่ว่า การทำให้แม่มีความสุขนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แม่เพียงอยากเป็นคนสำคัญ เหมือนอย่างที่แม่ควรจะเป็นเท่านั้นเอง

บล็อกของ มูน

มูน
เพื่อนคนหนึ่งของฉันเพิ่งจากไปในเช้าวันนี้แสงแดดเจิดจ้าของเดือนเมษายนแตะแต้มกลีบบางของดอกดาวกระจายสีชมพู ใกล้ๆ กันเป็นกระถางของเดซี่น้อย ที่กำลังแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสา อวดเกสรสีเหลืองแจ่มใสกับกลีบเล็กสีขาวที่กระจายอยู่รายรอบ“ชอบดอกไม้ไหมจ๊ะ ขนดอกไม้ไปปลูกกันเถอะ” นึกถึงเสียงใสของเธอเมื่อสองเดือนก่อน ตามด้วยคำหยอกเย้าเคล้าเสียงหัวเราะ “หรือชอบเลี้ยงแต่แมวๆ หมาๆ”เธอยิ้มแย้มอยู่ในกระโปรงยาวกรุยกราย เข้ากับผ้าคลุมไหล่สีสวยมีดอกไม้มากมายถูกทิ้งไว้หลังการจัดงานนิทรรศการแห่งหนึ่ง บางส่วนอยู่ในกระถาง บางส่วนอยู่ในถุงดำ คนงานกำลังรื้อถอนส่วนต่างๆ ของงาน บรรดาดอกไม้ประดับถูกขนมากองสุมไว้ด้านนอก“…
มูน
  ไม่สบายกายและใจอยู่หลายวัน พอเรี่ยวแรงคืนมา ฉันก็คว้าจักรยานยนต์คันเก่า ขี่โกรกเกรกกึงกังไปตลาดใหญ่ที่ไกลจากบ้านราวสิบกิโลเมตร รู้สึกสังขารตัวเองใกล้เคียงกับรถ คือมีอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนักพอพ้นจากทางดินเป็นถนนลาดยาง รถก็แล่นฉิว ลมพัดพรูจนผมปลิวกระจาย (นึกไปเองว่า) คล้ายๆ โฆษณาแชมพูสระผม ฝนที่ตกหนักไปเมื่อคืนวานทำให้อากาศสดแจ่ม ฟ้าใสกระจ่าง แซงแซวหางปลาเกาะอยู่บนกิ่งประดู่ข้างทาง ในทุ่งที่น้ำเจิ่งนองมีนกกระยางเดินท่องน้ำจ๋อมๆ อยู่หลายตัวลมพัดเสื้อคลุมสะบัดพึ่บพั่บ ชายเสื้อปลิวอยู่ด้านหลัง รู้สึกเริงรื่นจนต้องร้องเพลงดังๆ ตามจังหวะกึงกังของรถ "…
มูน
ฉันกำลังแบกเป้เดินทางรับจ้างทำงานอยู่แถวภาคเหนือ ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเริงรื่นยังคงรวยรินแม้จะเลยปีใหม่ไปแล้วหลายวัน คนที่ไม่มีงานประจำ แต่มีรายจ่ายเรียงรายรอคอยอยู่ทุกเดือนอย่างฉัน ไม่มีเวลานั่งอยู่เฉย (ถึงแม้จะอยากนั่ง) ใครจ้างมา ฉันก็ไป เหมือนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ไม่เกี่ยงระยะทางและผู้โดยสารใกล้เที่ยงคืนที่วางเป้ลงอย่างอ่อนแรงในห้องพักเล็กๆ ควักสมุดบันทึกขึ้นมาคำนวณรายจ่ายและแผนการเดินทางในวันถัดไป ใจคิดล่วงหน้าถึงวันกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแผ่วๆ มาจากกระเป๋าข้างเตียง ............นานหลายปีมาแล้วที่ฉันรู้สึกว่าเทศกาลปีใหม่ไม่ใช่เวลาของความบันเทิงใจ ปีใหม่ในวัยเยาว์ครั้งหนึ่ง…
มูน
สายหมอกสีขาวนุ่มห่มคลุมยอดดอย ในเช้าที่ฉันนั่งรถเข้าหมู่บ้าน ไร่ยาสูบและไร่ข้าวโพดสองข้างทางดูเลือนลางอยู่ในแสงสลัวของดวงตะวัน ที่พยายามแทรกผ่านลมหนาวอย่างสุดความสามารถ“หนาวไหม หนาวเนาะ” พ่อเฒ่าสวมหมวกไหมพรมสีแดงทักถาม ฉันกอดอกแน่น ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะหนาวจนพูดไม่ออก ควันกรุ่นสีขาวพรูออกทางจมูกเหมือนลมหายใจมังกรไฟในนิทาน คนที่เคยชวนฉันมาเมืองพร้าวไม่เคยเล่าว่าบ้านเกิดของเธอหนาวขนาดนี้สำหรับบางคน ความทรงจำอาจอบอุ่นตลอดกาล แมวลายสามตัวที่นอนอาบแดดกลางลานบ้านวิ่งกันกระจายเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เหลือแมวอ้วนสีส้มหมอบอยู่บนอานรถเครื่องคันเก่า “ขอถ่ายรูปหน่อย อยู่นิ่งๆ นะ มือใหม่หัดถ่ายนะ…
มูน
สีสันสดใสในเทศกาลส่งท้ายปี เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ เพื่อนบ้านคนหนึ่งติดกระดาษริ้วสีทอง เขียนว่า HAPPY NEW YEAR 2008 ไว้เหนือประตูบ้าน อีกหลังติดไฟกระพริบ สลับกันวิบวับตรงนั้นตรงนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งยื่นเค้กช็อคโกแลตให้ แล้วบอกว่า สวัสดีปีใหม่ คิดอะไรขอให้สมปรารถนาฉันยิ้มกับคำอวยพร ถามตัวเองเล่นๆ ในใจว่าปรารถนาอะไรบ้าง โอ้ ช่างมากมายจนน่าอายตัวเอง หนึ่งในความปรารถนาที่ฉันคิดเสมอมาเมื่อถึงวันปีใหม่ คือขอให้ยายได้พบกับป่องหยอด................ความจริงยายไม่ได้เป็นแค่ยาย ยายเคยเป็นแม่ แต่เมื่อลูกสาวคนเดียวของยายตายไป และยายไม่มีญาติที่ไหนอีก…
มูน
เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนนฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ…
มูน
แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมาหลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ…
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี…
มูน
ใกล้บ้านเช่าหลังเก่าของฉันที่ขอนแก่น มีวัดป่าแห่งหนึ่งร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ฉันชอบไปเดินเล่นดูโบสถ์เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยตะไคร่ ไปนั่งฟังเสียงลมพัดใบไม้ และนั่งเล่นริมบึงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปลา เป็นวัดที่ให้บรรยากาศสงบงามสมกับเป็นสถานที่สำหรับ "หนีร้อนมาพึ่งเย็น" จริงๆ แต่ฉันไม่เคยเห็นวัดไหนเต็มไปด้วยไก่เท่าวัดนี้ ไก่หลากสีหลายขนาดเดินกันขวักไขว่ นับคร่าวๆ ได้สักหกหรือเจ็ดสิบตัว หลายตัวบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งเตี้ยๆ ของต้นก้ามปูใหญ่ เจ้าอาวาสบอกว่า คนแถบนี้นิยมปล่อยไก่เป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง"สมัยก่อนเขาต้องตัดหางด้วยนะ ที่เรียกว่าตัดหางปล่อยวัดไงล่ะ" ฉันถามถึงจำนวนไก่…
มูน
ลมหนาวพัดฟางหลังเก็บเกี่ยวปลิวว่อนกลางทุ่ง หลายบ้านเตรียมโกยฟางมัดเป็นท่อนเก็บไว้ให้วัวควายในหน้าแล้ง นึกเล่นๆ ว่าถ้าคนเรากินแค่หญ้าก็คงจะดี ไม่ต้องมีกิเลสอยากกินนั่นนี่ให้เดือดร้อนไปถึงพืชและสัตว์อีกมากมาย ที่ต้องถูกไล่ล่าบ้าง ถูกบังคับให้โตผิดธรรมชาติบ้าง ถูกเปลี่ยนนั่นแปลงนี่ให้ถูกใจคนจนวุ่นวายไปทั้งโลก เข้าทำนองเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว (ว่าเข้าไปนั่น)คิดจนหิว จึงหันไปเปิดตู้กับข้าว อะไรกันนี่ ช่างโล่งดีแท้ๆ มีแต่ถ้วยน้ำปลาพริกขี้หนู อ้อ มีปลาทู(แย่งแมวมา)หนึ่งตัว ทำปลาทูต้มน้ำปลาดีกว่า ทำง้ายง่าย แล้วก็อร้อย อร่อย ตั้งน้ำให้เดือดพลั่กๆ ใส่ปลาทู เหยาะน้ำปลาพริกขี้หนู บีบมะนาว…
มูน
หมาขนฟูสีขาวในรถยนต์คันใหญ่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยกนั้น ทำให้ฉันคิดถึงลัคกี้สมัยที่ฉันยังรับจ้างทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง สำนักงานเราเป็นบ้านเช่าที่อยู่ติดกับรั้วด้านหลังของบ้านสวนกว้างใหญ่ เจ้าของบ้านสวนก็คือเจ้าของบ้านเช่า รวมทั้งหอพักปากซอย ร้านค้าและตึกแถวใหญ่ในตลาด แถมที่ดินจัดสรรอีกหลายแห่งคุณนายเจ้าของบ้านเช่ามีลูกสาวทำงานอยู่ต่างประเทศ ครั้งหนึ่งลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับซื้อลัคกี้มาฝากแม่  เราเห็นหมาตัวโตขนยาวขาวสะอาดนั่งชูคอในรถยนต์ไปไหนๆ กับคุณนาย ที่ชอบใจนักเวลามีคนชมความสวยสง่าของลัคกี้ แล้วเธอก็จะคุยให้ใครๆ ฟังถึงลูกสาวคนเก่ง ลัคกี้ร่าเริงและชอบอยู่ใกล้ๆ คน…
มูน
จับเจ่ารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งเมืองอุบลฯ ลมปลายเดือนตุลาคมพัดมาในช่วงค่ำทำให้ต้องนั่งกอดอก กำลังเกือบสัปหงกเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมายืนเกือบชิดหัวเข่าโงหัวขึ้นเจอกับดวงตากลมใสคู่หนึ่ง กำลังจ้องมองฉันอยู่อย่างคาดหวังเรามองตากันอยู่เงียบๆ ฉันพินิจลักษณะของเธอแล้วเดาว่า น่าจะกำลังเป็นแม่ลูกอ่อน ด้วยว่าเต้านมที่หย่อนยานนั้นดูอวบเต่ง แต่รูปร่างที่ผอมเกร็งก็บอกว่า อาการการกินคงไม่บริบูรณ์เท่าไร อาจจะถึงขั้นขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ “หิวเหรอจ๊ะ” ฉันถามเบาๆ ไม่มีเสียงจากเธอ แต่มีคำตอบอยู่ในแววตาละห้อยคู่นั้นฉันเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วท่ารถที่ค่อนข้างเงียบเหงา รถโดยสารที่แล่นระหว่างอำเภอหมดไปนานแล้ว…