Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

กวีประชาไท
   แดดสาดลงบนพุ่มบุหงาส่าหรีริมหน้าต่างเธอแต่งกระโปรงยาวทอลายดอกไม้สีน้ำเงิน เดินมาจับมือผมออกมาจากเก้าอี้เขียนหนังสือแล้วเพลงเต้นรำก็ดังกังวานเพลงของมาร์ค นอฟเลอร์ ชื่อ whoop de dooแหบเครือเสียงร้องเพลง บอกหนทางแคบทอดไปยังป่าสีดำผมโอบเอวเธอ คล้ายว่าเคยพบเธอที่ไหนแขนเธอลู่ลงข้างตัวเส้นผมเธอดำขลับยาวสลวยถึงสะเอวเส้นผมปลิวตามเสียงเพลงเธอมีกลิ่นดอกบุหงาส่าหรีเธอผิวขาว แต่ไม่มีใบหน้าเธอมีแต่ความเงียบ กับขอเท้ามีเสียงกระพรวนเหล็กผมจับเอวเธอเต้นไปรอบโต๊ะเขียนหนังสือบนพื้นปูนเซรามิกรูปดอกไม้เก่าๆเย็นเฉียบมือเธอนุ่มนวลแตะสีข้างผมเนื้อตัวเธอเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งเธอไม่ส่งเสียงใดๆ เสียงเพลงมีสไลด์กีตาร์บาดลึก แฮมมอลเสียงต่ำผมจับเอวเธอเต้นไปรอบโต๊ะเขียนหนังสือเธอไม่ส่งเสียงใดๆเธอไม่มีใบหน้า เธอมากับกลิ่นดอกบุหงาส่าหรีแล้วกลิ่นผ้าเก่าชื้นๆก็โชยมาจากหน้าต่างWhoop de doo ย้อนวนรอบกลับมาอีกครั้ง อีกครั้ง..ชายกระโปรงยาวไหวไปรอบๆโต๊ะเขียนหนังสือ คำ พอวาเพลงประกอบ : Whoop de doo โดย Mark Knopflerภาพ : http://www.oknation.net/blog/charoenkwan 
dinya
ก่อนจะนั่งลงเขียนคอลัมน์นี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่า 72 ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง 7 ประเทศ กำลังผจญกับวิกฤตพายุถล่มและน้ำท่วมชนิดที่ยังรอการช่วยเหลือและสรุปยอดผู้เสียชีวิตยังไม่ได้ เริ่มตั้งแต่เยอรมนี เจอพายุหนักทางตอนใต้ของประเทศ จนต้องปิดถนน บ้านหลายหลังพังพินาศ มาถึงประเทศยูเครน ที่มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 16 คน ประชาชน 2 หมื่นกว่าคนอยู่ในความมืดเพราะไม่มีไฟฟ้า ตามด้วยโรมาเนีย ที่ประกาศอพยพคนออกจากเมืองนับสิบเพราะน้ำกำลังท่วมอย่างหนัก ส่วนพายุที่กระหน่ำเกาะเหนือของ นิวซีแลนด์ นั้นมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 3 คน และผู้สูญหายอีกหลายคน ดูเหมือนฝั่งยุโรปอาจจะดูไกลไปหน่อย กลับมาที่เอเชียของเราที่ ไต้หวัน เพิ่งผ่านศึกหนักจากพายุไต้ฝุ่น “คัลเมจิ” ไปไม่ถึงสัปดาห์ ก็เจอกับพายุ “ฟองวอง” (Fung-Wong) ซึ่งเป็นชื่อยอดเขาของจีน ตามลักษณะการตั้งชื่อที่ตกลงกันไว้ของคณะกรรมการไต้ฝุ่นเมื่อต้นปี 2008 นี้ ที่ให้แต่ละประเทศมีชื่อพายุได้ 10 ชื่อเป็นภาษาท้องถิ่น
แสงดาว ศรัทธามั่น
เ ดื อ น - ดา ว งามแจ่มฟ้าลาวัณย์แ ร ม - เรืองรองพลันบรรเจิดจ้าป ระ กา ย - เดือนดาวแห่งคืนวันดับวูบ แล้วเฮยเ รื อ ง - เรื่อเหลืองอร่ามแล้วอาบโลก งามนิรันดร์ ฯน้ อ ง ชา ย....ยินข่าวเจ้ากลับคืนสู่ผืนดินข่าวคราวจากผองเพื่อนแห่งล้านนาฉัน งงงวย และใจหายต่อมา... เริ่มเข้าสู่ห้วงภวังค์จิตสมาธิ* " ต ถา ตา .... มันเป็นไปเช่นนั้นเอง "
นาโก๊ะลี
จากหนังเรื่อง ชมรมกวีไร้ชีพ (Dead poet society) ช่วงแรกที่ครูคิตติงสอนวิชาที่ว่าด้วยกวีนิพนธ์ เขาร่ายบทกวีของ วอล วิทแมน ว่า *“ถามตัวเองใยชีวิตมากปริศนา ใยศรัทธายาวไกลไม่สิ้นสุด ลางคนโง่งมเขื่องเมืองมนุษย์ ไหนความดีบริสุทธิ์แห่งชีวี ตอบตัวเองความดีนี่ไงเล่า เมื่อชีพเรายืนยงคงศักดิ์ศรี ด้วยสร้างสรรค์คุณธรรมความงามดี บทกวีชี้พลังเพื่อสังคม”
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
ทุกคนคงเคยไปหาหมอ อาจเป็นหมอคลินิกหรือหมอโรงพยาบาล เมื่อยื่นบัตรคนไข้ผ่านฝ่ายคัดกรองแล้ว ท่านก็ต้องไปยังห้องที่รักษาพยาบาลเฉพาะโรค นั่งรอคิวพยาบาลเรียก ถ้าเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชนจะเร็วมาก แต่ก็ต้องจ่ายเงินมากเช่นกัน ถ้าเป็นโรงพยาบาลของรัฐต้องทำใจ จ่ายเงินน้อยแต่คนมาก คงต้องเสียสละเวลาให้ 1 วัน บางทีอาจครึ่งวัน คนไข้มากมาย ห้องตรวจทุกห้องคนไข้เต็มหมด คนไข้มากมายกว่าห้างสรรพสินค้า  
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน คุยเรื่องความฝันร่วมกันมากมาย ที่จริง ผมก็ไม่ได้คิดว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรหรอกนะครับ แต่มีความสุขล้นเปี่ยมในปัจจุบัน และรู้สึกอิ่มตัว อิ่มใจ และไม่อยากจะหาใครมาในชีวิตอีกแล้ว ทำนองว่าพอมาเจอเธอผมก็อยากจะหยุดไว้ตรงนี้ ซึ่งอันนี้ไม่เกี่ยวกับรักแท้หรือไม่แท้นะครับ แต่ผมรักจริงครับพี่.....ผมว่าเราสองคนมีความเหมือนกันคือ เราเป็นคนที่สนใจในธรรม และปฏิบัติธรรมเหมือนกัน แถมยังช่วยเกื้อกูลกันดูจิต แลกเปลี่ยนธรรมะ ทุกๆ วัน นี่จึงเป็นความดีนิดน้อยที่เรามีเสมอกัน.... ผมจำได้ว่าแต่ละวันที่เราได้คุยกัน เราจะถามกันเสมอว่าวันนี้ “ทุกข์กัดบ้างไหม” และแลกเปลี่ยนกันว่า “ดูจิต” เป็นอย่างไรบ้าง อารมณ์เป็นอย่างไร ความคิดเป็นอย่างไร แล้วก็คอยช่วยแนะนำกัน แต่นอกจากนี้เราก็คุยกันตามประสาคนหนุ่มสาวนะครับ มีเรื่องที่บางครั้งไม่เข้าใจกันบ้าง ทะเลาะกัน หึง หวง น้อยใจ รำคาญ หงุดหงิด ผมกับเธอมักจะคุยกันดูความกรุณา และเวลาที่เธอ “ร้อน” ผมก็จะใช้ “เย็น” คอยโอบอุ้มการสนทนา ทำให้เธอเย็นลงและได้สติคุยกันมากขึ้น พี่เชื่อไหมครับ มีตอนหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่าง “ร้อน” ใส่กัน จนต้องงอนกันไปทั้งคู่ แล้วเราก็ตัดสินใจว่าจะไม่คุยกันสักสองสามวัน แต่เวลาผ่านไปไม่ถึงค่อนวัน ผมก็โทรศัพท์ไปหา และเธอก็รับ เมื่อทั้งผมและเธอใจเย็นลง เราก็เริ่มคุยกัน สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ก็แนะนำกันว่ามีอะไรที่ทำแล้วสบายใจ หรือทำแล้วไม่สบายใจ อะไรที่ไม่ชอบให้ทำ อะไรที่ชอบให้ทำ การได้คุยกันอย่างตรงไปตรงมาอย่างมีเมตตากรุณาต่อกันทำให้เราผูกพันและเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ที่ผมเล่าให้ฟังเพียงเพราะอยากจะบอกว่า “ขณะนี้” ผมมีความสุขกับความรักมากมาย แต่อนาคตผมไม่มั่นใจเท่าไหร่นักเพราะ “เหตุ” “ปัจจัย” มันอาจจะเปลี่ยนแปลงเราสองคนไปได้ พอพูดถึงเหตุปัจจัยนี้ ก็คิดมาได้ว่า เราสองคนตั้งใจว่า “จะรักกันให้ดีที่สุด” และจะไม่สร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิด “ปัจจัย” อันนำไปสู่ “เหตุ” ให้ได้เลิกร้างลากันไป บางครั้งเมื่อผมเห็นผู้หญิงคนอื่น แล้วรู้สึกชอบ ผมก็จะรู้ว่าเริ่มชอบ เริ่มใคร่ และจะตามรู้อารมณ์นั้นอย่างมีสติ ไม่หลงใหลไปกับอารมณ์หรือแรงดึงดูดทางเพศของตนที่มีต่ออีกฝ่าย และไม่สร้างเงื่อนไขในการเข้าไปคุย สนทนา ให้เขาหรือเราได้สานสัมพันธ์กันต่อ แต่จะคงไว้เพียงความเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักเท่านั้น และเหมือนกัน เมื่อมีชายคนอื่นมาคุยกับเธอ เธอก็จะปฏิเสธ ไม่ให้เบอร์โทรศัพท์กับใคร และบอกอีกว่า “มีแฟนแล้ว” และหากใครที่ทำท่าจะมาจีบ เธอก็บอกว่าขอคุยแบบเพื่อน ตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นเพียงกระบวนการที่เราสองคนคิดว่า ถ้าเรามีสติ ไม่สร้างเงื่อนไข ให้ไปตามแรงดึงดูด ความใคร่ สิเน่หา ต่อคนใหม่ๆ แล้ว มันน่าจะช่วยทำให้เราสองคนเข้าใจและหล่อเลี้ยงความรักกันให้เป็นปัจจุบันต่อไป พี่มีนาครับ.....ตอนนี้ผมกับเธอ ก็ไม่ได้แก่อะไรมากมายนะ ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่ากับหญิงสาววัยย่างเข้ายี่สิบ เรายังมีอนาคตอีกไกลในสายตาของคนอื่นๆ ทว่าวันนี้เราสองคนมองว่าเราไม่รู้เลยว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของการมีชีวิตที่เหลืออยู่ ซึ่งพอเราตระหนักถึงมรณานุสติข้อนี้มันจึงทำให้เราสองคนรีบทำอะไรโดยเร็ว เพื่อให้เป็นต้นทุนชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าเรายังไม่ได้สิ้นลมหายใจไปจริงๆ เราก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแบบนี้ไปเรื่อยแหละครับ อ๋อ พี่มีนาครับ มีอีกอีกเรื่องหนึ่งเนื่องมาจากผมได้อ่านหนังสือ “รักแท้มีจริง” ซึ่งถือเป็นหนังสือเรื่องใหม่ และนับเป็นหนังสือเล่มแรกที่คุณ “ดังตฤณ” ที่เขียนเกี่ยวกับความรักโดยเฉพาะ โดยที่เนื้อหาทั้งหมดไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน   หลายคนอาจเคยได้ยินวาทะของคุณดังตฤณที่กล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า “รักแท้มีจริง แต่ที่จริงกว่าคือกิเลส” หนังสือเล่มนี้จะชี้ให้เราได้เห็นต่างไปอีกมุมหนึ่งว่า “แม้รักแท้จะไม่จริงเท่ากิเลส แต่ก็สูงส่งเหนือกิเลสได้ ขอเพียงเราเข้าใจและรู้วิธีสร้างความรักที่เป็นอิสระจากราคะ เพราะเมื่อเป็นอิสระจากราคะ รักนั้นก็ย่อมไม่พังเพราะราคะ”   โจทย์ตั้งต้นคือ แล้วจะทำอย่างไร จึงจะสร้างรักอันทรงพลังและมีอายุยืนให้เกิดขึ้นได้? และคำตอบ ก็คือเนื้อหาทั้งหมดที่คุณดังตฤณตั้งใจถ่ายทอดลงหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมีเนื้อหาคร่าวๆ ดังนี้ครับ.....   เริ่มต้น เราจะได้รู้... วิธีสร้างเสน่ห์ดึงดูดความสนใจ เพื่อจะมีโอกาสเป็นผู้เลือกบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งของใคร ๆ และการสร้างเสน่ห์ในที่นี้ ก็ไม่ได้เน้นที่รูปกายซึ่งแข่งกันยาก แต่เน้นที่กระแสทางใจ ซึ่งตกแต่งกันง่าย ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือขี้ริ้วขี้เหร่มาจากไหนก็ตาม   เราจะได้รู้... วิธีเลือกคนที่ใช่ เพื่อที่จะให้ความรักเกิดขึ้นเองจากความใช่ ไม่ใช่เอาแต่คาดหวังให้ความรักเกิดขึ้นโดยปราศจากพื้นฐานความเป็นจริงรองรับ และเราจะได้รู้... วิธีรักษาความรัก ไม่ใช่ปล่อยให้ความใช่อย่างเดียวทำหน้าที่ไปจนตาย แต่ให้เราเลี้ยงความรักเป็น เหมือนคนมือเย็นเลี้ยงต้นไม้รอดไปจนกว่าจะถึงอายุขัย   เราจะได้รู้... วิธีจากกัน เพราะไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย ก็ล้วนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ใครจะพยายามหลีกเลี่ยงด้วยวิธีใด ๆ ต่อเมื่อเข้าใจคุณค่าและความหมายของการจากกัน จึงเป็นการสร้างนิยามความรักได้อย่างสมบูรณ์แท้จริง   และเราจะได้รู้... วิธียกระดับความรัก อันเป็นบทศึกษาสำรองสำหรับคนที่ไม่อาจพบคู่รักด้วยวิธีใด ๆ หรือพบแล้วแต่ปรารถนาความสุขขั้นสูงสุดที่เหนือรักเชิงชู้สาว   เขาว่ากันว่า ในยุควัตถุนิยมแบบคนรุ่นใหม่ ที่แทบจะไม่มีใครรู้จักความหมายของรักแท้อีกต่อไป มีแต่เพียง ราคะ ที่สวมหน้ากากมาทักทายในคราบของภาพฝันสวยหรู จนหนุ่มสาวจำนวนนักต่อนัก ต้องบอบช้ำเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ส่วนลึกยังโหยหา แต่ก็ไม่มีใครรู้ความหมาย ไม่มีใครเห็นวิธี... ผมและเธอได้ร่วมกันซื้อหนังสือ “รักแท้มีจริง” ไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อมอบเป็นธรรมทานแก่เพื่อนมิตร หากใครที่อยากอ่าน สามารถแจ้งชื่อและที่อยู่มาได้ใน “ธรรมตามใจ” นี้นะครับ แล้วผมจะจัดส่งไปให้โดยพลัน......  
โอ ไม้จัตวา
ฉันจะทาสีบ้านเอง ฉันบอกคนสร้างบ้านไว้ตั้งแต่แรก มีเสียงทัดทานจากแม่และพี่ชายว่าหาเงินง่ายกว่าไหม ทาสีบ้านเดี๋ยวก็ต้องไปเสียเงินค่านวด ไหนจะปวดหัว ปวดไหล่ แต่ฉันมีความสุขส่วนตัวกับการเล่นสี จึงไม่พูดอะไร และนับวันรอให้ทุกอย่างเรียบร้อย การทาสีบ้านเหมือนการออกกำลังกายอย่างหนัก เหงื่อที่ไหลท่วมตัวจนรับรู้ถึงสายน้ำที่กำลังเดินทางอยู่บนร่างกาย บางครั้งเหงื่อที่หน้าผากไหลเข้าตา แต่ไม่มีมือเช็ดเหงื่อเพราะเปื้อนสี ก่อนทาสีจริงต้องทาสีรองพื้นสองรอบ ก่อนทาสีรองพื้นช่างจะดูความเรียบร้อยว่าปูนมีรอยร้าวไหม ถ้ามีเขาใช้ wall putty วัสดุที่เป็นอะคลิลิคมาโปว๊ เพื่อสมานเนื้อปูน กันความชื้นที่หากน้ำซึมเข้าไปถึงเนื้อเหล็ก ก็จะทำให้เหล็กเป็นสนิมผุพังอาจทำให้บ้านทรุดได้ รอยร้าวในระดับไม่ถึงมิลลิเมตร อาจทำให้บ้านพังได้ในระยะยาว
เมธัส บัวชุม
ดา ตอร์ปิโด เขย่ารากฐานความศรัทธาของคนไทยอีกคำรบหนึ่งด้วยการพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 18 กรกฎาคม อย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จากข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อแขนงต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าการปราศรัยของเธอนั้นเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง ต้องยอมรับว่า ดา ตอปิโดร์ เป็นคนกล้าและแกร่งอย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในแง่ที่ว่ากล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดโดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ทราบจากที่เป็นข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาเล่าซ้ำออกอากาศผ่าน ASTV ไปทั่วประเทศ คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด ที่คนสนามหลวงฟังเพียงไม่กี่คนกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตและมีผู้คนรับรู้ไปทั่วบ้านทั่วเมืองและเป็นเหตุให้เขาต้องออกถูกออกหมายจับ เข้ามอบตัวโดยนำฝูงชนไปปิดล้อมกองบัญชาการตำรวจนครบาล ข่มขู่ไปต่าง ๆ นานาหากไม่ยอมให้ประกันตัว
Carousal
  สองหนุ่มเพื่อนซี้ชาวออสเตรเลียน John Rendall กับ Anthony Boruke เกิดได้ข่าวมาว่าที่ห้างสรรพสินค้า Harrods แผนก Exotic Pet มีลูกสิงโตที่เกิดในสวนสัตว์มาขาย ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สองหนุ่มจึงชวนกันไปดู และเมื่อพบว่าเจ้าลูกสิงโตตัวนั้นนั่งจ๋องทำท่าซึม ๆ เหงา ๆ อยู่ในกรง เขาทั้งสองก็ตัดสินใจซื้อมันกลับมาในราคา 250 Guineasเจ้าสิงโตน้อยผู้ได้รับการขนานนามว่า Christian ได้พักอาศัยอยู่กับสองหนุ่มผู้เป็นเจ้าของที่แฟลตชั้นใต้ดินของร้านเฟอร์นิเจอร์ที่เชลซี มันกลายเป็นขวัญใจของคนแถบนั้น ใคร ๆ ก็รอคอยที่จะได้เห็น ได้บันทึกภาพของมันตอนที่เจ้าของพาออกมาวิ่งเล่นที่หน้าโบสถ์ St. John'sเวลาผ่านไปเกือบปี สิงโตน้อย Christian ที่ตอนแรกหนักแค่ 35 ปอนด์ ก็เติบโตขึ้นมาก John กับ Anthony เริ่มประสบปัญหาด้านการเงิน เพราะ Christian กินจุขึ้นทุกวัน และในไม่ช้ามันก็จะเติบโตเป็นสิงโตหนุ่มเต็มวัย ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีปัญหาเกี่ยวกับความดุร้ายและความต้องการที่จะสืบเผ่าพันธุ์ ในที่สุด เจ้าของทั้งสองก็ตัดสินใจว่า การส่ง Christianไปสู่แอฟริกา มาตุภูมิแห่งเผ่าพันธุ์ที่บรรพบุรุษของมันเคยครอบครองเป็นเจ้าของ น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดด้วยความช่วยเหลือของ George Adamson เจ้าหน้าที่หน่วยงานช่วยเหลือและอนุรักษ์สัตว์ป่าที่เคนยา ในที่สุด Christian ก็กลับไปถึงแอฟริกา George ได้ส่ง Christian ไปทำความรู้จักกับ Boy สิงโตหนุ่มที่เคยแสดงในภาพยนต์เรื่อง Born Free เพื่อให้ Boy ช่วยเหลือ Christian ในการปรับสภาพเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน Christian ก็เริ่มคุ้นเคยกับการอยู่ป่า และในที่สุดก็มีฝูงเป็นของตนเองจากวันสุดท้ายที่ได้กล่าวอำลากันนานนับปี John และ Anthony ก็รวบรวมเงิน และเดินทางไปแอฟริกา เพื่อที่จะไปเยี่ยม Christian เพื่อนรักของพวกเขา แม้จะได้รับคำเตือนว่า Christian กลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว ระยะเวลาที่ห่างกันอาจทำให้มันลืมพวกเขา และอาจเข้าจู่โจมทำร้ายได้ก็ตามแต่ Christian ไม่ได้ลืมพวกเขา มันไม่เคยลืมเลยแม้แต่วันเดียว
SenseMaker
  หลังจากเขียนบทความ ในหัวข้อโลกยุคหลังอุตสาหกรรม กับสภาวะข้อมูลท่วมโลก เสร็จเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ได้เกิดหนึ่งคำถามขึ้นกับข้าพเจ้า นั่นคือ หากมนุษย์ต้องดิ้นรน เพื่ออยู่รอดบนโลกใบนี้ ในยุคที่คลื่นแห่งข้อมูลข่าวสาร โถมกระหน่ำใส่ประชาคมโลกอย่างรุนแรง และได้ทำให้กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และในทิศทางที่ยากจะคาดเดา มากขึ้นทุกที เราต้องทำอย่างไรบ้างในทัศนะของข้าพเจ้า ผู้ที่สามารถโต้คลื่นแห่งข้อมูลข่าวสาร พาตนเองขึ้นไปอยู่บนยอดคลื่น และเป็นผู้กำหนดทิศทางชีวิตของตนเอง คือ ผู้ที่สามารถอยู่รอด และนี่จึงเป็นที่มาของชื่อบทความในตอนนี้และตอนถัดไปข้าพเจ้าขอเริ่มต้นด้วย การกำหนดความหมายของคำว่า “การอยู่รอด” พร้อมกับการกำหนดตัวแปรสำคัญ ที่จำเป็นต่อการตีกรอบการวิเคราะห์ ในทัศนะของข้าพเจ้า ดังนี้
คนไม่มีอะไร
เคยส่งสัยไหมว่าทำไมหิ่งห้อยชอบอยู่แถวบริเวณต้นลำพู แล้วข้างๆ ต้นลำพูต้องมีต้นโกงกาง มีเรื่องเล่ามายาวนานว่า ต้นลำพูเคยเป็นผู้ชายมาก่อน แล้วไปลงรักนางหิ่งห้อยชวนหนีไปด้วยกัน แต่นางโกงกางก็มีใจให้นายลำพู จึงไม่ยอมให้หนีเลยเอารากตัวเองยึดนายลำพูไว้ นางหิ่งห้อยเลยจำเป็นบินเฝ้าต้นลำพูในยามค่ำคืน       เมื่อวันที่ 22-25 กรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมาทางสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) ได้จัดประชุมเชิงปฎิบัติการครั้งที่2 การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพระดับชุมชน (CHIA) ณ บ้านทิพย์ สวนทอง จังหวัดสมุทรสงคราม ในการประชุมครั้งนี้ทางสช. ได้จัดวันลงพื้นที่เพื่อเรียนรู้ชุมชนบนวิถีท้องถิ่นแม่กลอง ไปเรียนรู้ 2 ชุมชน ชุมชนแรกเป็นชุมชนแพรกนามแดงซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายการจัดการน้ำ ชุมชนที่สองเป็นชุมชนบ้านลมทวนได้รับผลกระทบจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวดูหิ่งห้อยจากการลงพื้นที่ชุมชนบ้านลมทวนเชื่อว่าใครหลายๆ คนเคยไปสัมผัสบรรยากาศของหมู่บ้านแห่งนี้ เวลายามเย็นกับการล่องเรือเที่ยวตลาดน้ำ ส่วนยามค่ำคืนนั่งเรือพายชมหิ่งห้อยนับล้านตัว บนวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย รักสงบแบบดังเดิมของชาวบ้านสวนริมคลอง บอกตามตรงเป็นบรรยากาศที่น่าถนุถนอมเก็บรักษาสืบทอดเป็นมรดกให้ลูกหลานชาวแม่กลองต่อไปแต่ในปัจจุบันชาวบ้านชุมชนบ้านลมทวนต้องเจอกับปัญหาอย่างหนักที่มาพร้อมกับการท่องเที่ยว เนื่องจากได้มีผู้ประกอบการใช้เรือหางยาวในการพานักท่องเที่ยวชมหิ่งห้อย จากเดิมในหมู่บ้านมีเรือหางยาววิ่งแค่ 3 ลำ แต่ตอนมีประมาณ 160-170 ลำ มาจากผู้ประกอบการในตัวอำเภออัมพวา ชาวบ้านต้องเจอภาวะเสียงดังในยามค่ำคืนรบกวนเวลาพักผ่อน ปัญหากัดเซาะของชายฝั่งที่เกิดจากลูกคลื่นเวลาเรือหางยาววิ่ง  ชาวบ้านในพื้นที่ยังใช้เรือพายและเรือแจวจุดนี้เองที่ทำให้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับวิถีชีวิติของทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ และพืช ที่อาศัยอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ที่เห็นอย่างเจน1.มลภาวะทางเสียงเครื่องยนต์โดยเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ชาวบ้านไม่ต้องหลับนอนกันได้ยินแต่เครื่องยนต์เกิดความรำคาญกับชุมชนในยามวิกา,2.มลภาวะทางอากาศ ควันพิษจากท่อไอเสียของเครื่องยนต์ทำให้หิ่งห้อยไม่สามารถใช้ชีวิตตามริมฝั่งแม่น้ำได้ ต้องอพยพไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่ที่มีสภาพอากาศที่กว่า วงจรชีวิตของหิ่งห้อยในชุมชนต้องสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย3. ผลกระทบที่มากับลูกคลื่นที่เกิดจากเรือยนต์ แรงกะแทกของคลื่นทำให้เกิดการกัดเซาของชายฝั่งอย่างรุแรง ต้นลำพูและต้นไม้ชายฝั่งอยู่ในภาวะเสียหายอย่างหนัก เพราะดินชายฝั่งถูกกระแทก รากของต้นไม้ไม่มีดินสำหรับเกาะยึด ภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ป่าชายเลนที่มีหิ่งห้อยมากที่สุดถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง และที่สำคญมากไปกว่านี้ไข่ของหิ่งห้อยก็โดนคลื่นกระแทกออกไป ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเชื่อว่าหิ่งห้อยที่หมู่บ้านแห่งนี้จะศูนย์พันธุ์ไปที่ในที่สุด4. ผลกระทบกับวิถีชีวิตของชุมชน ในอดีคนในชุมชนหมู่ที่ 6, 7, 8 และหมู่ที่ 11 ของตำบลบ้านปรกดำเนินชีวิตด้วยความสงบสุข มีแหล่งอาหารจากป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ ยามค่ำคืนสามารถพักผ่อนนอนหลับได้ตามปรกติ แต่ในสภาพปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ได้ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วจากการท่องเที่ยวดูหิ่งห้อย เราเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ เลยอยากบอกส่งสารหิ่งห้อยมาก เพราะว่ามันไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แล้วทำไมคนจำนวนมากต้องไปทำลาย และทำร้ายมันด้วย4 เสือ ก่อนลงเรือไปดูหิ่งห้อยจุดหมายเดียวกันเราจะไปหานายลำพูกับนางหิ่งห้อยสวยไมคะ นี้แค่ถ่ายเล่นๆ ยังไม่เอาจริงนะเนี๊ยสิ่งที่ชาวบ้านลมทวนฝากมาคณะท่องเที่ยวจากใต้จ้ากำลังจะไปหาจุดหมายเหมื่อนกันหลายๆ คนอาจส่งสัยว่าทำไมไม่มีรูปของนางหิ่งห้อย นางหิ่งห้อยตั้งเสียใจร้องไห้กับนายลำพูมายาวนาน จนถึงทุกวันนี้ สายตาของนางหิ่งห้อยจะรับแสงอย่างอื่นๆไม่ได้เลย นอกจากแสงดวงจันทร์เท่านั้น ถ้าสายตาของนางหิ่งห้อยต้องเจอกับแสงแฟลตส์ของกล้องถ่ายมันก็จะตายในทันที ในส่วนกลางวันมันจะแอบแถวๆ บริเวณเดียวกันกับนายลำพู สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ตำบลปรก อำเภอเมือ จังหวัดสมุทรสงคราม ขอขอบคุณชาวบ้านชุมชนลมทวน
สร้อยแก้ว
แมงกุดจี่ทั้งเคยได้ยิน ทั้งเคยฟังเพลง และเคยกินมาก่อน แต่ยามได้เดินถือกระแป๋งตามเด็กสองคนไปขุดหาแมงกุดจี่ในยามเช้า ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นพวกมันผลุบๆ โผล่ๆ ในรู ดาวใจเป็นพี่สาวของไพจิตร เธอขุดแมงกุดจี่พลาดโดนตัวมันหลายครั้ง ทำให้ฉันขัดใจน่าดู “มา มา ขอพี่ทำหน่อยซิ” ฉันว่าฉันมือเบาน่าจะขุดได้ดี แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ฉันสับเอาแมงกุดจี่หัวขาด ตัวขาด รุ่งริ่ง เสียจนน่าเวทนา เด็กหญิงไพจิตรร้องเสียงหลงทุกทีที่ฉันยั้งมือไม่ทัน คมเสียมสับลงกลางตัวแมงสีดำๆ นั้นเสียแล้ว

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม