พร้อมที่จะเจาะเวลาหาอดีตไปกับการ์ตูนเรื่องต่อไปกันหรือยังคะ?
ในจำนวนการ์ตูนแนวเจาะเวลาหาอดีตที่ยังคงวางแผงต่อเนื่องอยู่ในขณะนี้ เรื่องที่ฉันสนใจและชอบมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ละค่ะ
Jin หมอทะลุศตวรรษ ผลงานของ Motoka Myrakami ซึ่งจัดจำหน่ายในรูปแบบภาษาไทยโดย Nation Edutainment
Jin หมอทะลุศตวรรษ เป็นเรื่องราวของหัวหน้าศัลยแพทย์ แผนกศัลยกรรมสมองของโรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัยโทโตะ มินาคาตะ จิน ในคืนที่เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น จินกำลังทำหน้าที่แพทย์เวรดึกอยู่ในโรงพยาบาล เขาได้รับคนไข้นิรนามรายหนึ่งซึ่งตำรวจไปพบขณะนอนหมดสติอยู่ในสวนสาธารณะเข้าแผนกฉุกเฉิน จากบาดแผลที่หน้าผาก คณะแพทย์ได้ทำ CT scan เพื่อตรวจสมอง และพบว่า นอกจากเลือดคั่งที่เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกซึ่งเป็นสาเหตุของการหมดสติตามที่ได้ตั้งสมมติฐานไว้แล้ว ยังพบเนื้องอกในต่อมไพเนียลอีกด้วย
ทีมแพทย์ตัดสินใจผ่าตัดสมองเพื่อนำเลือดที่คั่งออก และถ้าสมองไม่บอบช้ำมาก ก็จะผ่าตัดแยกเอาก้อนเนื้องอกออกมาพร้อมกันเลย หากเมื่อเปิดสมองออก ทุกคนในห้องผ่าตัดก็มีอันต้องตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อพบว่าเนื้องอกในต่อมไพเนียลนั้นไม่ได้เป็นก้อนเนื้องอกไร้รูปธรรมดา แต่เป็นก้อนเนื้อที่มีรูปร่างเหมือนเด็กทารก ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นฝาแฝดไม่สมบูรณ์ที่ถูกหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายชายคนนั้น
จินผ่าตัดแยกฝาแฝดทั้งสองออกจากกัน ความไม่สบายใจบางอย่างเข้าครอบครองความรู้สึกของเขาโดยที่ระบุไม่ได้ว่าคืออะไร ความคิดของเขาวนเวียนอยู่แต่กับทารกที่ถูกแยกออกมาจากร่างของพี่ หูของเขาแว่วเสียงร่ำร้องของทารกไร้ชีวิตผู้นั้น
เสียงร่ำร้องที่ว่า ‘อย่าพรากเรา’
เหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น เมื่อคนไข้นิรนามรายนั้นหนีออกจากห้อง ICU ทั้ง ๆ ที่อาการยังสาหัส ไม่หนีตัวเปล่า เขาเข้าไปในห้องเก็บตัวอย่าง ขโมยฝาแฝดของตัวเองที่ถูกดองไว้ในขวดแก้ว และชุดอุปกรณ์การแพทย์ฉุกเฉิน คนทั้งโรงพยาบาลช่วยกันตามหาตัวเขา ในที่สุดจินก็ไปพบเขาบนบันไดหนีไฟ และได้เกิดการยื้อยุดต่อสู้กันขึ้น
จินถูกผลักตกบันได แต่ร่างของเขาไม่ได้กระทบพื้นโรงพยาบาล แผ่นหลังของเขากลับกระทบลงบนพื้นหญ้า แสงสว่างรอบข้างวูบหายกลายเป็นความมืดสนิท จินควักปากกาไฟฉายที่ใช้ส่องตรวจโรคออกมาเปิดสวิตช์ เพื่อที่จะพบว่ารอบตัวของเขากลายเป็นป่าทึบไปเสียแล้ว!
จินงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในระหว่างที่หาทางออกจากป่า จินก็ได้พบแพ็คอุปกรณ์ผ่าตัดฉุกเฉิน เขาเก็บมันมาด้วย และเดินมะงุมมะงาหราหาทางออกต่อไป จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงคน เมื่อเขาบุกป่าฝ่าเข้าไปหา ก็พบว่าคนเหล่านั้นกำลังต่อสู้กันอยู่ด้วยดาบซามูไรแบบสมัยโบราณ
ปากกาไฟฉายของจินกลายเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิต เขากวัดแกว่งมันให้แสงเข้าตาผู้จู่โจม เมื่อร่วมกับฝีมือดาบของซามูไรหนุ่มอีกผู้หนึ่งที่กำลังโดนโจมตีอยู่ด้วยกัน ทั้งสองก็ร่วมกันทำให้ผู้จู่โจมแตกหนีไป แต่แล้ว บาดแผลถูกฟันบริเวณศีรษะก็ทำให้ซามูไรหนุ่มผู้ช่วยชีวิตทรุดลงสิ้นสติ ความเป็นศัลยแพทย์ทำให้จินรู้ทันทีว่านั่นเป็นอาการเลือดคั่งในสมองจากการกระทบกระเทือน ต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วนที่สุด
ความเป็นแพทย์ในเลือดในเนื้อทำให้จินไม่อาจนิ่งดูดาย ทั้งที่เสี่ยง ทั้งที่ไม่มีผู้ช่วย ทั้งที่มีเครื่องมือติดมาแค่ชุดผ่าตัดฉุกเฉิน ทั้งที่ไม่มีแม้แต่แสงไฟฟ้า จินตัดสินใจทำการผ่าตัดช่วยชีวิตผู้มีพระคุณของเขา
ซามูไรผู้นั้นรอดชีวิต...จินได้รับรู้ว่า สถานที่ที่เขาอยู่ปัจจุบันคือเอในปีบุนคิวที่ 2 ซึ่งก็คือโตเกียวในปี 1862 นั่นหมายความว่า เขาถูกกระแสกาลเวลาพัดพาไปสู่อดีตซึ่งห่างไกลจากโลกยุคปัจจุบันที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ถึง 138 ปีนั่นเอง
แน่นอน จินช็อค
ด้วยความสำนึกในบุญคุณที่จินช่วยลูกชายคนเดียวของบ้านไว้ ตระกูลทาจิบานะซึ่งประกอบด้วยแม่ เคียวทาโร่ลูกชาย และซากิลูกสาว จึงเชิญให้จินพักอยู่ด้วยที่บ้าน จินเก็บประวัติความเป็นมาของตนเองไว้เป็นความลับโดยไม่ปริปากบอกใคร และพยายามดำเนินชีวิตในโลกที่ถอยหลังไปถึง 138 ปีอย่างกลมกลืนที่สุด
แต่ความตั้งใจทุกอย่างล้วนมีอุปสรรค
ความเป็นแพทย์ในสายเลือด ทำให้จินทนนิ่งดูดายไม่ได้เมื่อพบกับเหตุการณ์วิกฤติที่ต้องการผู้เยียวยา วิธีการวินิจฉัยและรักษาที่ผิดแปลกจากหมอทั่วไปในยุคนั้น ทำให้ใคร ๆ รู้จักจินในฐานะ ‘หมอฮอลันดา’ หรือผู้ที่ไปศึกษาวิชาการแพทย์มาจากประเทศทางตะวันตกนั่นเอง คำร่ำลือนั้นทำให้จินเป็นที่สนใจของเพื่อนร่วมอาชีพในยุคสมัยที่ห่างกันถึงร้อยกว่าปีมิใช่น้อย
เส้นทางการเป็นหมอฮอลันดาของจินไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากปัญหาการขาดแคลนยาและเวชภัณฑ์สำหรับการวินิจฉัยโรค ซึ่งเขาไม่เคยต้องวิตกเมื่ออยู่ในโรงพยาบาลใหญ่อันทันสมัยในศตวรรษที่ 20 ความเชื่อและการสาธารณสุขที่ยังมีข้อบกพร่องเนื่องจากการขาดความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นอุปสรรคสำคัญ ยังไม่นับความพิศวงสงสัยและการเมืองภายในวงการแพทย์ที่คอยมุ่งร้ายต่อจิน เหล่าแพทย์ยุคโบราณไม่ได้รู้สึกทึ่งหรือเลื่อมใสในวิธีการรักษาอันแตกต่างแต่ได้ผลดีราวกับได้พรของเทพเจ้านั้นเสมอไปเสียทุกคน หัวโขนและความทรนงทำให้แพทย์หลายคนลืมคิดถึงประโยชน์ของคนไข้เป็นใหญ่ วิชาการความรู้อันน่าอัศจรรย์ของจินทำให้พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่า พวกเขาจึงมุ่งร้ายจิน
ท่ามกลางกระแสการเมืองของญี่ปุ่นยุคเริ่มเปิดประเทศ ซึ่งมีการต่อต้านชาวต่างชาติเป็นคลื่นใต้น้ำอยู่เงียบ ๆ จินกำลังพยายามทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุด ในฐานะแพทย์
ฉันชอบมินาคาตะ จิน ค่ะ เพราะถึงแม้จะมีกลิ่นอายของ Gary Stu (ตัวละครที่ดีพร้อมในทุกด้านจนผิดจากความจริง) อยู่บ้างในบางเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ เขาเป็นผู้ผลักดันเหตุการณ์ให้ดำเนินไปด้วยพลังและความพยายามของเขาเอง การพลัดมิติกาลเวลาไปอยู่ในโลกที่แทบไม่รู้จัก แทนที่จะทำให้จินทุกข์ใจหรือกังวลอยู่แต่กับการหาวิธีกลับบ้าน เขากลับละสายตาจากตัวเองแล้วมองไปรอบข้าง เมื่อมองเห็นสิ่งที่เขาช่วยได้ เขาก็ลงมือช่วยโดยไม่รั้งรอ โรคแล้วโรคเล่าที่ผ่านมือเขาไป หัด อหิวาต์ กามโรค ฯลฯ โรคธรรมดา ๆ ที่รักษาได้โดยง่ายในยุคปัจจุบัน กลายเป็นโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากมายมหาศาล ไม่เพียงต้องต่อสู้กับตัวโรคเท่านั้น เขายังต้องต่อสู้กับความเชื่อของคน ต่อสู้กับความทรนงของการแพทย์ยุคเก่า และพยายามเผยแพร่ความรู้ออกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยทั้งหมดนี้เขาเริ่มต้นจากเรี่ยวแรงของตัวเขาเองเพียงคนเดียว
ถ้าเป็นคุณล่ะคะ? คุณจะทำอย่างเขาหรือเปล่า?
ในโลกนี้มีคนจำนวนมากมายที่พอใจกับการปิดหูปิดตาเพื่อความสบายใจของตนเอง หลอกตัวเองว่าสิ่งที่ตนเองไม่เห็น แปลว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น...มโนธรรมอาจทำให้คนเรายื่นมือเข้าช่วยเหลือคนตุกทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า แต่ละเลยคนอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตคลองนัยน์ตา แล้วบอกตัวเองว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่จินไม่ใช่คนเช่นนั้น แทนที่เขาจะรักษาแต่เพียงผู้ป่วยที่เข้ามาหาให้ตัวเองพอสบายใจ เขากลับพัฒนาการแพทย์เชิงรุก การขาดแคลนยาและเวชภัณฑ์ไม่ทำให้จินท้อใจ ในเมื่อมันไม่มี เขาก็ประยุกต์เอาอะไรที่พอหาได้มาใช้แทน อย่างแอมเบิลแบ็คที่ทำจากกระเพาะปัสสาวะหมู หรือหน้ากากดมสลบจากผ้าและโครงลวด นอกจากจะรักษาด้วยตนเองแล้ว เขายังเต็มใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่มีให้กับทุกคนที่พร้อมจะเปิดใจรับโดยไม่เคยเอาความดีเข้าตัว ยุคสมัยที่เขาไปนั้น เป็นยุคก่อนที่เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์จะค้นพบเพนิซิลลินนับสิบปี จินสอนเรื่องแบคทีเรียและผลิตยาปฏิชีวนะขึ้นมาใช้ตั้งแต่ก่อนที่ผู้ค้นพบตัวจริงจะค้นพบ แต่เขาไม่แอบอ้างเลยว่านั่นเป็นผลงานของเขา เขารู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่
ที่น่ายกย่องที่สุด ความรู้จากโลกอนาคตกว่าร้อยปีข้างหน้า ไม่ได้ทำให้จินหยิ่งผยองว่าเขารู้ดีที่สุด ในเวลาที่เขาด้อยประสบการณ์กว่า เขาก็รับฟังความคิดเห็น และขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน
แม้จะเป็นเพียงตัวละครในโลกสมมติ แต่มินาคาตะ จิน ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ต่อสู้โดยไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตา เผชิญหน้ากับสิ่งที่ต้องแก้ไขด้วยสายตาที่กว้างไกลและยอมรับความจริง