สองหนุ่มเพื่อนซี้ชาวออสเตรเลียน John Rendall กับ Anthony Boruke เกิดได้ข่าวมาว่าที่ห้างสรรพสินค้า Harrods แผนก Exotic Pet มีลูกสิงโตที่เกิดในสวนสัตว์มาขาย ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สองหนุ่มจึงชวนกันไปดู และเมื่อพบว่าเจ้าลูกสิงโตตัวนั้นนั่งจ๋องทำท่าซึม ๆ เหงา ๆ อยู่ในกรง เขาทั้งสองก็ตัดสินใจซื้อมันกลับมาในราคา 250 Guineas
เจ้าสิงโตน้อยผู้ได้รับการขนานนามว่า Christian ได้พักอาศัยอยู่กับสองหนุ่มผู้เป็นเจ้าของที่แฟลตชั้นใต้ดินของร้านเฟอร์นิเจอร์ที่เชลซี มันกลายเป็นขวัญใจของคนแถบนั้น ใคร ๆ ก็รอคอยที่จะได้เห็น ได้บันทึกภาพของมันตอนที่เจ้าของพาออกมาวิ่งเล่นที่หน้าโบสถ์ St. John's
เวลาผ่านไปเกือบปี สิงโตน้อย Christian ที่ตอนแรกหนักแค่ 35 ปอนด์ ก็เติบโตขึ้นมาก John กับ Anthony เริ่มประสบปัญหาด้านการเงิน เพราะ Christian กินจุขึ้นทุกวัน และในไม่ช้ามันก็จะเติบโตเป็นสิงโตหนุ่มเต็มวัย ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีปัญหาเกี่ยวกับความดุร้ายและความต้องการที่จะสืบเผ่าพันธุ์ ในที่สุด เจ้าของทั้งสองก็ตัดสินใจว่า การส่ง Christianไปสู่แอฟริกา มาตุภูมิแห่งเผ่าพันธุ์ที่บรรพบุรุษของมันเคยครอบครองเป็นเจ้าของ น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด
ด้วยความช่วยเหลือของ George Adamson เจ้าหน้าที่หน่วยงานช่วยเหลือและอนุรักษ์สัตว์ป่าที่เคนยา ในที่สุด Christian ก็กลับไปถึงแอฟริกา George ได้ส่ง Christian ไปทำความรู้จักกับ Boy สิงโตหนุ่มที่เคยแสดงในภาพยนต์เรื่อง Born Free เพื่อให้ Boy ช่วยเหลือ Christian ในการปรับสภาพเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน Christian ก็เริ่มคุ้นเคยกับการอยู่ป่า และในที่สุดก็มีฝูงเป็นของตนเอง
จากวันสุดท้ายที่ได้กล่าวอำลากันนานนับปี John และ Anthony ก็รวบรวมเงิน และเดินทางไปแอฟริกา เพื่อที่จะไปเยี่ยม Christian เพื่อนรักของพวกเขา แม้จะได้รับคำเตือนว่า Christian กลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว ระยะเวลาที่ห่างกันอาจทำให้มันลืมพวกเขา และอาจเข้าจู่โจมทำร้ายได้ก็ตาม
แต่ Christian ไม่ได้ลืมพวกเขา มันไม่เคยลืมเลยแม้แต่วันเดียว
ทันทีที่เห็น John กับ Anthony สิงโตหนุ่มที่ไม่มีใครเรียกขานมันด้วยชื่อ Christian มานานกว่าปีแล้วก็ชะงักไปนิดหนึ่ง มันเหยาะย่างเข้าหาภาพตรงหน้าอย่างเชื่องช้าด้วยสายตาที่เหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น และแล้วเมื่อมั่นใจว่านั่นไม่ใช่ความฝัน มันก็ซอยเท้าเร็วจี๋ กระโจนเข้าหาสองหนุ่ม กอดรัดฟัดเหวี่ยง จูบพวกเขาด้วยความรักและคิดถึงอย่างสุดหัวใจ
สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวทำให้ Christian อยู่รอด หากความรักและความคิดที่มันมี แม้จะอย่างสัตว์ ทำให้มันยังคงแยกแยะและจดจำเพื่อนรักที่เคยเลี้ยงดูและอยู่ร่วมกันมาได้อย่างแม่นยำ
มันเป็นความกลมกลืนระหว่างทั้งสองสิ่ง สัญชาตญาณ กับความรู้คิด
หลังจากที่ได้อ่านรายละเอียดและดู vdo clip จากคำแนะนำของสมาชิก pantip.com ห้องเฉลิมไทย ฉันก็คิดถึงการ์ตูนเรื่องนี้ขึ้นมา Wild Cat
Wild Cat เป็นเรื่องราวของซีซาร์ สิงโตน้อยเพศเมีย (แต่ชื่อแมนจัง) ที่ถูกใครก็ไม่รู้เอามาวางใส่กล่องทิ้งเอาไว้ในคืนวันฝนตกร่วมกับลูกแมวอีกฝูงหนึ่ง ถึงจะตัวใหญ่ไปหน่อย แต่สำหรับเด็กชายวัยสิบขวบอย่างริวอิจิ ก็มองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างลูกสิงโตกับลูกแมว เขารับมันมาเลี้ยง แล้วพร่ำบอกกับมันทุกวันว่า ความฝันของเขาคือการได้เป็นเจ้าของแมวจ่าฝูงที่สง่างามเหมือนสิงโต
แล้วสิงโต ก็เลยมีปณิธานว่า เมื่อเติบโตขึ้น จะเป็น ‘แมวจ่าฝูงที่สง่างามราวกับสิงโต' ให้จงได้ เพื่อให้เป็นไปตามความปรารถนาของคุณหนูริวอิจิ
(ลักลั่นย้อนแย้งจริง ๆ)
แต่ซีซาร์ไม่ได้เติบโตเป็นแมวจ่าฝูงที่สง่างามเหมือนสิงโตหรอกค่ะ ตรงกันข้าม มันกลับกลายเป็นแมวที่ไม่เอาไหนที่สุดในหมู่บ้าน เพราะนอกจากจะทำอะไรต่อมิอะไรอย่างที่แมวทำไม่ค่อยได้แล้ว (ก็คุณจะคาดหวังให้สิงโตตัวโต ๆ กระโดดจับนกหรือจิ้งจกบนข้างฝาได้ยังไงกันล่ะ) มันยังมีนิสัยขี้กลัวเป็นที่หนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ตัวโตกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในหมู่บ้าน แต่มันกลับถูกแมวจรจัดหรือหมาไล่ฟัด ได้แผลกลับบ้านมาบ่อย ๆ
น่าเศร้าไปหน่อย สำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีฉายาว่า ‘เจ้าป่า'
ถึงแม้ว่าทุกคนในหมู่บ้านจะรู้ว่าซีซาร์ไม่มีวันสร้างปัญหาอะไรให้ (ก็สิงโตที่วิ่งหนีหมา จะกล้ากัดคนได้ยังไงกัน) แต่สำหรับริวอิจิ เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นปัญหา ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กสิบขวบอีกต่อไปแล้ว เขารู้ว่าซีซาร์เป็นสิงโต ไม่ใช่แมว และมันเป็นสิงโตที่ขี้ขลาดที่สุดในโลก ริวอิจิสะท้อนใจกับเรื่องนี้ เพราะตัวเขาเองกับซีซาร์มีบางส่วนที่เหมือนกัน ในขณะที่ซีซาร์เป็นสิงโตซึ่งควรจะอยู่ในป่า แต่กลับต้องมาอยู่ในเมืองร่วมกับมนุษย์ ตัวเขาก็เป็นลูกเมียน้อยที่มีแม่เป็นชาวต่างชาติ ทำให้สีผมกับสีตาของเขาไม่เหมือนกับคนญี่ปุ่นทั่วไป ทั้งเขาและซีซาร์ต่างเป็นคนแปลกหน้าของสังคมนี้ ต่างอ่อนแอ ต่างถูกรังแก และไม่กล้าที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับความอยุติธรรมที่ได้รับ
แทนที่ปัญหาของตัวเองที่ไม่สามารถแก้ตก ริวอิจิพยายามเคี่ยวเข็ญให้ซีซาร์กลับไปเป็นสิงโต เขาพยายามบอกให้มันลืมคำสั่งของเขาที่อยากให้มันเป็นแมวจ่าฝูงที่สง่างามนั่นซะ (ซึ่งมันก็ทำได้เพียงครึ่งเดียว คือครึ่งเป็นแมว ส่วนครึ่งสง่างามตกหายไประหว่างทาง) เขาหาวีดีโอการล่าสัตว์ของฝูงสิงโตมาให้มันดู (ซึ่งซีซาร์กลัวจนต้องเอามือปิดหัวหนีไปชนกำแพง) หาลูกนกมาให้มันหัดล่า (ซึ่งมันคาบไปเลียให้ความอบอุ่นแทนแม่) เขาทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าของมันกลับคืนมา อย่างน้อยที่สุด มันก็จะได้กลับเป็นสิงโต เผ่าพันธุ์ที่น่าเกรงขาม มันจะไม่ถูกรังแก ไม่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะอีกต่อไป
แต่แล้ว ริวอิจิก็ได้รู้ว่า การที่ซีซาร์ขี้กลัว การที่ซีซาร์ไม่รังแก ไม่กัดใคร ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นสิงโตนั้น ไม่ใช่เพราะว่ามันลืมเลือนสัญชาตญาณของตัวเองอย่างที่เขาเข้าใจ
แม้แต่สัตว์ที่เชื่องที่สุด คนที่ขี้ขลาดที่สุด เมื่อยามโกรธเกินระงับยังลืมตัวจู่โจมทำร้าย ซีซาร์ก็เช่นกัน ตัวมันเองอาจไม่ยี่หระกับการถูกกลั่นแกล้ง แต่เจ้าของคือสมบัติล้ำค่าที่มันอยากรักษาไว้ด้วยชีวิต เมื่อซีซาร์เห็นริวอิจิถูกรังแก มันก็พุ่งเข้าหาคนที่ทำร้ายเจ้านายผู้เป็นที่รักด้วยความก้าวร้าว อย่างที่แม้แต่ริวอิจิเองก็ยังคิดว่าซีซาร์ต้องทำร้ายเด็กคนนั้นแน่ ผู้เคราะห์ร้ายจากการถูกซีซาร์ทำร้ายหมดสติ เลือดออกที่หัว และต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วนที่สุด
แต่คมเขี้ยวของซีซาร์ไม่ได้ต้องตัวเด็กคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ริวอิจิได้รู้ความจริงว่า การที่ซีซาร์เป็นสิงโตใจดีที่ไม่ทำร้ายใคร ไม่ได้หมายความว่ามันขี้ขลาด หรือลืมสัญชาตญาณของความเป็นสัตว์ผู้ล่า แต่เพราะมันเป็นสิงโตที่รู้จักคิด มันรู้ว่าถ้ามันทำร้ายคน มันต้องไปจากริวอิจิ แม้ในยามที่มันโกรธที่สุด ซีซาร์ก็ยังสำนึกถึงขอบเขตของตัวมันเอง
ก่อนที่จะได้เห็น VDO Clip ของ Christian ฉันก็คิดเหมือนกันว่าซีซาร์ออกจะรู้ดีไปหน่อย แต่เมื่อได้ดูแล้ว ฉันก็รู้สึกขึ้นมาว่า มันอาจจะเป็นไปได้
สัญชาตญาณเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวสัตว์ทุกชนิด (แม้แต่สัตว์มนุษย์) มันเป็นสิ่งที่ทรงอิทธิพล และเข้าครอบงำการกระทำเกือบทุกอย่าง หากไม่มี ‘ความรู้คิด' เข้ามาขัดแย้ง ระหว่างสัญชาตญาณกับความรู้คิด สิ่งไหนจะเข้ามามีอิทธิพลและความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตมากกว่า ก็ขึ้นอยู่กับสังคมที่สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นอยู่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีสังคมไหนที่เรียกร้องสัญชาตญาณแท้และความรู้คิดถาวร ทั้งสองอย่างพึงผสมกลมกลืนไปด้วยกันเพื่อความสมดุลเสมอ
โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นมนุษย์ การใช้สัญชาตญาณแต่เพียงอย่างเดียว ย่อมสร้างความวุ่นวายให้แก่สังคม แต่หากคุณใช้ความรู้คิดแต่เพียงอย่างเดียว บางครั้ง มันก็ทำให้คุณออกห่างจากความเป็น ‘สิ่งมีชีวิต'