Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
  คุยกันเล่นๆ ในบางวันของชีวิตว่าเรามี "รัฐ" และ "รัฐบาล" ไปทำไม? บางคนตอบทีเล่นทีจริงแต่ค่อนข้างขมขื่น ว่า...ไม่ได้อยากมี มัน "มี" มาแล้วและมัน "มี" ของมันเอง ทำนองว่า... มีมาแต่ไหนแต่ไรหรือ "ที่ไหนๆ" และ "ใครๆ" ก็มีกัน อะไรทำนองนั้น...ประมาณนั้น ! "รัฐ" คือ อะไร? และมีความจำเป็นอย่างไร?ฟังดูเป็นวิชาการ และขึงขัง "เป็นงานเป็นการยิ่ง"... ลองค้นดูใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯ พ.ศ.2542 ก็พบความหมาย(หรือคำแปล?) ว่า...รัฐ, รัฐ- [รัด, รัดถะ-] น. แคว้น เช่น รัฐปาหัง, บ้านเมือง เช่น กฎหมายสูงสุดของรัฐ, ประเทศ เช่น รัฐวาติกัน. (ป. รฏฺ?; ส. ราษฺฏฺร). อ่านแล้ว "งง" ไหม? กับการสื่อสารของเหล่าผู้รู้-ราชบัณฑิต!! ช่างเถอะ.. ถึงจะงงๆ กับการสรุปให้สั้นที่สุด(นี่แปลว่า "ชัดที่สุด" แน่หรือ?)แต่ก็พบสิ่งน่าตื่นตา ว่า... ในภาษาสันสกฤต "รัฐ" นั้นคือ "ราษฎร" น่าสนใจไหมเล่า... ที่คำว่า "ราษฎร" แปลว่า "รัฐ"ซึ่งหมายถึง แคว้น บ้านเมือง และ ประเทศมาแต่ครั้งโบราณ ครั้งที่ใช้ภาษาสันสกฤตโน่น... ก็แล้วใครกัน?ที่ทำให้ความหมายดีๆ อย่างนี้เลือนไปเสีย... ............... กลับมาที่วงสนทนาตอนต้นยังมีการคุยกัน "เล่นๆ" ว่า... ถ้า "รัฐ" ซึ่งดูแล หรือบริหารโดย "รัฐบาล"ไม่สามารถแม้แต่จะ ... ๑. จัดเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้ประชาชน ปีละชุด 2 ชุด๒. จัดหายารักษาโรค หรือการรักษาพยาบาล(ขั้นพื้นฐาน)ฟรี๓. จัดหาที่อยู่อาศัย(เฉพาะคนที่ไม่สามารถจัดหาเองได้)อันมั่นคงถาวร๔. จัดหาอาหารบรรเทาความเดือดร้อน แก่ผู้ยากไร้และในยามประสบภัย(ให้อย่างเหมาะสมและทั่วถึง) หรือ ถ้าให้ดีไปกว่านั้นบางคนเสนอให้ลองเพิ่ม... ๕. จัดหาบำนาญให้กับทุกคนที่อายุเกิน ๖๐ ปี(ถึงไม่ใช่คนของรัฐก็เถอะ)๖. จัดให้ผู้สูงอายุ(เกิน ๖๐ นั่นล่ะกระมัง)ได้เดินทางท่องเที่ยวฟรี สักปีละครั้ง๗. จัดให้มีบริการด้านสาธารณสุข(เป็นพิเศษ)สำหรับคนชรา คนยากไร้และผู้ประสบภัย และ/หรือ ๘. จัดการศึกษาและให้โอกาสที่เท่าเทียมในทุกระดับ โดยไม่เร่งรัดหรือจำกัดเวลา๙. เปิดโอกาสให้พัฒนาและใช้ศักยภาพ โดยการเสนอโครงการเพื่อรับทุน มาทำงานแก้ปัญหาบางระดับ(ตามความเชื่อผู้ขอทุน)ว่าควรจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้แทนที่รัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนจะผูกขาดไว้ทำเอง๑๐. เปิดโอกาสและให้ช่องทาง สำหรับเข้าถึงทรัพยากร องค์ความรู้ ภูมิปัญญา และข้อมูลข่าวสาร ซึ่งอยู่ในความครอบครองของรัฐ ตลอดจน ๑๑. เปิดโอกาสและช่องทางให้แสดงศักยภาพ๑๒. เปิดโอกาสและช่องทางให้เข้าถึงแหล่งทุน(นอกรัฐ) โดยมีรัฐเป็นผู้รับรองหรือค้ำประกัน๑๓. เปิดโอกาสและช่องทางให้ประชาชนได้เข้าถึง(ใช้งาน)บุคลากรและเครื่องมือของภาครัฐ๑๔. ส่งเสริมและสนับสนุนการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะระหว่างบุคคลและองค์กร ตลอดจนภาคส่วนต่างๆ ทางสังคม และประชาสังคม ฯลฯ บางคนยิ้มขื่นๆ บางคนหัวเราะเฝื่อนๆขณะที่บางคนส่ายหน้า พลางว่า "ยากที่จะเป็นไปได้..." โดยบางคนเหม่อลอยและงงงันกับจินตนาการที่ไม่เคยลองคิด .................. ออกจะน่าประหลาดที่แม้วงคุยเล่นๆ เราก็แทบไม่มีจินตนาการ "ว่าด้วยรัฐ" แถมไม่รู้เอาเลยว่ายังมีวงคุยจริงจังเรื่องนี้อยู่ที่ไหนบ้าง..ที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึง? นอกจากบนหอคอยงาช้าง ที่เรียกกันว่า "แวดวงวิชาการ" ................... สิบกว่าข้อที่คุยกันในวงเล็กๆจะมีโอกาสแปรไปเป็น"นโยบาย" หรือ "แนวทางการพัฒนา" "ของรัฐ" บ้างไหม?  มีโอกาสเป็น "นโยบายพรรคการเมือง" บ้างไหม?มีโอกาสวางกรอบไว้ในกฎหมายลูกหรือกฎหมายสูงสุด เช่น "รัฐธรรมนูญบ้างหรือไม่? หรือมีโอกาสกำหนดอยู่ในกรอบโครงใหญ่ๆ ใดๆ อีกบ้าง? ................... ยังเขียน(พิมพ์)ไม่ถึงไหน ข่าวก็ส่งเสียงมาจากไกลๆ ว่า...สภาผู้แทนราษฎรที่เปิดไปแล้วตั้งกะวันก่อนนี้ได้ประธานสภาผู้แทนราษฎร(และว่าที่ประธานรัฐสภา)แล้วเป็นคนจากพรรคพลังประชาชนอีกไม่นานก็จะมีนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคพลังประชาชนมีรัฐบาลมาจากพรรคพลังประชาชนและมีอีกหลายๆ อย่างมาจาก "พรรคพลังประชาชน" และภาคีร่วมบุฟเฟ่ต์ พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก ซึ่งเมื่อรวมกับอีก 5 พรรคแล้วก็มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล ด้วยความชอบธรรม ของการเมืองระบบตัวแทน ................. ประเทศไทยเพิ่งผ่านการเลือกตั้ง ส.ส.และกำลังจะมี "รัฐบาล" เข้ามาบริหารประเทศ เพื่อ "บริหาร-จัดการ" ให้ "รัฐไทย" ก้าวต่อไป ซึ่งดูจะมีหมอกเมฆและม่านควันทึมทึบเป็นด่านแรกราวกับหนังตัวอย่างอันน่าตระหนกจน "ท่านผู้ชม" ขวัญผวาก่อนที่หนังจริงจะเริ่มฉายเสียด้วยซ้ำ.................... จะอย่างไรก็แล้วแต่... อยากฝากไปถึง "คุณทักษิณและคณะฯ" ด้วยว่า... การเขียนบทและกำกับภาพยนต์ว่าด้วย "รัฐไทย2551" เรื่องนี้...เป็นจินตนาการเสียดเย้ย และประชดประเทียดระดับ "ตลกร้าย" ชนิด 5 ดาว โดยแท้... เพราะย้อนหลังไปสองสามปี... ถ้าวันนั้นใครบอกว่าคุณสมัครจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ,คุณยงยุทธจะเป็นประธานรัฐสภา,คุณเฉลิมเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีว่าการมหาดไทย หรือยุติธรรม และ...คุณเสนาะจะกลับไปร่วมงานกับคุณทักษิณหรือ คนของคุณทักษิณ  ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ถ้าไม่โดนโห่ฮา คนพูดก็น่าจะเป็นจำอวดตัวกลั่นหรือไม่ก็กำลังแสดงสภาโจ้กอยู่แน่ๆ... แต่แล้วคุณทักษิณก็เหนือชั้น และทำได้อีกครั้ง... ราวกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่า"เมื่อพวกเอ็งไม่เอาข้า... ก็เอาไอ้พวกนี้ไปอวดชาวโลกละกัน!!" จินตนาการว่าด้วย "รัฐ" และ "รัฐบาล" ของท่านอดีตนายกฯช่างร้ายกาจจน "เหลือจะทน" เอาเสียจริงๆ... ไม่ใช่คุณทักษิณใครจะทำได้อย่างนี้ หรือขนาดนี้ คิดฉากจบไม่ออกยอมรับว่า "เดาไม่ถูก-คาดไม่ได้" เอาจริงๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เมื่อคนสองคนหรือผู้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ที่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้เกิดความขัดแย้งกัน  ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ๆ ก็แล้วแต่ แล้วต่อมา ความขัดแย้งนี้ได้ลุกลามถึงขั้น โกรธ เกลียด และแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แล้วต่างฝ่ายต่างก็ตั้งหน้าตั้งตา ดุด่า ใส่ร้ายป้ายสี ทะเลาะวิวาทกัน  เพื่อเอาชนะคะคานกัน เพื่อทำลายกันให้พินาศไปข้างหนึ่งเมื่อปรากฏการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้เกิดขึ้น แทนการยุยงส่งเสริม หรือเข้าไปร่วมถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างที่พวกเรามักจะเป็นกันเพราะมีอคติ รักหรือว่าชอบ-คนนั้นพวกนั้น  ผิด ถูก ชั่ว ดี อย่างไร ก็ขอเข้าข้างกันเอาไว้ก่อนแต่เรื่องนี้ ท่านอาจารย์ รวี ภาวิไล กลับแสดงความเห็นเอาไว้ในบทความชิ้นหนึ่ง ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า “ความสงัด” เอาไว้ว่า ในฐานะชาวพุทธ เราไม่ควรจะทำอย่างนั้น แต่ควรพยายามช่วยกันระงับการทะเลาะวิวาทกัน ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาทกันระหว่างปัจเจกชนกับปัจเจกชน หรือระหว่างสังคมกับสังคม ถ้าเราสามารถทำได้
ช้องนาง วิพุธานุพงษ์
Now is the time to make real the promise of democracy. Martin Luther King, Jr.เพิ่งเริ่มปีใหม่มาหมาดๆ เงินเดือนแรกของปีหนูถีบจักรยังไม่ทันโอนเข้ากระเป๋า แต่ดูเหมือนว่าโลกหลังปีใหม่ ทั้งในบ้านเขา และบ้านเรา จะหมุนเร็วเสียจนไล่กวดแทบไม่ทันแน่ะค่ะตามธรรมเนียมของการเริ่มต้นศักราชใหม่ ใครๆ ตั้งใจอยากจะเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ เพิ่มสีสันให้ชีวิต ความตั้งใจตอนปีใหม่แบบนี้ ฝรั่งเรียกว่า New Year’s resolution ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนสาวคนหนึ่ง เธอตั้ง New Year’s resolution สำหรับปี 2008 ไว้ว่า หนึ่ง จะตื่นเช้าขึ้นครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ยาริสสีแดงได้จอดในร่มทุกวัน สีจะได้ไม่ซีดและดู cool ตลอดเวลา,  สอง ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น  วิ่งย้อนศรที่สวนลุมฯ วิ่งพร้อมเต้นแอโรบิค  กินเจ ฯลฯคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองแบบนี้ เรียกว่าตั้งใจดีไว้ก่อน ทำได้หรือไม่ได้ก็เห็นไม่เสียหาย ต้นปีหน้าค่อยมาว่ากันใหม่ จะตั้งแล้วตั้งอีกสักกี่ข้อก็ยังได้ (ฮา) ในทางกฎหมาย คำมั่นที่ได้ให้ไว้ต่อบุคคลอื่นถือเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา พูดเป็นภาษากฎหมายฟังแล้วเข้าใจยากจังค่ะ แต่โดยสรุปหมายความว่า คำมั่นที่ได้ให้ไว้นั้นจะมีผลผูกพันตัวผู้ให้คำมั่นในทำนองเดียวกับคำเสนอก่อนมีการทำสัญญา
Carousal
คุณเคยคิดบ้างไหมคะว่า ในโลกอันกว้างใหญ่ที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไปด้วยแรงขับดันจากพละกำลังของมนุษย์เช่นทุกวันนี้ แท้ที่จริงแล้วยังมีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายที่ร่วมเป็นเจ้าของด้วยเหมือนกัน?เมื่อสามสัปดาห์ก่อน รายการ ‘คนค้นฅน’ ได้นำเสนอเรื่องราวของ ‘หมอล็อต’ นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน นายสัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งรับหน้าที่รักษาช้าง ผู้ป่วยของคุณหมอมีทั้งช้างบ้าน (มีบ้างที่ผู้ป่วยมาหาหมอ แต่ส่วนใหญ่แล้วหมอจะเป็นฝ่ายขับรถไปหาผู้ป่วย) และช้างป่า (อันนี้หมอต้องหาพรานนำทางบุกเข้าป่าไปหาผู้ป่วยด้วยตัวเองสถานเดียว) ดูแล้วคิดถึงการ์ตูนเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีWildlife สัตวแพทย์มือใหม่ หัวใจเมโลดี้
new media watch
  ทุกครั้งที่กวาดตาไปยังข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์...เรามักสะดุดตากับ ‘ข่าวร้าย' มากกว่า ‘ข่าวดี' และคนที่ภูมิต้านทานความเศร้าต่ำ อาจรู้สึกหดหู่เมื่อได้เห็น จนบางทีก็เกิดเป็นคำถามขึ้นมาว่า เราบริโภคข่าวร้ายมากเกินไปหรือเปล่า?ไม่ใช่ว่าจะมาชวนให้ใครหลบหนีจากโลกแห่งความจริง (อันโหดร้าย) แต่หลายคนที่คิดว่า เราควรมีพื้นที่ข่าวที่สร้างสรรค์จรรโลงใจในชีวิตประจำวันบ้าง โปรดฟังทางนี้...บล็อก ‘Happy Media' เป็นพื้นที่หนึ่งซึ่งเปิดไว้รอท่า เพราะบล็อกเกอร์ประจำของที่นี่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘สื่อสร้างสรรค์ (ความสุข)' หรือ "กลุ่มคนที่มีความสนใจใฝ่หาการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสุขภายใน สร้างสรรค์ความสุขภายนอกให้ผู้อื่นและสังคม" โดยการ "ร่วมกันคิด พูดคุย เรียนรู้ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ สนุกๆ และผ่อนคลาย"ด้วยความหวังว่า "มิตรภาพ ความงามในชีวิต และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จะนำไปสู่ความสุขอย่างยั่งยืนในชีวิตของทุกคนและแผ่ขยายไปในเครือข่ายของสังคมต่อไป"
Hit & Run
มุทิตา เชื้อชั่งด้วยทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ขนาบไปด้วยทะเลยาวเหยียด เหมาะเป็นเส้นทางขนส่งวัตถุดิบสารพัด ประจวบฯ จึงเป็นที่หมายตาของโครงการขนาดใหญ่ ไม่ว่าโรงไฟฟ้าหรือโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งไม่เห็นด้วยกับโครงการเหล่านี้ ก็นับเป็นความอาภัพของชีวิต เพราะภูมิศาสตร์แบบนี้เองที่ทำให้พวกเขาต้องต่อสู้คัดค้านกับรัฐหรือทุนขนาดใหญ่กันไม่หยุดหย่อน ไม่โครงการนั้น ก็โครงการนี้ และไม่รู้ว่าด้วยความอาภัพนี้หรือไม่ที่ทำให้ขบวนการประชาชนที่นี่ ‘แข็งแกร่ง' จะว่าที่สุดในประเทศก็คงไม่ผิดนัก ล่าสุด มีการต่อสู้คัดค้านโรงถลุงเหล็กของเครือสหวิริยา ซึ่งเป็นโครงการขนาดมหึมา ที่จะไปลงในพื้นที่แม่รำพึง อำเภอบางสะพาน ขยายต่อจากโรงรีดเหล็กเดิมที่มีอยู่แล้วกระทั่งเมื่อสองวันก่อนมีการสูญเสียชีวิต จากเหตุการณ์ปะทะกันของชาวบ้าน ‘เสื้อแดง' ฝ่ายสนับสนุน และ ‘เสื้อเขียว' ฝ่ายคัดค้าน โดยผู้เสียชีวิตเป็นวัยรุ่นเสื้อแดงคนหนึ่งที่ถูกกระสุนปืน หลายคนตั้งคำถามกับกลุ่มเสื้อเขียว ขณะที่พวกเขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเขาไม่มีอาวุธปืนในที่เกิดเหตุ แต่เป็นกลุ่มเสื้อแดงนั้นเองที่พกพาอาวุธปืนและมีการยิงข่มขู่ ข้อเท็จจริงของการเสียชีวิตนี้ควรได้รับการตรวจสอบอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม โดยไม่ต้องนับว่าเขาใส่เสื้อสีอะไร และไม่มีข้อยกเว้นใดๆเหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่การลอบยิงด้วยซ้ำ แต่เป็นการเสียชีวิตจากการเผชิญหน้ากันระหว่างชาวบ้านสองฝ่ายราวกับเป็นการจลาจล...ในพื้นที่กฎอัยการศึก! ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ มาไม่ทันการณ์บ้าง มาน้อยเกินไปบ้าง มาแล้วกลับก่อนบ้าง แต่โดยสรุปก็คือ ‘ไม่สามารถจัดการอะไรได้' ทั้งที่มันไม่ใช่ความรุนแรงครั้งแรก มีสัญญาณและความรุนแรงย่อยๆ เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงหลังเมื่อความขัดแย้งเริ่มเปลี่ยนจากชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์กับบริษัทโดยตรง มาเป็นชาวบ้านกับกลุ่มนักการเมือง ผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหรือได้ประโยชน์จากโครงการนี้ แต่ ตำรวจ ทหาร ไม่ใช่จำเลยผู้เดียวสำหรับเรื่องนี้....ความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านบางสะพานกับบริษัทสหวิริยานั้นมีมานานร่วม 2 ปี และเริ่มเข้มข้นขึ้นทุกที ขณะที่มันไม่เคยไปสู่การรับรู้ของสังคมวงกว้าง มีเพียงรายงานข่าวเล็กๆ ประปราย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ดูจะไม่ได้ทำหน้าที่อย่างจริงจังในการช่วยคลี่คลายปัญหา หลายปัจจัยร่วมทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เพราะโครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มาก ขณะที่ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ที่นี่ก็เข้มแข็งมาก ไม่ประนีประนอม และมีประสบการณ์การต่อสู้กับโครงการอื่นๆ มายาวนาน นอกจากนี้ที่นี่เป็นเมืองแห่งอิทธิพลมืด ซึ่งบทเรียนการต่อสู้ในอดีตก็มีการ ‘สังหาร' ผู้นำชาวบ้าน กรณีสะเทือนขวัญที่เป็นที่รู้จักคือ การลอบยิง ‘เจริญ วัดอักษร' เมื่อครั้งที่เขาคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก-บ้านกรูด และคดียังไม่คืบหน้าจนปัจจุบัน 000สำหรับกรณีนี้ ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ป่าพรุแม่รำพึง เริ่มรวมตัวกันคัดค้านโครงการขนาดพันล้านนี้ ด้วยความกังวลว่าโครงการผลิตเหล็กต้นน้ำนี้จะสร้างมลพิษอย่างมากมาย นอกเหนือจากนั้นประเด็นหลักที่หยิบยกมาต่อสู้กันคือ โครงการนี้กำลังจะก่อสร้างทับพื้นที่ป่าพรุนับพันไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนทำหน้าที่รองรับน้ำตามธรรมชาติของจังหวัดประจวบก่อนลงสู่ทะเล อีกทั้งกำลังถูกเสนอชื่อให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับโลก การก่อสร้างนี้จะทำให้ประจวบไม่มีพื้นที่รองรับน้ำ และปัญหาน้ำท่วมยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้โครงการยังทับพื้นที่ป่าช้าเดิมซึ่งเป็นที่สาธารณะและทางสาธารณะ มีการต่อสู้ ถกเถียงกัน โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ร่วมเข้ามาตรวจสอบเอกสารสิทธิต่างๆ ทำให้พบว่าเอกสารสิทธิบางส่วนได้มาไม่ถูกต้อง กระทั่งนำไปสู่การเพิกถอนสิทธิและส่งผลให้บริษัทต้องถอนรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ซึ่งผ่านการพิจารณาของ สผ.แล้วเหลือเพียงการลงนามอย่างเป็นทางการ ในภายหลังทางบริษัทประกาศจะขยับพื้นที่โครงการไปด้านบนไม่ให้ทับป่าพรุและป่าช้าสาธารณะ แต่ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ยังคงยืนยันถึงผลกระทบที่จะปิดร่องน้ำตามธรรมชาติ ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในเมืองหนักขึ้น ขณะที่ป่าพรุก็จะกลายสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม ท่างกลางความขัดแย้งนี้ ท่ามกลางรายงานอีไอเอที่ยังไม่ผ่าน มีความพยายามถมพื้นที่เดินหน้าก่อสร้างโครงการแต่ก็มีการคัดค้านจากชาวบ้านอย่างหัวชนฝาถึงกับมีการตั้งศูนย์เฝ้าระวังพื้นที่ป่าพรุโดยมีชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สลับสับเปลี่ยนกันไปนอนเฝ้าป่าพรุทุกคืน หลังจากนั้นมีความพยายามครั้งใหม่ในการขุดร่องระบายน้ำและมีการคัดค้านเช่นเคย โดยชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ต้องการให้รอให้อีไอเอผ่านการพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อน ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิฯ ดูเหมือนเป็นหน่วยงานเดียวที่พยายามลงไปไกล่เกลี่ยแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยพยายามจะตั้งคณะกรรมการหลายภาคส่วน แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากทางโครงการไม่พอใจรูปแบบที่กำหนดและไม่เข้าร่วมด้วย อย่างไรก็ดี เมื่อมองเห็นเค้าความรุนแรงในพื้นที่ หลายส่วนพยายามหาความชัดเจนในข้อกฎหมายเกี่ยวกับอีไอเอ การถมดิน แต่ก็ไม่มีใครออกมาบอกชัดๆ ด้วยเสียงดังๆ ว่าทำได้ ไม่ได้ แค่ไหน อย่างไร  คณะกรรมการสิทธิฯ พยายามจะบอกให้หยุดไว้ก่อนเพื่อรอความชัดเจนของอีไอเอ แต่ก็ดูไร้ผล จนกระทั่งความขัดแย้งลุกลามบานปลาย คำตอบสุดท้ายเฉพาะหน้าตอนนี้จึงพุ่งไปเรื่องอีไอเอ ซึ่งก็น่าห่วง เพราะที่ผ่านมากระบวนการพิจารณาอีไอเอก็มีปัญหา ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในหลายเรื่อง จึงไม่แน่ใจว่าจะเป็นกลไกแห่งความหวังที่จะทำให้การลงทุนมีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่ผลักภาระทั้งด้านสิ่งแวดล้อม และต้นทุนอื่นๆ ไปให้สังคมหรือชาวบ้านแบกรับได้มากเพียงไหนว่ากันให้ถึงที่สุด นี่คือปัญหาความขัดแย้งระหว่างการพัฒนากับการอนุรักษ์ ระหว่างสิทธิชุมชนและการค้า การลงทุน โดยที่เรายังหาเส้นแห่งความสมดุลไม่ได้ ที่ยากลำบากคือ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นการเผชิญหน้ากันของ ‘ชาวบ้าน' ที่ทำให้ไม่สามารถขีดเส้นแบ่ง เขา - เรา เพื่อแบ่งแยกกันเองได้ชัดเจน ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะถูกนายทุนจ้างมาหรือไม่ เพราะ ‘เรา' จะรู้ได้อย่างไรว่า ‘เขา' ก็ไม่ใช่ ‘เหยื่อ' ในอีกด้านหนึ่ง หากยังมีผู้ไร้ที่ทำกิน ไร้โอกาส ซึ่งมีความหวังกับอุตสาหกรรม เรื่อง ‘การอนุรักษ์' จะถูกจัดวางตรงไหน ? ขณะที่ภาครัฐ หรือกลไกต่างๆ ก็ยังบิดเบี้ยว และไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมให้กับคนเล็กคนน้อยได้ ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ทรัพยากรและต้นทุนสารพัดของท้องถิ่นก็กระจุก ไม่เคยกระจายให้ผู้คนอย่างเหมาะสม ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมหันมามองและคิดกับเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อหาทางออกในหลายๆ ระดับ เพราะแนวโน้มปัญหาแบบนี้จะมากขึ้นและหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ     
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
ราศีเมษ Aries (13 เมย.-13 พค.)            ไพ่ใบแรกของคุณสัปดาห์นี้   6 คทาค่ะ ไพ่ของความสำเร็จในการงาน แต่ก็ต้องผ่านเวลาเชื่องช้า หรือเลยกำหนดเวลาพอสมควร หมายถึงความประณีตรอบคอบในการทำสิ่งต่างๆ การเข้าสู่เส้นชัยภายหลังคนอื่นๆ สถานการณ์ทั่วไป ถือว่าต้องรอและใช้ความอดทนเป็นพิเศษค่ะธุรกิจ การงาน  ราชาถ้วย มีเรื่องให้คิด อ่อนไหว แต่จะเป็นสถานการณ์ทางจิตใจ อารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเหตุการณ์ค่ะ แต่อาจเป็นได้ ในบางคนจะพบชายหรือหญิง ร่างค่อนไปทางท้วม ผิวขาว เป็นคนอ่อนโยน มีเสน่ห์พอสมควร คนๆ นี้จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับคุณในเรื่องงานที่สำคัญค่ะสถานการณ์การเงิน  The Sun ค่ะ โอ้! สดใส แจ่มจ้า สงสัยจะได้เบิกบานกับเงินก้อนใหญ่ หรือข่าวดีมากๆ เชียวล่ะ คงไม่ต้องให้คำทำนายมากนัก เพราะนี่เป็นไพ่ของความสมหวัง จังหวะที่ดี ความสุข รอยยิ้ม ฯลฯ ยินดีด้วยนะคะความรัก ความสัมพันธ์   2 คทาค่ะ ไพ่ของคู่มิตร เสริมส่งกันในเรื่องการงาน คุณอาจได้พบคู่ที่ถูกตา ต้องใจ ช่วยเหลือกันละกันเป็นอย่างดี แต่ก็อาจเป็นได้ในบางคน จะหมายถึงการ “แต่งกับงาน” จริงๆ นะคะ ถือว่าไม่ใช่ช่วงโรแมนติคมากนัก ชีวิตขึ้นอยู่กับความจริงและภาระหน้าที่ค่ะคำเตือนหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น 9 ดาบ หมายถึงความคิดของคุณเอง ซึ่งโน้มเอียงไปในด้านวิตกกังวล เก็บกด จิตตก หรือนอนไม่หลับ ปวดหัว แต่บางคนนั้น ให้ดูแลสุขภาพของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงด้วยนะคะคำแนะนำจากไพ่  7 คทา คุณจะได้พบเรื่องที่ต้องออกแรงบากบั่น ต้องใช้ความมานะอดทนเป็นพิเศษค่ะ ขอให้ดูตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจให้เข้มแข็ง เส้นทางการต่อสู้นี้ยังอีกยาวไกล มีปัญหาเข้ามาขวางหน้าเรื่อยๆ สู้ๆ นะคะ
นาลกะ
คุณตาและน้ามลมาที่บ้านสายรุ้งบ่อยขึ้น เพราะแม่ของสายรุ้งไม่สบาย แม่เป็นลมหมดสติขณะกำลังทำงาน โชคดีที่ตอนนั้นสายรุ้งอยู่ที่บ้านด้วย สายรุ้งตกใจมากที่เห็นแม่ล้มลงและหมดสติเขาวิ่งไปตามคุณตาและน้ามลสายรุ้งไม่เข้าใจเลยว่าแม่ล้มป่วยได้อย่างไรในเมื่อดูแลตัวเองดีมาโดยตลอด  แม่เคร่งครัดต่อวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก นอนและตื่นตรงเวลาเหมือนกันทุกวัน ระวังให้ไม่โดนแดด โดนฝน แม่เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น อาหารที่ผ่านการหมักดองแม่ไม่ทานเด็ดขาด ผัก ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดแม่ล้างแล้วล้างอีก อาหารทอดหรือปิ้งย่าง แม่ก็ไม่ทาน ทั้งแม่ยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย สายรุ้งคิดว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก คนบางคนอาจล้มป่วยลงโดยไม่มีลางบอกเหตุอะไรเลยหรือบางทีก็หาสาเหตุไม่ได้ เขาเคยเห็นคนในชุมชนกลายเป็นอัมพาตอย่างเฉียบพลันทันใดทั้งที่ก่อนหน้านี้แข็งแรงปกติ ดังนั้นการที่คุณตาพูดอยู่เสมอว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” นั้นเป็นเรื่องจริงทีเดียว
Music
   In The Flesh?"Tell me is something eluding you sunshine?Is this not what you expected to see?If you'd like to find out what's behind these cold eyesYou'll just have to claw your way through this disguise"จากเพลง ‘In The Flesh?'ของ Pink Floydอดอร์โน...ผมศึกษาและเขียนแย้งแนวคิดของคุณในเรื่องป็อบปูล่าร์มิวสิคมาพอสมควร แต่สิ่งที่ผมค้นพบได้จากตัวคุณมันมีแต่เรื่องเกี่ยวกับความคิดทฤษฎีทั้งนั้นบางขณะที่ผมเคาะแป้นคีย์บอร์ดถกเถียงกับทฤษฎีของคุณ ผมก็ไพล่นึกไปว่า ในช่วงที่คุณมีชีวิตอยู่นั้น อะไรที่ทำให้คุณบันเทิงใจกับดนตรีที่มีซาวด์แบบ Atonal จนคุณถึงกับเขียนชมมันเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ (ไม่หรอก ผมยังไม่เชื่ออยู่ดีว่า Atonal music มันจะ Liberate อะไรใครได้ แต่ผมรู้ว่าคุณชอบมัน แบบเดียวกับที่ผมชอบวงร็อคหลายๆ วง) แล้วในแวดวงสังคมที่คุณอยู่ เขายอมรับกับความชอบ ยอมรับกับรสนิยมของคุณขนาดไหน?อะไรกันที่ทำให้คุณมองดนตรีแจ๊สแบบลบๆ การที่ใครจะมองอะไรแบบลบๆ มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะถูกกระทำจากสิ่งนั้นมาก่อน การนำทฤษฎีมาจับในแง่หนึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้ได้มองอะไรจากเหตุผล จากตรรกะ มากกว่าจากอารมณ์หรือความรู้สึก แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็คือการ sublime ทำให้การแสดงทัศนะทางลบต่ออะไรอย่างหนึ่งยอมรับได้ อย่างน้อยก็ในวงวิชาการที่รับได้กับการใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์เท่าที่ผมรู้มาจากชีวประวัติของคุณ คุณมีโอกาสได้สัมผัสเปียโนตั้งแต่ยังเยาว์วัย แล้วมันก็ทำให้คุณปิติกับเสียงของมัน กับฝีมือเปียโนที่ก้าวหน้าของตัวเอง คุณเป็นนักเรียนที่หลงรักความรู้และตัวหนังสือ เรียนจบออกมาด้วยระดับท็อปและพ่วงเอามิตรทางวิชาการออกมาด้วยตอนที่คุณอายุเท่าๆ กับผมในตอนนี้ ช่วงอายุที่คนเรากำลังหาทิศทางก้าวย่างไปสู่วัยทำงานนั้น คุณคิดอยากจะใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเอามาใช้วิจารณ์ดนตรีมาก แล้วคุณก็ได้เขียนงานวิจารณ์ที่คุณอยากเขียนสมใจ (เช่นเดียวกับผมที่ได้เขียนถึงคุณในตอนนี้) ก่อนที่คุณจะได้พบกับ คนอย่าง Alban Berg และ Arnold Schoenberg โดยเฉพาะคนหลังนี้เป็นผู้ที่นำพาให้คุณได้ค้นพบกับความมหัศจรรย์ของดนตรีแบบ Atonalityใช่ ! ด้วยความมาดมั่นของคนหนุ่มแน่น คุณจึงเอาความรู้ที่คุณสะสมมาจากการศึกษาบวกกับความคิดคุณเอง มาอธิบายความน่าชื่นชมของดนตรีที่คุณชอบ แต่ดูเหมือนตา Schoenberg เองก็เฉยๆ ไม่ยี่หระกับการที่คุณเอาปรัชญามาจับกับดนตรีของเขาเสียเท่าไหร่ แม้คุณอยากจะพรรณนาถึงความปลาบปลื้มที่คุณมีต่อเพลงๆ หนึ่งอย่างไร มันก็ดูจะเปล่าประโยชน์ในสายตาของศิลปินอีโก้แรงเหล่านั้น คุณถึงหันมาเอาดีทางด้านงานทางสังคมและวิชาการกระนั้นผมก็นึกถึงภาพของคุณที่โดดเดี่ยวท่ามกลางฝูงชน ท่ามกลางงานเลี้ยงสวมหน้ากากของดนตรีแจ๊ส ตัวดนตรีเองมันไม่ได้ผิดบาปอะไรหรอก แต่กลุ่มชนที่เชยชมมัน ทั้งๆ ที่พวกเขาอาจจะแค่อยากเข้าสังคม อยากสวมหน้ากากเพื่อให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงานเลี้ยงนั่นต่างหากใช่ไหม ที่ทำให้คุณรู้สึกแย่แต่ถ้าคิดในอีกทาง คุณอาจจะแค่สวมหน้ากากได้ไม่เก่งเท่าผมก็ได้...One of the few"...make them me, make them you,make them do what you want them tomake them laugh, make them cry,make them lie down and die"- จากเพลง "One of the few"ของ Pink Floydผมเป็นคนที่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่ฐานะการงานครอบครัวกระท่อนกระแท่นบ้าง แต่ก็เรียกได้ว่ามีอันจะกิน และคงเหมือนๆ กับครอบครัวชนชั้นกลางทั่วไปที่ได้ยินเพลงป็อบตามยุคสมัยจนชินชา โรงเรียนจะจับผมไปเต้นเพลงพี่เบิร์ด ธงไชย ในงานวันเด็ก คอนเสิร์ตในทีวีวันเสาร์อาทิตย์ก็มีนักร้องของค่ายใหญ่สลับกันมาออกทีวีให้ดู ผมตามดูรายการมิวสิควีดิโอของวัยรุ่น (ที่แบ่งค่ายกันชัดเจน) เพื่อที่จะได้มีเรื่องคุยกับเพื่อนตอนไปโรงเรียนจนกระทั่งพอผมโตขึ้นอีกหน่อย พอจะรู้สึกถึงคำว่า ‘เบื่อ' ผมเริ่มเบื่อเพลงป็อบตลาดแบบเดิมๆ ที่คนพากันพูดถึงซ้ำๆ เพลงที่ฉายในรายการก็แบบเดิมๆ ทำให้รู้สึกอยากค้นหาอะไรใหม่ๆ เพราะเพลงรักเนื้อหาซ้ำๆ เหล่านั้น ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับผมอีกต่อไป แต่ก็มองไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีกว่าพอดีว่าในช่วงหนึ่งที่ครอบครัวต้องย้ายบ้าน ผมได้ไปค้นพบเทปเพลงแปลกๆ เข้า เป็นเทปเพลงที่ไม่มีป้ายแปะบอกว่าเป็นเพลงของใครเมื่อความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมเอาเทปม้วนนั้นมาใส่ในเครื่องแล้วกดปุ่มเพลย์ ทันใดนั้นเครื่องเล่นก็แว่วเสียงกีต้าร์โปร่งละมุนหูออกมา มีเสียงนักร้องเหมือนกำลังขับขานออกมาจากดินแดนที่ห่างไกล เนื้อร้องของมันเป็นภาษาอังกฤษที่ผมฟังไม่เข้าใจ แต่กลับทำให้ความรู้สึกปิติเอ่อล้นออกมาอย่างอธิบายไม่ถูก ผมมารู้จากแม่หลังว่านี่เป็นเพลงคันทรี่สมัยก่อนที่เคยชอบฟัง ซึ่งโลกใบเล็กๆ ของผมในตอนนั้นทำให้ผมมองว่าไอ่เทปนี่เป็น "ของแปลก" สำหรับผมไปแล้ว (ซึ่งต่อมาก็จะรู้ว่า โลกนี้มันช่างกว้างขวาง และมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ กว่านี้อีกหลายเท่านัก) สิ่งที่ผมคิดว่ามีความสำคัญกับรสนิยม พื้นฐาน การฟังเพลงของแต่ละคน มันมาจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และสื่อฯคนที่อยู่ในสังคมเมืองอย่างผม อิทธิพลที่สำคัญคงไม่พ้นสื่อโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งผมเองก็ได้รับรู้มาเท่าที่สื่อเหล่านี้เสนอมาให้ เพื่อนๆ ที่คุยกันในโรงเรียนก็คือคนที่เสพย์สื่ออันเดียวกับเรานั่นแหละ อาจจะเว้นให้คนที่มีอภิสิทธิ์หน่อยคือคนที่มีเคเบิลทีวี ที่จะคอยเอาวัฒนธรรมป็อบแบบ MTV มากึ่งอวดกึ่งเผยแพร่ ...ยุคสมัยที่ผมเติบโตมาเป็นเช่นนี้จริงๆ จึงไม่แปลกหากเขาจะไม่รู้จักเพลงคันทรี่ และเพลงเก่าอื่นๆ ที่ผมบังเอิญค้นพบจากเทปนิรนามยุคสมัยของผมในเวลาต่อมายังมีการคาบเกี่ยวของยุคบอยแบนด์กับอัลเตอร์เนทีฟ ความทรงจำของทั้งวงบอยแบนด์และอัลเตอร์เนทีฟนั้นมีอยู่แน่ๆ แต่ไม่กระจ่างชัดเท่าวงร็อคเก่าๆ หลายวงที่ผมค่อยๆ ทำความรู้จักมัน ผมจึงรู้จัก Take That, Boyzone ดีพอๆ กับที่รู้จัก Scorpions, The Eagles หรือ Pink Floyd เหมือนผมบิดนาฬิกาย้อนเวลากลับอยู่คนเดียว ขณะที่คนอื่นๆ แห่แหนไปกับอะไรอย่างหนึ่ง ไม่ว่ามันจะมีชื่อว่าอะไรก็ตามคุณลองนึกถึงภาพผมในตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มสวมกางเกงขาสั้นที่สวมหน้ากาก ทำตัวกลมกลืนไปกับกลุ่มคนที่เชยชมอะไรทั้งหลาย ทั้งที่ในใจผมไม่ได้รู้สึกเชยชมไปกับสิ่งเหล่านั้นด้วยจริงๆ เลย ผมจะเดินตัวลีบเวลาที่นึกถึงอารมณ์อันบรรเจิดของเพลง Bohemian Rhapsody (เพลงจากวง Queen) ความเกรี้ยวกราดในเพลงของ Nirvana แต่ไม่สามารถพูดให้ใครฟังได้ มวลชนอันแปลกหน้าเหล่านั้นต่างสวมหน้ากากของสัตว์ประหลาด...หน้ากากอันเดียวกับที่ผมสวมไว้ด้วยผมได้แต่ซ่อนความรู้สึกเหน็ดหน่ายไว้ใต้หน้ากากนั่น รู้สึกอยากจะก่นด่าไอ่เพลงมองโลกในแง่ดีตอหลดตอแหล จากวงที่เขาไม่สนว่ามันจะมาจากค่ายเพลงกระแสหลัก หรือ So-Called อินดี้ (คำว่า "อินดี้" ในวงการเพลงไทยสำหรับผมมันไม่มีความหมายอะไรเท่าไหร่ หลายๆ วงที่เรียกตัวเองว่าเป็นอินดี้ก็มีดนตรีธรรมดาๆ ไม่ค่อยต่างจากในกระแสหลัก นานๆ ทีจะเจอที่แหวกๆ ออกมา หรืออีกนัยหนึ่งคือคำๆ นี้ถูกบิดเบือนไปสู่การค้าในรูปแบบที่เนียนและดูมีระดับกว่าเท่านั้น) ใจจะขาด หากแต่กระแสมวลชนสวมหน้ากากพวกนั้นคงกลืนกินเสียงของผมไปหมดหน้ากากสัตว์ประหลาดที่เขาสวมนั้น มันช่างคับ (แคบ), หนัก, หนา และวันหนึ่งก็จะทำให้ผมเจ็บปวดกับมันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงโชคร้ายที่อดอร์โนอยู่ได้ไม่ถึงยุคของอินเตอร์เน็ต และโชคดีที่อินเตอร์เน็ตทำให้ผมได้พบกับคนที่เรียกได้ว่าเป็น "พวกเดียวกัน" ในทางรสนิยม ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากอีกต่อไปการที่ผมเขียนแย้งอดอร์โนเรื่องป็อบปูล่าร์มิวสิคนั้น ไม่ได้หมายความว่าอะไรที่เป็นกระแสนิยมมันคือสิ่งที่ดีและน่าชื่นชมเสมอไป ผมอยากให้รู้ไว้ว่า คนที่รู้สึกถูกกระทำจากวัฒนธรรมกระแสนิยมมันก็มีอยู่ และอย่าได้เอาชนชั้นล่าง เอาคนจนมาอ้างเลย ผมจะบอกให้ก็ได้ว่าผู้นำเทรนด์กระแสหลักจริงๆ มันก็คือชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อนี่แหละผมอยากจะบอกอีกว่า ไอ่วัฒนธรรมกระแสรองทั้งหลายส่วนหนึ่งมันมีที่มาจากคนที่รู้สึกถูกกระทำจากกระแสหลักนั่นแหละ แล้วชนชั้นกลางที่พวกคุณชอบด่าๆ กันมันก็มีหลายจำพวก เพราะฉะนั้นการที่เอะอะอะไรก็ด่าวัฒนธรรมกระแสรองแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่แยกแยะ มันก็ฟังดูตื้นเขินและเหมารวม ไม่ต่างกับที่อดอร์โนด่าเพลงป็อบเลยIn The Flesh"...And they sent us along as a surrogate bandWe're gonna find out where you folks really stand"- จากเพลง "In The Flesh" ของ Pink Floydอดอร์โน...ผมเชื่อว่าทั้งผมและคุณต่างเคยมีความเจ็บปวดอันเดียวกัน มีความเกลียดชังคล้ายๆ กัน ผมอาจจะเขียนแย้งคุณ แต่ผมไม่ได้ปฏิเสธความคิดของคุณไปหมดทุกอย่าง ในแง่การพยายามเชื่อมโยงเรื่องดนตรีกับการปลดปล่อยตัวเองและสังคมอะไรของคุณนั่นมันฟังดูลักลั่นก็จริง แต่ในแง่วัฒนธรรมคุณมีส่วนถูกการผลิตซ้ำของมายาคติในเนื้อหา มันช่วยตอกย้ำภาพของอะไรบางอย่าง ไม่ว่าภาพอันนั้นมันจะบิดเบือนไปจากความเข้าใจที่แท้จริงของคนสักเพียงใดก็ตาม เพลง "ฤดูที่แตกต่าง" อาจทำให้ใครหลายคนเชื่อเอาเองว่าคนเรามันมีทุกข์ต้องมีสุข เราจง ‘ได้แต่รอคอย' ไอ่ความสุขนั้นมาเองเหมือนแสงแดดในฤดูร้อนแล้วกันนะ ซึ่งคนที่เชื่อในเนื้อหาเพลงนี้บางคนเอาความเชื่อนี้ไปตัดสินคนที่เรียกร้องหาความสุข ว่าทำไมไม่รู้จักมองโลกในแง่ดี ทั้งที่ไม่เคยรู้เลยว่า อีกหลายๆ คนในโลกมีฝนตกอยู่ตรงที่เขาตลอดเวลา และไม่เคยพบไอ่ ‘ฟ้าสว่าง' ที่ว่าเลยแม้แต่น้อยแต่ขณะเดียวกันก็น่าสงสัยว่า เพลงที่พูดถึงความเจ็บปวดจากคนระดับล่างในสังคมบางเพลง มันก็เป็นการตอกย้ำความต้อยต่ำของพวกเขาหรือไม่ หรือว่าจริงๆ แล้วมันเป็นแค่การช่วย "สะท้อน" ภาพหรือความรู้สึกของพวกเขาออกมาได้เท่านั้นเองแต่ก็นะ...อดอร์โน...ศิลปะหรือวัฒนธรรม มันไม่ใช่อะไรแข็งๆ หรือตรงทื่อแบบที่จะใช้อธิบายเหมารวมแบบโต้งๆ ได้ ถึงผมจะเชื่อว่าสื่อสาธารณ์ ป็อบปูล่าร์มิวสิค อะไรพวกนี้มันมีส่วนในการปรับเปลี่ยน บิดเบือน การรับรู้และความเชื่อ ของผู้คน แต่การปฏิเสธศิลปะหรือสื่อสาธารณ์โดยสิ้นเชิงมันคงไม่ใช่ทางออกที่ดี  แล้วทางออกของพวกเราคืออะไรน่ะหรือ?คราวหน้าผมจะมาบอกคุณ... 
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน“ทะแยมอญ” เป็นการละเล่นพื้นบ้านของมอญอย่างหนึ่ง สำหรับท่านที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน คงหลับตานึกภาพไม่ออก แต่อธิบายให้ฟังเพิ่มเติมว่า เป็นการแสดงที่ให้อารมณ์คล้ายๆ การแสดงลำตัดของไทย เป็นการร้องโต้ตอบด้วยปฏิภาณกวี มีทั้งเรื่องธรรมและเกี้ยวพาราสีของนักแสดงชายหญิงประกอบวงมโหรีมอญ คนที่ฟังไม่ออกก็อาจเฉยๆ แต่หากเป็นคนมอญรุ่นที่หิ้วเชี่ยนหมากมานั่งฟังด้วยแล้วละก็ เป็นได้เข้าถึงอารมณ์เพลง ต้องลุกขึ้นร่ายรำตามลีลาของมโหรี หรือบางช่วงอาจเพลินคารมพ่อเพลงแม่เพลงที่โต้กลอนกันถึงพริกถึงขิง อาจต้องหัวเราะน้ำหมากกระเด็นไปหลายวาทีเดียวทะแยมอญบ้านเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ถ่ายเมื่อราวปี 2500
นาโก๊ะลี
โลกกำลังนำพาข้าฯไปข้างหน้า....บอกข้าฯว่า“จงก้าวหน้า” ไม่รู้หรือ…?ที่สุดแล้ว...ผองชนล้วนค้นหาวันวานแห่งตน………………………………………………………………………………………
รวิวาร
...หัวใจของฉันพยายามบอกหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน ขณะที่ความคิดเวียนวนสอดแทรก เจ้าความคิดนั้นเหมือนเครื่องกำเนิดอะไรสักอย่าง มันมีหน้าที่ขับส่งบางสิ่งออกมาไม่มีขาดตอน บางสิ่งที่ไม่ต่อเนื่อง ขาดระเบียบ ไร้จุดจบ เว้นเสียแต่ว่าเราจะพยายามบีบเค้น หรือกำหนดทิศทางแก่มัน เช่น การใคร่ครวญเรื่องบางเรื่อง การคิดพล็อตเรื่อง หรือขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก  ฉันกำลังรู้สึกว่า หัวใจถวิลหากระดาษสีนวลตา และปากกาหมึกซึมดี ๆ โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ไม่ใช่ห้องหนาวเหน็บ ไฟโคมสีส้ม และแป้นคีย์บอร์ดอย่างนี้ แต่ก็เอาเถอะหัวใจเอ๋ย ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวเอง จนกว่าฉันจะพบคำเฉลยที่ดีสำหรับเจ้า ซึ่งเป็นที่พอใจแก่เจ้าแหละข้างใน ยังมีบางอย่างคอยขัดขวางอยู่ คล้ายความรู้สึกปิดกั้นในอันที่จะไม่พูดออกมา เหมือนความรู้สึกไม่อยากคุยโทรศัพท์ ไม่อยากกดเบอร์โทรศัพท์ของใคร ทว่าเมื่อได้พบปะกันตามธรรมชาติ เรากลับพูดคุยไม่หยุดจำเป็นหรือไม่ที่เราต้องสื่อสารความคิดเหล่านี้ออกไป บรรดาความคิดข้างในที่เฝ้าฉงน กังขา วิเคราะห์ ตรวจตรา ขบคิดสิ่งต่าง ๆ นานา เรามองหาอารมณ์ที่พอดี ๆ ในการพูด เรามองหาสิ่งที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร  มั่นใจเพียงไม่ใช่กฎเกณฑ์ประดามีเกี่ยวกับการเขียน“อ้าย” เรียกที่นี่ว่า กระต๊อบ “ตูบตีนดอย”  รอคอย ให้การเขียนของเราดุจปีกเหยี่ยว มันขยับ ปรบเบา ๆ เท่านั้นเองขณะร่อนวนลงเพื่อเพ่งหาภักษาหาร จากนั้นเมื่อสบนัยน์ตาเรา หรืออาจได้กลิ่นกายอันผิดธรรมชาติที่อาบบนร่าง โดยความคิดว่าเหยี่ยวอาจมีผัสสะนาสิกแหลมคมดุจเดียวกับนัยน์ตา มันบินวนขึ้นไป กิริยาที่ไม่อาจเรียกว่าบิน เพียงปรบปีกสองสามครา เหินลอยงามสง่า เงียบกริบ แล้วเมื่อสายลมโอบอุ้มได้สัดส่วนพอดิบพอดี มันลอยละล่อง  นุ่มนวล ไม่ต้องพะวงประคองหัวใจ กล่าวออกมาเถิด หรือเจ้ารักที่จะเงียบงัน หรือภาษานั้นแปลกแยกแผกเจ้าเสียแล้ว เจ้าเคยพบหนทางซึ่งภาษาได้เป็นอิสระจากภาษา ปลดปล่อยข้า และปลดปล่อยเจ้า เพราะเมื่อหัวใจพูด หัวใจจะรับฟังเสียงของความคิดท่วมท้นอยู่บนหน้ากระดาษ ในหนังสือพิมพ์ หน้านิตยสาร ที่ใดที่หัวใจเล็ดรอดออกมาได้ หัวใจดวงอื่นถูกดึงดูด เอิบอาบดื่มกิน ขออย่าจากฉันไป แม้เพียงเสี้ยววินาที หัวใจเอ๋ย อย่าให้ฉันละเลย หลงไปในเสียงแห่งข่าวสารประจำวัน และกิจกรรมต่าง ๆ ทัศนะนานาของมนุษย์ ขอให้ฉันได้ยินเสียงของความรู้สึก สัมผัสถึงถ้อยคำของพระเจ้า เช่นที่ผุดขึ้นในบทเพลง ปีกนกเหยี่ยว แสงดาวหนาวเย็นยามค่ำ และรอยยิ้มของเด็กหญิงกวีร้องว่า นิจจา โลกเอ๋ย สวรรค์ถูกละเลยลืมสิ้น  มนุษย์มีหู หากขาดการสดับยิน  วิญญาณ สูญสิ้นวจี  แล้วร้องร่ำโลกเอ๋ย อย่ากระนั้นเลย ตื่นเถิด  ปวงเจ้าหลับใหลนานเนิ่นพิภพร่ำไห้ สวรรค์ห่าง  ฟื้นสิ คืนสู่สัจจา หาไม่แล้ว วิญญาณแก้ว ลอยสูญกระต๊อบ “ตูบตีนดอย”   คำเรียกนี้ทำให้หัวใจรำลึกขึ้นได้ว่า  เรามาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด  แม้ที่อยู่อาศัยตรงหน้าจะเป็นบ้านไม้ผสมปูนหลังย่อม และอาจขยายใหญ่ เพื่อให้เพียงพอสำหรับลูกสาวสองคน  แต่ “อ้าย” กลับเรียกมันว่า “ตูบตีนดอย”   นั่นเป็นการประกาศหัวใจอันเรียบง่ายของมันออกมา  “อ้าย” มาเยือนเมื่อเข้าหนาวค่อนแล้ว  อากาศเหน็บหนาวเย็นเยือก  เราก่อไฟผิงยามคืน  สนทนายามวัน  ยิ้มหัว  พูดคุย  รักกันและกัน  เมื่อเหนื่อยล้า  อ้ายถอดรองเท้าเหยียบย่ำพื้น  พวกลูกหมาวิ่งตามด้วยความประหลาดใจที่อ้ายแลเห็นคือกระต๊อบเล็ก ๆ ซึ่งเสงี่ยมเจียมตัว ปรารถนาน้อย และเคารพฟ้าดิน  กระท่อมของเราที่อยู่แทบเท้าขุนเขา  บ้านซึ่งเปลือกนอกดูมั่นคงแข็งแกร่งนั้น แท้จริงพึงเป็นเพียงที่พักพิงที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยซึ่งกำเนิดจากธรรมชาติไม่ถูกปิดกั้นจากแม่พระธรรมชาติ   หลังคากระต๊อบทุกแห่งล้วนสร้างด้วยฟางหญ้า  บางวันอาจมีเม็ดฝนหยาด  กลางคืนเปิดช่องแก่แสงดาว  พื้นฟากนั้นคือไม้ไผ่สับ เผยที่ว่างให้ลมแทรกพัด  หนาวนักก็ปูเสื่อนอน  ฝาเรือนคือผิวไผ่สาน  ยาด้วยมูลสัตว์กันลมหนาวปะทะ  สองสามีภรรยามัวแต่หมกมุ่นวิตกกังวลกับอาหาร เงินทอง  พะวงถึงอิฐก้อนต่อไป  ไม้กระดานแผ่นหน้า  หน้าต่าง เสาเรือนที่จะเสาะหามาเพิ่ม  ลืมไปว่า สิ่งใดนำพวกตนมาที่นี่  ลืมว่าที่แท้ชีวิตต้องการสิ่งใด  เรามั่งคั่งฟ้ากุหลาบสนธยา  ดวงดาวระยิบพราวคืนค่ำ  ฝ้าหมอกยามอรุณ   กลางวัน สายลมรำเพยพัดไม่หยุดหย่อน  แมกไม้ห้อมล้อม  ฤดูกาลเสกสรรสารพันบนผืนดิน  หน้ากระดาษของเรายังว่างเปล่า  ผืนดินยังรอการไถหว่าน  เรามาอยู่เพื่อสร้างสรรค์ชีวิต ทั้งภายนอก ภายใน  ชีวิตเราลำพัง  ชีวิตเรากับคนที่เราเลือกร่วมชีวิต  เด็กน้อย   พืชพันธุ์สัตว์เลี้ยง  และเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ห่างไกลออกไป  ผ่านสายสัมพันธ์บนแผ่นกระดาษ  วันเดินทาง “อ้าย” ขอกระดาษสาแผ่นหนึ่ง  ตวัดปากกา จารบทกวีมอบไว้  พร้อมกล่าวกำชับว่า  ขอให้ประทับรักษาไว้  และให้พวกเราทั้งสี่วาดรูปประกอบตามใจนึก.......................บทกวี บ้านชีวิตตั้งตระหง่าน สูงเทียมเมฆ เทียมฟ้าพราวเดือนดาว ดวงตาวัน ธารอำไพพริ้มพราวพร่าง สุกสว่าง กระจ่างใส ทุกเพลาณ กระต๊อบ ตูบตีนดอยหลวงคือรังรวงชีพชีวิตแห่งเพื่อนข้าบ้าน มหรรณพ ,รวิวาร,วงธาร,ชาวาร์บ้านชีวี เกื้อโลกหล้า งามนิรันดร์สายลม แสงแดด ผีเสื้อ ดอกไม้ แมลงปอ ไร้ทุกข์โศกโลก เอกภพ จักรวาล สราญรมย์สุขสันต์บ้านชีวิต บ้านดงป่า บ้านชีวันแม่พระธรรมชาติสร้างสวรรค์ อวยพรชัย มอบแด่เธอWe love youด้วยรักอันงดงาม + พลังใจอ้ายแสงดาว ศรัทธามั่นและผองเพื่อน 6 ธันวาคม 2550 ,ล้านนา เจียงใหม่สำหรับฉันแล้ว  บทกวีนี้เปรียบดั่งการเจิม  ทุกคำเปี่ยมด้วยรัก ปรารถนาดี และออกมาจากหัวใจ  เราไม่จำเป็นต้องสรรหาชื่อสวย ๆ งาม ๆ มาขานเรียกบ้านอีกแล้ว  ไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ใดเพื่อความสุขความเจริญในการอยู่อาศัย   อ้ายทำให้เราจดจำรำลึกถึงการมีชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมชาติน้อมนำ  ชีวิตแบบที่จึงปกติสุข งอกงาม นี่คือความศักดิสิทธิ์ยิ่งกว่าสายสิญจน์ มนตราใด คือพรขึ้นเรือนใหม่ ดุจคาถามิ่งมงคลชัยสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกกิจกรรม อันจะออกมาจากทุกชีวิตในบ้านหลังนี้ยินดีเจ้า อ้ายปี้แก้ว  แสงดาว  ศรัทธามั่น

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม