Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

หัวไม้ story
 ทีมข่าวการเมืองข่าวเรื่องนิตยสาร ดิ อิโคโนมิสต์ ถูกแบน ในประเทศไทย ได้รับการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของเอพี และเสตรทไทม์ ขณะที่ในเมืองไทย [1] ข่าวดังกล่าวไม่ปรากฏในสื่อกระแสหลัก และเพิ่งมาปรากฏขึ้นในลักษณะของการตอบโต้จากทางการไทย ผ่าน.นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีหนังสืออย่างเป็นทางการถึงบรรณาธิการนิตรสาร ดิ อิโคโนมิสต์  ระบุว่า....            "รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งต่อมุมมองและทัศนคติของนิตยสารฉบับดังกล่าว ซึ่งลงบทความเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไทย และตีความเหตุการณ์ต่างๆ ไปตามการคาดเดา โดยไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง รวมถึงไม่คำนึงว่าประเทศไทยมีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ และยังมีความผูกพันระหว่างประชาชน กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่หยั่งรากลึกมายาวนาน และไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวางพระองค์ตามบทบาทที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ทรงวางพระองค์เป็นกลางทางการเมือง ทรงเข้าแทรกแซงทางการเมืองน้อยมาก และถ้ามีการแทรกแซงก็เป็นไปเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์นองเลือดในหมู่คนไทย เช่น ในปี 2535 โดยไม่ได้ทรงเข้าข้างกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กลุ่มการเมืองต่างๆ และนักวิเคราะห์ มักดึงพระองค์เข้าไปเกี่ยวข้องก่อนการแทรกแซงโดยทหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ระบบการเมืองไทยวุ่นวายจนเกือบหยุดชะงัก มีเสียงเรียกร้องให้มีรัฐบาลพระราชทาน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธ พร้อมกับมีพระราชกระแสว่าปัญหาต่างๆ ต้องแก้ไขด้วยกระบวนการประชาธิปไตยคนไทยมีความรักและเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยสมัครใจ จากการได้เห็นพระองค์ท่านทรงเสียสละ และทรงงานหนักมาตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อความสุขของปวงชนชาวไทยกระนั้นก็ดี มีบุคคลบางกลุ่มพยายามกล่าวอ้างว่า ได้รับการสนับสนุนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือตีความเข้าข้างตัวเอง ซึ่งอันที่จริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสเมื่อปี 2548 ว่า พระองค์ไม่ได้อยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่ฐานะของพระองค์ที่อยู่เหนือกฎหมายทำให้พระองค์ไม่สามารถตอบโต้ข้อกล่าวอ้างทางการเมืองหรือข้อกล่าวหาใดๆ แต่ประเทศไทยมีกฎหมายปกป้องพระมหากษัตริย์นอกจากนี้ ยังมีข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง นั่นคือ ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ที่มีการบังคับใช้กฎหมายโดยสมาชิกรัฐสภา ซึ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามาเป็นตัวแทนในการละเลยข้อเท็จจริงและตรรกะง่ายๆ เช่นนี้ บทความในนิตยสาร ดิ อิโคโนมิสต์ ถือเป็นการกล่าวหาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างผิดๆ และสร้างความโกรธเคืองในหมู่ชาวไทย ดังนั้นจึงต้องมีการประท้วงอย่างจริงจังที่สุด".....[2] แล้ว ดิ อีโคโนมิสต์เขียนอะไร
Hit & Run
 หอกหักจูเนียร์  ขณะที่นั่งปั่นข้อเขียนชิ้นนี้ ยังมีสองเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น และผมต้องอาศัยการแทงหวยคาดเดาเอาคือ1. การเลือกนายกรัฐมนตรี (จะมีในวันที่ 15 ธ.ค. 2551)2. การโฟนอินเข้ามายังรายการความจริงวันนี้ของคุณทักษิณ (จะมีในวันที่ 13 ธ.ค. 2551)เรื่องที่ผมจะพูดก็เกี่ยวเนื่องกับสองวันนั้นและเหตุการณ์หลังสองวันนั้น ผมขอเน้นประเด็น การจัดการ - การบริหาร "ความแค้น" ของสองขั้ว I ขอแทงหวยข้อแรกคือ ในวันที่ 15 ธ.ค. 2551 หากว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะถูกโหวตให้เป็นนายก และพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (ขออภัยถ้าแทงหวยผิด แต่ถ้าแทงผิด ฝั่งเสื้อแดงคงร่าเริงมิน้อย!) ปัญหาที่รอนอกจากเรื่องการบริหารจัดการเรื่องเศรษฐกิจ, การบริหารจัดการเรื่องการแบ่งสรรถ่วงดุลอำนาจให้ผู้สนับสนุน, การปรับนโยบายรัฐเดิมของพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชนให้มาบริหารจัดการประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อด้านภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และอื่นๆ อีกมากมายนั้น สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์จะมองข้ามไม่ได้เลยก็คือ คุณอภิสิทธิ์จะบริหารจัดการความคั่งแค้นของฝ่ายเสื้อแดงที่โกรธแค้นพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างไร?ไม่ต้องเดาอะไรมากมายว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงนั้น คงจะไม่สามารถทำได้เทียบเท่ากับคนเสื้อเหลืองที่เคยทำแสบไว้ในช่วงระยะเวลาที่ไม่น่าจะจดจำที่เราได้ภาวนาให้มันผ่านพ้นไปทุกวันทุกคืนอย่างที่เคยเป็นมา ... หากเคลื่อนไหวดำเนินรอยตามเสื้อเหลือง ท่านทั่งหลายยังจำวันคืนหลังรัฐประหาร 2549 ได้หรือไม่ จำวันบุกบ้านคุณเปรมได้หรือไม่ จำวันที่ทหารพร้อมอาวุธครบมือได้หรือไม่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งอีกเรื่องหนึ่งคือ หากคุณอภิสิทธิ์เป็นนายก บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่, นายทหาร, อธิการบ่ดีมหาวิทยาลัย, นักธุรกิจ, นักพัฒนาเอกชน, นักสิทธิมนุษยชน, นักออกแถลงการณ์ และผู้สูงอายุที่ทำคุณประโยชน์ให้บ้านเมือง (ที่ภาษาพิธีการ - ภาษาทางการ หรือภาษาราชการ ให้เกียรติว่า "ราษฎรอาวุโส")* จะทยอยเดินหน้าออกมาปรามและตราหน้าการกระทำของคนเสื้อแดงไว้ล่วงหน้า ด้วยเหตุผลหนักหน่วงเลวร้ายระยำนานัปการ รวมถึงสื่อมวลชนชั้นกลางที่มีอคติกับกลุ่มเสื้อแดง คอยป้อนข่าวให้ผู้เสพย์กลุ่มตลาดชนชั้นกลางอย่างโอเวอร์เกินจริงต่อปฏิกิริยาของคนเสื้อแดง แค่ "เป๋ คลองเตย" เกาไข่ หรือ "ขวัญชัย ไพรพนา" เกาง่ามตูด .. พาดหัวในวันต่อมาของสื่อเหล่านี้ก็มีเรียงพิมพ์คำว่า "ป่วนเมือง" "ม๊อบถ่อย"  "ม๊อบมหาโฉด" "ลิ่วล้อโหด" "สัตว์นรก" ไว้แท่นพิมพ์ที่เตรียมปั๊มถุงห่อกล้วยแขกฉบับเช้าแล้ว  พฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวข้างต้นนั้น จะทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงทั้งหลายตัวเกร็งจนกระเพาะเยี่ยวบวมเป่งไปไหนมาไหนคงไม่สะดวก และไม่ต้องพูดถึงเรื่องล้อมหรือปิดสถานที่ต่างๆ นานา แบบนี้จะไม่ให้พวกเสื้อแดง "แค้น" ได้ฤาและคุณอภิสิทธิ์กับพลพรรคจะบริหาร-จัดการความแค้นนี้ได้อย่างไรตอนนี้ผมคิดได้ประการเดียวเท่านั้นโดยขอเสนอว่า พอคุณอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกปุ๊บ! ลองประกาศปั๊บว่า วาระแห่งชาติอันดับแรกที่รัฐบาลประชาธิปัตย์จะต้องสะสางอย่างเร่งด่วน คือ กระบวนการสืบสวนเอาผิดคิดค่าเสียหายกับแกนนำหัวขบวนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้กระทำผิดกฎหมายและสร้างความเสียหายให้กับประเทศและระบอบประชาธิปไตย!คาดว่าความคั่งแค้นของคนเสื้อแดงอาจจะลดลงมานิดนึง..ปล. อย่าลืมระวังบริหารจัดการความแค้นฝั่งเสื้อเหลืองล่วงหน้า โดยอย่าพยายามเซ็นสัญญาการค้าเสรี หรือแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะเดี๋ยวพันธมิตรฯ หรือ ส.ว. สายต้านการค้าเสรีที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ หรือหัวขบวนสหภาพแรงานรัฐวิสาหกิจ เขาจะเสียคนและมองหน้าคนที่อยู่ข้างหลังไม่ติด IIก่อนหน้าที่เราจะได้รู้ว่าคุณอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายกหรือไม่นั้น ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดในวันที่ 13 ธันวาคมนี้คุณทักษิณจะโฟนอินมาทักทายคนเสื้อแดงอีกครั้งคุณทักษิณเองก็เป็นบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งที่จะสามารถบริหาร-จัดการความแค้นของกลุ่มคนเสื้อแดงได้ และถ้าบริหารจัดการดีๆ ความแค้นเหล่านั้นจะสร้างผลบวกให้คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยถ้าคุณทักษิณประกาศบวชและก็บวชจริงๆ หรือฆ่าตัวตายผ่านการโฟนอิน หรือยอมกราบตีนมอบตำแหน่งนายกโดยไม่มีเงื่อนไขและประกาศยุติบทบาทจริงๆ ..การบริหารจัดการความแค้นแบบนี้จะผิดมหันต์ เพราะเหล่าคนเสื้อแดงจะไม่มีเสาหลัก ไม่มีศาสดา ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาวะอนาธิปไตยของคนเสื้อแดงขึ้น กองกำลังโรนินสีแดงจะผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด โดยไม่มีการควบคุม ถ้าถึงเวลานั้นจะเป็นเรื่องของอารมณ์เกรี้ยวกราดล้วนๆ หรือถ้าคุณทักษิณสวมวิญญาณแกนนำพันธมิตรฯ ปลุกปั่นให้คนเสื้อแดงลุยล้มรัฐบาลที่ไม่ใช่ฟากคุณทักษิณที่จะเป็นรูปเป็นร่างหลังการโฟนอินนี้ไปอีกสองวัน ปลุกปั่นให้ทำลายระรานฝ่ายตรงข้ามแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม อันนี้ก็ผิดมหันต์เช่นกัน แต่คาดว่าคนฉลาดระดับด็อกเตอร์คงจะไม่ทำเยี่ยงนี้ หรือถ้าจะปลุกปั่นจริงๆ คุณทักษิณคงทำแบบมีสไตล์มากกว่าแกนนำพันธมิตรฯทั้งนี้คาดว่าคุณทักษิณจะบริหารจัดการความแค้นของคนเสื้อแดงเหล่านี้เอาไว้เป็นต้นทุนในการเล่นการเมืองระยะยาว พยายามหว่านล้อมออดอ้อนให้คนเสื้อแดงเหล่านี้จงรักพรรคดีต่อคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยหรือพรรคใดๆ ที่จะมาทีหลังต่อจากพรรคเพื่อไทยที่คุณทักษิณคอยบงการคุณทักษิณจะต้องใช้ความแค้นของคนเสื้อแดงเหล่านี้ นำมาพยายามตัดตอนนักการเมืองรูปแบบเก่า (แบบเนวินและสหาย) เพื่อให้คนเสื้อแดงขึ้นตรงต่อคุณทักษิณแบบไม่มีบัฟเฟอร์ขวางกั้นเช่นแต่ก่อนคุณทักษิณจะต้องบริหารจัดการความแค้นเหล่านี้เป็นคะแนนเสียงตามระบบประชาธิปไตย ให้มวลชนเหล่านี้เลือก ส.ส. primary ก่อนส่งลงเลือกตั้งได้ ... เพื่อให้คนเสื้อแดงและคุณทักษิณคุมนักการเมืองได้พร้อมๆ กันทั้งนี้คนเสื้อแดงจะต้องบริหารจัดการความแค้นของตนเองให้ดีๆ เหมือนกัน อย่าให้เข้าทางฝ่ายตรงข้ามที่คอยจ้องเล่นงานและคอยจ้องขยายความพฤติกรรมของคนเสื้อแดงให้เกินจริง โดยเคลื่อนไหวแบบสร้างสรรค์เช่นระดมคนเสื้อแดงประท้วงรัฐบาลโดยการเคลื่อนขบวนใหญ่เก็บขยะ ทำความสะอาดถนนราชดำเนิน, หน้าทำเนียบ, หน้ารัฐสภา หรือประท้วงด้วยการนั่งวิปัสสนาบำเพ็ญกุศลให้เต็มสนามหลวงเป็นต้น   * อนึ่ง "ภาษาพิธีการ-ภาษาทางการ-ภาษาราชการ" เป็นภาษาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อความสุภาพ นอกจากจะเป็นภาษาเขียนที่ถูกต้องตามหลักภาษาไทยแล้ว บางครั้งก็จะเปลี่ยนคำพื้นๆ ให้กลายเป็นการให้เกียรติบุคคลธรรมดา ทำให้ไม่ธรรมดา เช่น นักชกเหรียญทอง เป็น วีรบุรุษเหรียญทอง, ยาม เป็น พนักงานรักษาความปลอดภัย, ตาแก่จมปลักอยู่กับหมู่บ้าน เป็น ปราชญ์ชาวบ้าน และ ผู้สูงอายุที่ทำคุณประโยชน์ให้บ้านเมือง เป็น ราษฎรอาวุโส เป็นต้น หรือบางครั้งใช้แทนคำหยาบคายให้ดูสละสลวยยิ่งขึ้น เช่น หมXย เป็น ขนเพชร เป็นต้น  
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
ลีอองชอบดอกไม้มากเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบ พุด พุทธรักษา หรือแม้แต่ผักพายที่มีดอกสีเหลืองๆ
เงาศิลป์
๑. ยามพลบค่ำ อาณาจักรบ้านไร่อาบแสงจันทร์ผ่องนวล ลมหนาวพัดเคล้าคลอพอให้เหน็บหนาว สลับไออุ่นจากไฟฟืนที่กรุ่นกำจายจนรู้สึกได้ถึงความต่างระหว่างอุ่นกับหนาว ที่ห่มพัน คืนแสงจันทร์จ้าจนแทบมองเห็นใบหน้าคนที่เดินอยู่ไกลๆ กับถนนสายฝุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นับสิบสาย ด้วยรอยเท้าคนและล้ออีแต๊ก แต่ละเส้นทางล้วนตั้งต้นมาจากหมู่บ้านรอบนอก พาดผ่านทุ่งนาที่กลายเป็นดินแข็งกระด้างปกคลุมเพียงตอซังข้าวที่รอเวลาถูกเผาทิ้ง ถนนทุกสายมุ่งสู่ป่าชุมชนผืนใหญ่นี้อีกครั้ง หลังจากสายน้ำหลากล้นปิดกั้นการสัญจรในหลายเดือนที่ผ่านมา ฤดูแล้งของพื้นที่แห่งนี้ จึงเป็นฤดูกาลที่คึกคักพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่า
ชาน่า
สัปดาห์นี้ มีแขกพิเศษมาร่วมบันทึกเรื่องราวจากประสบการณ์จริงของผู้ชาย(ป้ายเหลือง) ที่ถ่ายทอดออกอย่างเป็นธรรมชาติผ่านตัวหนังสือ ชาน่ารู้จักน้อง Once in a blue moon เพราะเค้าเป็นแฟนหนังสือเล่มเก่า “เม้าท์แตก...ชาวเรา” จนเราสนิทสนมแชทคุยกันตลอด จึงอยากให้น้องถ่ายทอดเรื่องราว Untold story เพื่อเป็นอุทาหรณ์ สอนใจ กลั่นลึกจากห้วง ก้นบึ้ง เปิดให้รู้ลึก รู้สึกของชายกลุ่มหนึ่งที่ทำงาน อาชีพ... “ขายบริการ” บางประโยคอาจจะถ่ายทอดอย่างตรงเกินกว่าจะรับได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเค้า และเค้าเหล่านั้น ลองอ่านดูฮ่ะ...
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ลูกเสือ ทุกหมู่ช่วยกันกางเต็นท์ ประกอบอาหาร มองเห็นควันไฟลอยกรุ่นสู่เบื้องบน ได้ยินลูกเสือพูดคุยกันแว่วมา นอกจากครูวีรภาพ และครูภาสกร ที่เป็นผู้กำกับลูกเสือแล้ว ยังมีท่านอื่นทำหน้าที่รองผู้กำกับลูกเสือ เริ่มมืดค่ำลงแล้ว แสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าที่แขวนเป็นจุดๆ ทั่วค่ายลูกเสือส่องสว่างพอประมาณ เนื่องจากแขวนสูงและวางจุดห่างกันมาก สถานที่นี่เรียกกันว่าหน่วยอุทยานแห่งชาติศรีลานนา หรืออุทยานห้วยกุ่ม กิโลเมตรที่ 65 ฝั่งตะวันออกถนนเชียงใหม่-ฝาง ครูชาย ตั้งวงโขกหมากรุก เป็นกีฬาที่ครูชายในโรงเรียนกำลังนิยมไม่เว้นแม้ภารโรง เนื่องจากครูที่ย้ายมาใหม่จากกรุงเทพฯ ชื่อ “ภักดี” มีฝีมือทางหมากรุกขั้นเซียนนำมาเผยแพร่ ทุกคนมีฝีมือหมากรุกไล่เลี่ยกัน การแข่งขันนั้นหากผู้แข่งขันฝีมือสูสีกัน การเล่นย่อมออกรสชาติ ทั้งผู้เล่น ผู้ชม ครูวีรภาพกับครูภาสกรคว้ากระดานหมากรุกได้ก่อนผู้อื่น จึงได้เป็นมวยคู่แรก ทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน แต่มักมีข้อโต้แย้งขัดคอกันเสมอ
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ เมื่อราคาน้ำมันลดลงมาจากลิตรละราว 40 บาทจากเมื่อ 4-5 เดือนก่อนมาอยู่ที่ราว ๆ 20 บาท ทำให้คนไทยเราก็รู้สึกสบายใจ บางคนถึงกับกล่าวว่า “ตอนนี้จะไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยได้คิดมากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ในยุคที่การเมืองที่เต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง ผู้บริโภคจะพอใจอยู่กับตัวเลขที่อิงอยู่กับความรู้สึกเช่นนี้เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เราจะต้องลุกขึ้นมาช่วยกันตรวจสอบ ถามหาความความเป็นธรรม ความพอดีอยู่ตลอดเวลา เมื่อพูดถึงความรู้สึกที่สบายใจขึ้นของคนไทยในขณะนี้ ทำให้ผมนึกเรื่อง “นัสรูดิน” ชายชาวอาหรับโบราณที่คนรุ่นหลังยังตัดสินไม่ได้ว่า เขาเป็นคนเฉลียวฉลาดหรือคนโง่กันแน่ วันหนึ่งเมื่อเพื่อนบ้านมาขอคำปรึกษาว่า “จะทำอย่างไรดีกับบ้านของตนเองที่คับแคบและมีกลิ่นอับ” นัสรูดินแนะนำว่า “ให้เอาแพะไปล่ามไว้ในบ้าน” เพื่อนบ้านก็ทำตาม แต่แล้ววันรุ่งขึ้นก็กลับมาร้องอีกว่า “ยังไม่ดีขึ้น” นัสรูดินก็แนะนำเพิ่มเติมว่า “ให้เอาลาเข้าไปเลี้ยงอีกตัว” วันถัดมาก็บอกว่า “ให้เพิ่มม้าเข้าไปอีกตัว” เพื่อนบ้านผู้เชื่อฟังก็มาร้องขอคำปรึกษาอีกว่า “ไม่ดีขึ้นเลย กลับรุนแรงกว่าเดิม” นัสรูดินก็แนะว่า “งั้นให้เอาม้าออกไป” ความรู้สึกของเพื่อนบ้านก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ๆ ทีละวัน ๆ จนวันสุดท้ายที่เอาแพะออกไป เพื่อนบ้านก็รู้สึกว่า “บ้านของตนเองกว้างขึ้น กลิ่นอับก็ลดลง” จึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ขณะนี้ ในกรณีราคาน้ำมัน คนไทยเราเป็นเหมือนเรื่องราวที่เล่ามานี้เปี๊ยบเลย
ชนกลุ่มน้อย
 ผมรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนตลก ชอบทำให้ผมหัวเราะ พ่ออารมณ์ดี ชอบเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง และร้องเพลงที่ผมชอบ พ่อดูแลผมอย่างดี ทุกเช้าพ่อปลุกผมตื่นด้วยเสียงกีตาร์ และเสียงร้องเพลง บางคราวพ่อทำท่าตลกจนผมหัวเราะ เวลาที่พ่อไปเล่นดนตรี พ่อจะพาผมไปด้วย ผมจะเล่นอยู่ใกล้ๆพ่อ บางเวลา เราไปกางเต็นท์ที่ภูเขากัน อากาศหนาวพ่อกอดผมไว้ และทุกครั้งที่ผมจะนอน พ่อต้องมากอดผมเสมอ พ่อของผมเป็นนักเขียนและนักดนตรี ผมรักพ่อและภูมิใจที่เป็นลูกพ่อครับ
รวิวาร
ความรู้สึกหนึ่งไหลวนอยู่ภายใน ขับเคลื่อนเราอยู่ เหมือนสายโลหิตแห่งความปรารถนา ... เธอมา นั่งอยู่ตรงนี้ เขามาและจากไป คนกลุ่มใหญ่ผ่านมาแล้วผ่านไป จังหวะบรรเลงแตกต่าง นึกถึงสิ่งหล่อเลี้ยงหัวใจ มันคืออะไรหนอ หลายคนเขียนหลายสิ่ง... สร้างงาน พวกเขาเรียกมันว่า การทำงาน แต่เธอ เธอไม่รู้เลยว่า วันแต่ละวัน เช้าแต่ละเช้า สิ่งซึ่งไหลเวียนอยู่ อึดอัด กระสับกระส่าย ดิ้นรนและปรารถนา หาหนทางหลั่งไหลนั้นคืออะไร เธอไม่รู้ เธอเฝ้าแต่รอคอย พล็อตต่าง ๆ มีอยู่ สมองไม่เคยหยุดเรียบเรียง วางแผนความคิด แต่แล้ว เจ้าสิ่งนั้น ที่บงการอยู่ข้างในไม่เคยเออออไปกับการกำหนดสั่งการ เธอพยายาม เงี่ยฟัง เจ้าเป็นอะไร ต้องการบอกสิ่งใดจงกล่าวมาเถิด ที่ว่างอันสงัดเงียบ แผ่ไพศาลยามเช้า ประตูที่เปิดแง้ม ๆ สายธารคำซึ่งผุดจากความรู้สึก โลกในจิตกอปรด้วยเรื่องราวดุจคลื่น หมุนม้วนสารพัดสิ่ง ปราศจากรูปร่างแน่ชัด เธอจะมาไหมหรือไม่มา กาลเวลาคงอีกยาวนาน กว่าจะได้เห็นเธอนั่งอยู่ตรงนี้ เธออยู่ในที่ที่ผู้คนเดินเหินขวักไขว่ ทุกหนทุกแห่ง ผู้คนซึ่งมีจุดหมายที่ตนมุ่งไป จุดหมายสั้นๆ อันกำกับด้วยจุดหมายใหญ่ในช่วงระยะเวลายืดยาว มันจะทำให้เราต้องรอคอยครึ่งชีวิตไหมกว่าจะได้พบกัน ปริญญาโท ปริญญาเอก ชีวิตซึ่งคนเราเพียรสร้างให้เป็นรูปเป็นร่าง ให้เป็นที่ยอมรับ ให้บังเกิดความหมายและคุณค่า มิใช่ลมเรื่อยอีกต่อไปแล้ว ไม่มีเวลาสำหรับทอดน่องเรื่อยเปื่อย นั่งเล่นปล่อยใจใต้ร่มไม้ให้ชีวิตพลิ้วผ่านหน้า เราลุกออกจากความไม่รู้ ความไม่ใส่ใจที่จะรับรู้ ความโง่เขลาไร้สาระอันแสนสุข
เมธัส บัวชุม
  เป็นการพังทลายลงของสถาบันตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความน่าเชื่อถือ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคการเมืองซีกรัฐบาลรวดเดียว 3 พรรค อย่างรวบรัดตัดความ เร่งร้อนลนลานและผิด ๆ ถูก ๆ นักวิชาการผู้เคารพในหลักการ และคอการเมืองทั้งหลายพากันวิพากษ์วิจารณ์กันขรมถึงสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำลงไป เริ่มตั้งแต่ประเด็นเรื่องคุณสมบัติของตุลาการผู้เอาตัวรอดด้วยการท่องคาถาคุณธรรม จริยธรรม เป็นนิจสิน อย่างนายจรัล ภักดีธนากุล ไปจนถึงการย้ายสถานที่พิจารณาตัดสินคดีอย่างปุบปับ รวมไปถึงการนำทหารป่าหวายเข้ามาอารักขาตุลาการ แทนที่จะหยุดยั้งเหล่ามารพันธมิตร บางคนต่อรองไว้ว่าร้อยนึงเอาบาทเดียว ทายว่าพรรคการเมืองจะต้องโดนยุบแน่ ๆ เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นซึ่งผลก็ออกมาดังที่รู้กัน
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ที่ว่างและเวลา
บางชีวิตเคว้งคว้างกลางความเหงา            หอบเอาความสุขเศร้าผสมผสานยิ้มรับชะตากรรมพันธนาการ                   ใช่,เพียงพบผ่านวิถีที่ผุพัง ยิ่งรื้อฟื้น ยิ่งรื้นรื้นน้ำตาไหล                    ยิ่งวาดหวัง ยิ่งไหวว้างร้างไร้หวังเงียบสะท้อนดิ่งลึกในภวังค์                     เพียงพลาดพลั้งสู่หุบเหวความชอกช้ำ บางค่ำ,เยียบเย็นความรู้สึก                     ปวดแปลบสำนึกล่วงถลำยิ่งไขว่คว้า ดวงวิญญาณ์พร่ามืดดำ           ยังกอบกำครอบงำไว้ ในตัวตน สายตาจ้องมองไป,ในเบื้องล่าง               กลางสายน้ำเชี่ยวกรากถะถั่งล้นกระแทกฝั่งก่อนรี่ไหลสู่วังวน                  เป็นกระแสสับสน,กับความคิด  วิถีข้ายังไต่ตามริมขอบเหว,                    หากพลัดร่วงคงแหลกเหลวในดวงจิตสองมือไขว่คว้าหาสิ่งเหนี่ยวรั้งชีวิต           ค่อยค่อยคิดค่อยค่อยกล้า- -อย่าหวาดกลัว ยินเสียงลมพัดใบไม้ไหว,                       ชีวิตยังดำเนินไปในเงาสลัวเรียนรู้ในโดดเดี่ยว แลหม่นมัว                 เป็นเช่นนี้แหละ,ทางดี-ชั่ว ของชีวิต เรียนรู้ในโดดเดี่ยว แลมืดมัว                   เป็นเช่นนี้แหละ,อย่าหวาดกลัว ทางชีวิต.                                                                                              หญ้าป่า

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม