บล็อกกาซีน ประชาไท
แพร จารุ
ไม่รักไม่บอก เออ...เหมือนมีใครมาพูดอยู่ข้างหู บอกว่า ฉันรักเธอนะจึงบอก แต่ว่าเรื่องที่ฉันจะบอกนั้น เธออาจไม่ชอบ เธออาจจะโกรธฉัน แต่ที่ฉันต้องบอกเพราะว่า ฉันรักเธอและปรารถนาดีต่อเธอจริง ๆ “ฉันไม่บอกไม่ได้แล้ว”ถึงตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกรำคาญใจ พูดพร่ำอยู่ทำไม อยากบอกอะไรก็บอกมาเถอะ ใช่...ไม่รักไม่บอกค่ะ เป็นชื่อหนังสือเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ มีการ์ตูนน่ารักๆ เปิดไปหน้าแรก ผู้เขียนบอกว่า ที่ทำหนังสือเล่มนี้ เพราะว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องน่ารัก มีเรื่องดีงามที่เขาค้นพบอยู่มากมาย เขาเล่าถึงเรื่อง เด็กชายคนหนึ่ง ตามแม่ไปซื้อของที่ร้านเกษมสโตร์ เขากินไอศกรีมรอแม่ แล้วแม่ไม่ได้จ่ายเงินค่าไอศกรีม เขากังวลใจที่ไม่ได้จ่ายเงินเสียที เพราะแม่ไม่ยอมไปที่นั่นอ้างว่าจอดรถยาก แม่บอกรอไปก่อน ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็ได้ไปจ่ายเงินค่าค่าไอศกรีม เขามีความสุขมาก ๆ เจ้าของร้านบอกว่าเขาเป็นเด็กดี จึงให้ขนมเขามามากมาย 7 ปีต่อมา เด็กชายอายุ 15 ปี เขาได้รับสิ่งดีงามทดแทน เขาบอกว่า เขาไปกินอาหารที่ร้านแซนวิชบาร์ ตรงแจงหัวลินกับพ่อ ที่ร้านคืนเงินให้หนึ่งร้อยบาทเพราะครั้งก่อนเก็บเงินเกินไปเรื่องเล่าที่งดงามในสองหน้าแรก ทำให้ฉันมีความสุขไปด้วยในยามเช้าที่ได้นั่งอ่าน ใช่...จริง ๆ ด้วยความสัมพันธ์ของคนเป็นเรื่อน่ารัก มีเรื่องน่ารักมากกมาย ตอนนี้...คุณนึกออกไหมมีเรื่องน่ารักอะไรเกี่ยวกับคุณบ้างในหนึ่งวัน ผู้เขียนซึ่งไม่ประสงค์จะออกนาม คือทิ้งนามไว้ที่หน้าปก หลังปก หรือที่อื่นใด ดูหรือทำเรื่อง ๆ ดี ๆ เช่นนี้แต่ไม่เปิดเผยตัวเอง เขาสรุปว่า... “ชีวิตมีให้พวกเรา เริ่มต้นใหม่ทุกวันชีวิตมีให้เราเลือกหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราพร้อมที่จะเลือกไหม”เปิดผ่านไป มีภาพการ์ตูน เด็กหญิงหัวโต...มาบอกว่า ขออภัยร้านใหญ่ ๆ ดัง ๆ ด้วยนะคะ งานนี้เราลงแต่ร้านเล็ก ๆ ค่ะอ้าว...เป็นแผนที่ร้านอาหารค่ะ พี่น้องโอโห...น่าไปกินทั้งนั้น เป็นร้านอาหาร ร้านเล็กร้านน้อย เริ่มตั้งแต่บริเวณสะพานนวรัฐ สะพานนครพิงค์ น่าไปกินทั้งนั้น กาดหลวง ราชวงศ์ ช้างม่อย แม่เหี๊ยะ สันป่าข่อย สันกำแพงก็มี ว้าย! มีทุกแห่งเลย ร้านเล็กๆ อร่อยและไม่แพงด้วย ร้านที่ไม่มีในไกด์บุค และไม่มีในหนังสือฟรีก็อปปี้ด้วย ดีละ...คราวนี้ มีเพื่อนมาเชียงใหม่จะมอบไกด์บุค นอกกระแสเล่มนี้ให้เลือกเลยว่า จะไปกินที่ไหน อร่อยและไม่แพงอย่างนี้ชอบ...คนทำหนังสือเล่มนี้ต้องมีความสุขแน่ ๆ มาเที่ยวเชียงใหม่หากินหาอยู่แบบไม่แพงก็ได้นะคุณจบการกินแล้ว เขาจะบอกเรื่องอะไรอีกล่ะ หนังสือเล่มนี้เขียนว่า รวมแผนที่ร้านอาหารแซกซอกนอกกระแส ไม่มีเส้น ไม่เล่นพวก เอาล่ะค่ะ...แค่นี้ก่อนนะคะ แล้วจะมาเล่าใหม่ ของไปกินก่อนค่ะ(อยากได้หนังสือไม่รักไม่บอก ติดต่อภาคีคนฮักเชียงใหม่ค่ะ 16 ถ. เทพสถิต ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200 หรือ 08 4041 5096)
กวีประชาไท
ศิลปินสร้างงานศิลปะสืบสานสภาวะประเสริฐศิลป์ฝากผลงานไว้ในแผ่นดินกล่าวขานยลยินกันต่อไปหัวใจศิลปินศิลปะสภาวะแตกต่างที่กว้างใหญ่ด้วยดวงตาอันละเมียดละไมคือหัวจิตหัวใจศิลปินศิลปินสร้างงานศิลปะเส้นสีจะป้ายเปรอะก็เป็นศิลป์แต่ละคนประชาชนผู้ยลยินสุขเกษม ทั้งขาดดิ้นลงสิ้นใจฯพันธุ์ปกรณ์ พงศารม
ภู เชียงดาว
สิ่งดี ๆ ในชีวิต พ่อค้าแวะมาหาคนสวนที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ตรงหน้ากระท่อม “สวัสดีครับคนสวน” พ่อค้าทักทาย “ผมมีข้อเสนอดีๆ มาให้ คุณคงสนใจเป็นแน่” และเมื่อเห็นทีท่าเฉยเมยของคนสวน พ่อค้าก็เริ่มพูดธุระที่เขาคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งคนสวนจะต้องขยายพื้นที่ปลูกกุหลาบเพิ่มขึ้นและพ่อค้าจะเป็นคนเอาไปขายในเมือง “คนสวน ด้วยความชำนาญของคุณ กุหลาบของเราจะสวยงามที่สุดในเมือง” พ่อค้าสรุปด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง “ขอบคุณแต่เราไม่สนใจ” คนสวนตอบพร้อมยิ้มอย่างเคย “แต่คุณจะได้เงินเยอะ...” พ่อค้าว่า ท่าทางแปลกใจ “ผมไม่สนใจเงินทองหรอก” “ใครๆ ก็อยากได้เงินกันทั้งนั้น...” “แต่ไม่ใช่ผม” “คุณพูดเช่นนั้นได้ยังไง เงินเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต...” “ไม่รู้สิ! ผมกินอิ่มนอนหลับทุกวัน ผมมีเสื้อผ้าใส่ มีกระท่อมไว้พักพิง ยามค่ำคืนอันหนาวเย็น” คนสวนตอบอย่างสงบ พ่อค้าไม่อยากจะเชื่อว่าคนสวนปฏิเสธข้อเสนอของเขา “และอีกอย่าง...” เขาไม่ยอมแพ้ “คุณจะได้ทำงานที่คุณชอบนะ คนสวน” “ผมทำงานที่ผมชอบอยู่แล้ว” คนสวนลุกหนีไป ทิ้งให้พ่อค้าอ้าปากค้าง เขาหุบปาก ลุกขึ้นแล้วออกไปจากสวน พลางบ่นพึมพำว่า “ฉันไม่เข้าใจคนดื้อรั้นพวกนี้เลย ยอมอยู่อย่างยากจน แต่ไม่สนใจสิ่งดีๆ ในชีวิต” คนสวนใช้เวลาช่วงบ่ายนั้น สดับเสียงเพลงของนกและเฝ้ามองความงามของอาทิตย์อัสดงที่ธรรมชาติดลบันดาล. จากหนังสือ “สวนแห่งชีวิต”Grain เขียน, ภารณี วนะภูติ แปล สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง ผมอ่านงานชิ้นนี้แล้ว ทำให้ครุ่นนึกไปถึงชาวบ้านในหลายๆ พื้นที่ ที่ผมเคยเดินทางไปเยือน ไปนั่งพูดคุย เฝ้าถาม เรียนรู้ ถึงวิถีความเป็นอยู่ของชีวิตของคนทำนา ทำสวน ทำไร่ กลางทุ่งนาป่าเขานึกไปถึงความเรียบง่ายของพ่อเฒ่าชาวปวาเก่อญอบ้านแม่คองซ้าย ซึ่งตั้งอยู่ฉากหลังของดอยหลวงเชียงดาว จำได้วันนั้น “พะตีศรี” พาพวกเราลัดเลาะทุ่งนา ลำห้วย ไปตึดแค เอาเศษไม้ใบหญ้า ดินเหนียวโปะกั้นทางน้ำอีกสายให้แห้ง ก่อนลุยโคลน ก้มงมจับปลา ปู กุ้ง ส่วนหมู่แม่หญิงปวาเก่อญอช่วยกันก้มเก็บเด็ดยอดผักกูด ผักไม้ไซร้เครือริมห้วย อีกกลุ่มหนึ่งช่วยกันก่อไฟ หลามปลาด้วยกระบอกไม้ไผ่ ใส่ยอดผักกูด เติมพริก ใส่เกลือ เพียงเท่านั้น ก็ได้อาหารมื้อเที่ยงที่แสนเอร็ดอร่อยนึกไปถึงใบหน้าของ “พ่อปรีชา ศิริ” ปราชญ์ปกาเกอะญอ ผู้นำธรรมชาติแห่งบ้านห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข อารมณ์ดี“ทุกวันนี้ เฮาถือว่าหมู่บ้านของเฮานั้นร่ำรวยแล้ว แต่ไม่ใช่ร่ำรวยเงินทอง แต่ร่ำรวยธรรมชาติ เฮามีทุกอย่าง มีดิน น้ำ ป่า มีอากาศให้หายใจ มีอาหาร ยาสมุนไพร เฮาอยู่ได้ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ที่ไม่ต้องดิ้นรนเหมือนคนข้างนอก...” ใช่, ในหลายๆ พื้นที่ หลายหุบเขา หลายดงดอย ที่พี่น้องชนเผ่าอาศัยอยู่กัน ต่างมีวิถีที่คล้ายคลึงกัน ในทุ่งนา ทุ่งไร่ พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ปลูกข้าวอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังใช้พื้นที่นาปลูกพืชผัก เก็บกินได้ตลอดปี ไม่ว่า แตงกวา หัวเผือก หัวมัน ผักกาด งา ฟักทอง ถั่วฝักยาว พริก มะเขือ ฯลฯ จนพูดได้เต็มปากเลยว่า ชาวบ้านไม่ต้องพึ่งพาตลาดข้างนอก เพราะเอาทุ่งนาเอาไร่หมุนเวียนเป็นตลาดสด คนที่นี่จึงไม่เคยอดตายและทำให้นึกไปถึงคำพูดของ “ป๊ะป่า” ชาวบ้านลาหู่บ้านก็อตป่าบง ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว ที่บอกย้ำกับผมในวันที่พาผมเข้าไปดูแปลงเพาะกล้ากาแฟ กลางไร่ข้าวโพด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา“ผมว่าอยู่แบบพออยู่กิน ไม่ต้องรวยก็ดีเหมือนกัน รวยแล้วเป็นทุกข์ เห็นทักษิณมั้ย รวยแต่ไม่ได้อยู่บ้าน...”จริงสิ, บางที... “สิ่งดี ๆ ในชีวิต” คงไม่ใช่วัดกันที่ความร่ำรวยหรือคนรวย แต่สิ่งดี ๆ ในชีวิต อาจเป็นเพียงการใช้ชีวิตอยู่กับความเรียบง่ายธรรมดา อยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้และรักษา เฝ้าดูทะนุถนอม ด้วยความรักและความเข้าใจ.
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ทำไมนะคนเราจึงมักมองเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่นและชอบกล่าวคำประณามตัดสินลงโทษเขาราวกับว่าตัวเองไม่เคยทำความผิดบาปใด ๆครั้งหนึ่งเมื่อองค์พระคริสต์ทรงเสด็จประทับสอนฝูงชนอยู่ ณ มหาวิหารของกษัตริย์ซาโลมอนราชโอรสของกษัตริย์ดาวิด ผู้ที่มีความชอบเฉพาะพระเจ้าพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริซายซึ่งต่อต้านคำสอนของพระองค์ด้วยความเชื่อที่ต่างกันว่า-พระเจ้าของเขาคือการแก้เเค้นตามคำสอนดั้งเดิมของโมเสสณ บัดนั้นพวกเขาทั้งหลายได้ฉุดคร่าหญิงหนึ่งที่ทำผิดฐานล่วงประเวณีมายืนประจานตัวต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์และฝูงชนเพื่อขอความเห็นชอบจากพระองค์ในการลงโทษหญิงนั้นและทดลองพระองค์เพื่อหาเหตุจับผิดฟ้องพระองค์แก่พวกปุโรหิตที่รวมหัวกันหมายกำจัดพระองค์โดยอ้างธรรมบัญญัติที่เป็นความเชื่อของพวกเขาและทูลกับพระองค์ว่า“พระอาจารย์เจ้าข้า ผู้หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในธรรมบัญญัติของโมเสสสั่งให้เอาก้อนหินขว้างให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้”พวกเขาถามอยู่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ พระองค์จึงตรัสว่า“ผู้ใดในพวกท่านไม่เคยทำความผิด ให้ผู้นั้นเอาก้อนหินขว้างเธอก่อน”พอพระองค์ตรัสสิ้นกระแสเสียงพวกเขาทั้งหลายต่างพากันนิ่งเงียบค่อย ๆ ทยอยเดินออกไปจากมหาวิหารทีละคน-ทีละคนจนหมดสิ้นแน่นอนฉันอยากเล่าตำนานพระคริสต์เรื่องนี้ให้คนในยุคสมัยของเราที่ไม่เคยพบพระคริสต์ฟังและเตือนสติตัวของฉันเองที่มักมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่นและชอบกล่าวคำประณามตัดสินลงโทษเขาโดยเฉพาะกับคนที่เราเห็นว่าเขาโง่และต่ำต้อยกว่าราวกับว่าตัวเองไม่เคยทำผิดบาปใด ๆซึ่งโดยแท้จริงแล้วคนเราทุกคนล้วนแต่เคยทำความผิดด้วยกันทุกคนและต่างกำลังทำความผิดอีกมากมายตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงเรื่องที่ใหญ่โตเพราะโลกนี้…มีสิ่งที่ยั่วยวนกิเลสตัณหามนุษย์ให้ทำความผิดบาปมากกว่าสิ่งที่ดีงามและถูกต้องและแท้จริงแล้วคนเราไม่มีใครกลัวการทำความผิดกันหรอกแต่คนเรากลัวการถูกจับผิดและถูกลงโทษต่างหากจึงมิใช่เรื่องแปลกถ้าคนๆ หนึ่งเกิดความอยากจะ ฆ่า คนสักคนหนึ่งด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งโดยเชื่อว่ากติกาทางสังคม ค่านิยม ความความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม กฎหมายศาสนา ศีลธรรม จริยธรรมและพระเจ้าไม่สามารถเอื้อมมือไปถึงเขาย่อมลงมือทำได้ง่าย ๆเหมือนบี้มดตายสักตัวหนึ่งดังเช่นในสงครามที่พวกทหารบางพวกของประเทศฝ่ายที่ชนะสงครามลงมือทำกับเชลยและประชาชนของประเทศผู้แพ้ด้วยการฆ่าลูกเล็กเด็กแดงอย่างไร้ความปราณีทารุณกรรมพวกผู้ชายด้วยวิธีการโหดร้ายต่าง ๆ นา ๆและผลัดกันข่มขืนหญิงสาวทุกคนอย่างป่าเถื่อนก่อนจะลงมือฆ่าตกตามกันไปอย่างเลือดเย็นคือจารึกอัปลักษณ์ของฆาตกรอำมหิตที่อยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันไม่มีอำนาจใด ๆ ห้ามคนไม่ให้ทำความผิดได้หรอกตราบใดที่พวกเขายังสามารถยืนอยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมทั้งมวลเพราะถึงที่สุดแล้วแม้แต่พระคริสต์ซึ่งไม่ทรงเห็นชอบกับพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริซายกับปุโรหิตที่มาดหมายจะฆ่าหญิงผู้มีชู้และถูกจับได้ซึ่งการฆ่าที่พวกเขากระเหี้ยนกระหืออยากจะลงมือย่อมเป็นความผิดยิ่งกว่าความผิดฐานมีชู้ของหญิงนั้นหลายเท่าแต่พวกเขากลับไม่สำนึกเพราะพวกเขาตั้งตนอยู่ในฐานะผู้จับผิดและถือกฎการลงโทษเอาไว้ในมือพระองค์ก็ยังทรงหักห้ามได้แค่“ผู้ใดในพวกท่านไม่เคยทำผิด ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเธอก่อน”และปรามหญิงผู้เคราะห์ร้ายที่พระองค์ทรงปกป้องเอาไว้ว่า“ต่อไปอย่าทำอีกนะ”เช่นเดียวกับพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระองค์ทรงตรัสกับคริสเตียนทั้งโลกว่า“จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง”ก็ด้วยพระประสงค์เดียวกันนั่นคือ-ปลุกมโนธรรมในตัวเขาให้ตื่นขึ้นใช่ไม่มีอำนาจใด ๆห้ามคนไม่ให้ทำความผิดได้หรอกนอกจากมโนธรรมในตัวเขาเท่านั้นที่จะต้องถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาตรึงกางเขนซาตานในตัวเขาไม่ให้ทำความผิดบาปเพราะถ้าคนขาดมโนธรรมอยู่ในตัวคอยควบคุมเมื่อสบช่องที่จะทำความผิดโดยปราศจากสิ่งภายนอกคอยควบคุมคนที่ชอบทำความผิด ย่อมจะลงมือทำเพราะไม่มีอะไรที่เขาต้องเกรงกลัวเหมือนอย่างที่เราเห็นตำหูตำตากันทุกวันนี้ตั้งแต่การฆ่า การลักขโมย การผิดประเวณีการโกหกมดเท็จ การอกตัญญู การเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหง ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันจนเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์และสังคมทุกชาติทุกภาษาทุกยุคทุกสมัย อา ! บางทีณ ขณะเวลานี้อาจจะเป็นตัวเราเองนั่นแหละที่กำลังลงมือทำด้วยใจกระหยิ่มเพราะเหลียวซ้ายมองขวาดูแล้วไม่เห็นมีใครในโลกนี้สักคน-คอยจับผิดนอกจากเหยื่ออาเมน ! หมายเหตุ : เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่เคยตีพิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 กันยายน 2548 ในวาระที่ฤดูกาลเลือกตั้งใกล้เข้ามา พร้อมกับพรรคการเมืองต่าง ๆ เริ่มขุดคุ้ยความไม่ดีของกันและกันออกมาโจมตีกัน เพื่อยืนยันว่าพรรคของตัวเองดีที่สุด ผู้เขียนจึงนำเรื่องสั้นเรื่องนี้มาลงอีกครั้งหนึ่ง เพราะดูเข้ากับสถานการณ์ ของการตัดสินและทำลายกันและกันระหว่างนักการเมือง เผื่อใครสักคนหนึ่งจะสะดุดและได้คิดในการหาเสียงที่สร้างสรรค์ นอกเหนือจากวิธีการหาเสียงแบบน้ำเน่าที่เราเคยรับรู้มาจนเบื่อ.25 ตุลาคม 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
นาลกะ
เย็นวันหนึ่ง สายรุ้งออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเคย แต่วันนี้แม่ของเขาไม่ไปด้วย เพราะมีเพื่อนของแม่มาหาที่บ้าน สายรุ้งจึงไปกับเด่นสองคน สายรุ้งใส่ชุดกีฬาสีขาวตัวโปรด ใส่รองเท้าสีแดงที่แม่เพิ่งซื้อให้ใหม่ ส่วนเด่นใส่สีแดงทั้งชุด“ใส่ชุดนี้แล้วทำประตูได้ทุกที” เด่นคุย สายรุ้งนำฟุตบอลไปด้วย เขาใส่ไว้ในตะกร้าด้านหน้าของจักรยาน แล้วก็บึ่งไปยังสวนสาธารณะพร้อมเด่นเหมือนเคย มีเพื่อนบางคนรออยู่แล้ว พวกเขากำลังเล่นลิงชิงบอลกันอยู่เป็นการวอร์มร่างกาย จากนั้นก็แบ่งทีมกัน พอแบ่งทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เล่น แต่วันนี้มีเด็กสองคนที่สายรุ้งไม่เคยเห็นมาก่อนมาขอเล่นด้วย“สองคนนี่เพิ่งย้ายมา” เด่นกระซิบ “อยู่โรงเรียนเดียวกับเราด้วย”สายรุ้งเลี้ยงบอลด้วยเท้าซ้ายและขวาอย่างคล่องแคล่ว เขามีความถนัดทั้งขวาและซ้ายพอกัน เวลาทำการบ้าน เมื่อเขาเขียนหนังสือด้วยมือขวาจนเมื่อยแล้ว เขาก็เปลี่ยนเป็นเขียนด้วยมือซ้ายแทนบอลหลุดจากเท้าซ้ายไปยังเท้าขวาของสายรุ้งไม่มีพลาด เขาครองบอลอยู่อย่างนั้น ต่อเมื่อหลบหลอกคู่ต่อสู้ได้แล้ว สายรุ้งก็จะส่งให้เด่น เด่นจะใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายบังฟุตบอลเอาไว้ และคอยหมุนหนีไปเรื่อย ๆ เด่นแข็งแรงประเปรียว ใช้ไหล่เบียดไหล่และไม่ยอมให้ใครแย่งบอลจากการครอบครองไปได้ง่าย ๆ ขณะที่เด่นกำลังครองบอลอยู่นั้น มีใครคนหนึ่งเข้ามาเบียดแย่งบอล แต่เด่นใช้ไหล่กันไว้ เด็กคนนั้นเลยใช้ไหล่กระแทก เด่นจึงใช้ไหล่กระแทกกลับไป กระแทกไป กระแทกมา เด็กคนนั้นก็พูดขึ้นด้วยอารมณ์ว่า ”เล่นอย่างนี้มาต่อยกันดีกว่า!”พอเด็กคนนั้นพูดขาดคำ เด่นก็ต่อยเปรี้ยงเข้าที่หน้าอย่างว่องไวราวกับนักมวยอาชีพ เป็นผลให้เด็กคนนั้นล้มทั้งยืน สายรุ้งไม่เคยเห็นเด่นดูน่ากลัวอย่างนี้มาก่อนเลย พอเด็กคนนั้นล้มลง เด่นทำท่าจะเข้าไปเตะซ้ำ แต่สายรุ้งห้ามไว้ ทันใดนั้นเองที่เพื่อนของเด็กคนนั้นปราดเข้ามาต่อยเด่น โดยที่เด่นไม่ทันระวังตัวเด็กคนที่ล้มลงลุกขึ้นในฉับพลันทันที และวิ่งเข้าใส่เด่นอีกคน เด่นจึงถูกรุม ล้อมหน้าล้อมหลังด้วยเด็กสองคน เป็นเด็กสองคนที่เพิ่งย้ายมาใหม่ พวกผู้หลักผู้ใหญ่ไม่มีใครคิดจะห้ามเลย ดูเหมือนพวกผู้ใหญ่อยากเห็นเด็กชกต่อยกันสายรุ้งจึงเข้าไปช่วยเด่น เขาพยายามแยกไม่ให้ต่อยกัน สายรุ้งกระโดดเข้าไปขวาง แต่ไม่มีใครหยุด ทั้งสามคนกำลังโกรธ สายรุ้งพยายามจะช่วยเด่นโดยการผลักเด็กคนหนึ่งออกไป เด็กอีกคนหนึ่งจึงต่อยสายรุ้งทันที สายรุ้งเซถลาราวนกปีกหัก เขาไม่เคยโดนใครต่อยมาก่อนเลย เมื่อเห็นดังนั้น เพื่อนที่เล่นอยู่ด้วยกันทั้งหมดจึงกรูเข้าไปช่วยสายรุ้งเพราะสายรุ้งเป็นที่รักของเพื่อนทุกคน เด็กสองคนนั้นยอมแพ้ในที่สุด หน้าบวมเป่ง ริมฝีปากมีเลือดไหล แต่เด่นกับสายรุ้งก็สะบักสะบอมไม่น้อยเหมือนกันสายรุ้งและเด่นพากันกลับบ้านในสภาพสะบักสะบอม มีเพื่อนบางคนเดินมาส่ง พวกเขาพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นด้วยความตื่นเต้น สายรุ้งเองก็ตื่นเต้น เขาไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนกล้าหาญหรือเปล่า เขาเพียงแต่ทนไม่ได้ที่เห็นเด่นถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา“แม่ของนายต้องดุฉันแน่” เด่นว่าสายรุ้งไม่พูดอะไร เขารู้ว่าแม่จะต้องเสียใจที่เห็นเขาเจ็บปวดและแม่จะต้องเจ็บปวดมากกว่าที่เขาได้รับ แต่ที่จริงเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย เขาแค่โดนต่อยเท่านั้นเอง และคนที่ต่อยเขาก็ถูกคนอื่นรุมต่อยจนยอมแพ้ไปแล้ว ที่จริงน่าเห็นใจเด็กหน้าใหม่สองคนนั้นด้วยซ้ำ พวกเขาไม่มีเพื่อน“เสียดายที่โอเว่นไม่มาด้วย” เด่นพูด “ไม่งั้นสองคนนั้นจะโดนงับจนจมเขี้ยวแน่”“ไม่มาน่ะดีแล้ว” สายรุ้งว่าแม่ตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นสภาพของสายรุ้ง ริมฝีปากด้านหนึ่งของเขาบวมผิดรูป ดวงตาคล้ำเพราะแรงกระแทก “ลับตาแม่นิดเดียว ก็เกิดเรื่อง” เธอพูด“ผมผิดเองครับ” เด่นว่า“เล่าให้ฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น” เด่นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด “เป็นความผิดของผมเอง” เด่นพูดอีกครั้ง“ผมไม่เป็นไรหรอกแม่” สายรุ้งพูดแม่ทำแผลให้สายรุ้งและเด่น เด่นดูยับเยินกว่าสายรุ้ง มีเลือดไหลออกมาจากจมูกเขาด้วย รอบดวงตาเขาบวมเป่งไม่น้อย“แม่ไม่สบายใจเลยที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”“ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก” เด่นรับคำ“ผมก็จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกครับ” สายรุ้งรับคำด้วยเช่นกัน
นาโก๊ะลี
เรื่องเล่าในแถบถิ่นภูเขา และเผ่าชนบนภูเขานั้น หลายต่อหลายเรื่อง หลายต่อหลายคราว มักมีเรื่องราวแห่งการเดินทาง และนักเดินทางอยู่เสมอ ณ แผ่นดินนี้ จากเทือกผีปันน้ำ ถึงถนนธงชัย จรดตะนาวศรี หมู่บ้านเล็กๆ แทรกตัวอยู่บนภูเขามานานนัก นับจากหมู่บ้านที่มีสามหลัง ห้าหลัง ถึงหมู่บ้านที่มีนับสิบนับร้อยหลัง จัดวางอยู่บนขุนเขาสลับซับซ้อน และนั่นเอง ขุนเขาใหญ่ที่ยาวเหยียดนี้จึงเต็มไปด้วยหนทางนับร้อยนับพันทาง เชื่อมโยงต่อสายถึงกันและกัน ในวิถีแห่งการเดินทางนี่เอง จึงทำให้เราพบเสมอว่า เมื่อเราเยือนถิ่นทางเหนือ เรามักคนจากทางใต้ อยู่ ณ แดนเหนือ เมื่อเราเยือนถิ่นทางใต้ เราก็มักพบคนที่มาจากถิ่นทางเหนือ นั่นจึงนับว่าภูเขาที่ยาวเหยียดนั้นผู้คนที่เดินทางอย่างช้าๆ สืบสานสร้างสัมพันธ์ระหว่างกัน เชื่อมโยงเกี่ยวดอง กลายเป็นพี่เป็นน้องร่วมสายเลือด แลกเปลี่ยนสืบสานเรื่องราว และวัฒนธรรม นั่นนับเป็นวิถีแห่งภูเขามาเนิ่นนานไกลออกไปในแถบถิ่นทางราบทั้งต่ำ สูง ในเรื่องเล่าเรื่องราวทั้งหลาย แม้หนทางไม่ได้ลำบากดั่งภูเขา แต่ทุ่งก็ยังมีเรื่องเล่าของการเดินทาง และนั่งเดินทางแห่งท้องทุ่งอยู่เสมอ เกวียน หรือช้างม้า เป็นพาหนะที่พาผู้คนเดินทางจากทุ่งหนึ่ง ถึงอีกทุ่งหนึ่ง หรือกระทั่งการเดินเท้าก็ยังมี ทั้งหมดนั้นอาจเหมือนหรือต่างในจุดหมายก็สุดแท้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายจะเป็นส่วนหนึ่งของคนเดินทาง ก็คือการสร้างสานความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในต่างแถบถิ่นทุ่ง นั่นทำให้ชีวิตได้แสวงหาสิ่งที่ขาดหายไปในแถบถิ่นตน บ้านหนึ่งมีพริก บ้านหนึ่งมีข้าว บ้านหนึ่งมีปลา แลกเปลี่ยนเวียนผ่านว่ากันไป เป็นวิถีที่งดงาม ว่ากันไปถึงเชื่อมต่อเผ่าพันธุ์โยงใยสายเลือดเป็นญาติพี่น้องเกี่ยวดองกันไปสืบสายชีวิตว่ากันไปหลายครั้งหลายหน เมื่อยามที่เราได้พบผู้คนต่างถิ่น เมื่อมิตรภาพก่อเกิด ต่อเนื่องสนทนาบางครั้งเราพบว่า ที่แท้แล้วแม้เราสองมาจากต่างแผ่นดิน แต่เรากลับสืบสายเลือดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน นั่นไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อ.....กาลเวลาและยุคสมัยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับการเดินทาง ที่เคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วเช่นกัน ทางระหว่างดอยกับอีกดอยยังไกลเท่าเดิม แต่พาหนะที่พาเราไปวิ่งได้ไวกว่าเดิมหลายเท่า และทางก็กว้างใหญ่ขึ้น ดั่งเดียวกับทางระหว่างทุ่ง และผู้คนสามารถเดินทางพร้อมกันได้ทีละมากๆ นั่นเองวัฒนธรรมการเดินทางจึงเปลี่ยนไป ผู้คนไม่ได้สนใจต้นไม้ใบหญ้า ท้องฟ้าแสงตะวันและผู้คนรอบข้างอีกต่อไป ระหว่างทางไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนเรื่องเล่า อาหาร และการเกื้อกูล แต่ต่างคนต่างรักษาพื้นที่ของตัวเอง ท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น ทุกคนต่างมุ่งแต่เป้าหมายตน บางครั้ง....ยิ่งเป็นวิธีการเดินทางราคาถูก ก็ยิ่งยากลำบากนัก ในยานพาหนะที่มีมิตรภาพน้อยนิดนั้นบางครั้งยังเป็นบ่อเกิดแห่งการแก่งแย่งข่มเหงรังแก ยากนักที่ผู้คนจะได้พุดคุยสนทนาสืบสาวเรื่องราวสายเลือด และหนทางของบรรพชนจะกระไรหนอ นานๆ ครั้งหรอกที่เราได้พบน้ำใจไมตรีที่ยังหลงเหลือของมนุษย์ในระหว่างการเดินทาง นั่นก็แน่นักว่า ภาพภาวะนี้อาจเป็นเรื่องที่ผู้คนจะไถ่ถามหา เพราะวันนี้อาจจะเป็นภาพที่งดงามที่สุดสำหรับมนุษย์ในอีกยุคข้างหน้าโน้น.....
เตือนใจ ดีเทศน์ กุญชร ณ อยุธยา
สัปดาห์นี้คุณเตือนใจติดภารกิจไม่สามารถเขียนเรื่องลงได้ จึงได้มอบหมายให้ดิฉันจันทราภา (นนทวาสี) จินดาทอง ถ่ายทอดอีกหนึ่งเรื่องราว ซึ่งสอดคล้องกับห้วงเวลาของเทศกาลเข้าพรรษา ความเรียบง่ายแต่งดงามของวิถีชีวิตคนในพื้นที่ห่างไกล เชิญติดตามอ่านค่ะตั้งแต่ตอนที่ยังท้องอยู่ ดิฉันและพ่อของลูกมีความคิดเห็นตรงกันในการอยากให้ลูกเป็นคนที่มีความใกล้ชิดกับพุทธศาสนา ดังนั้น ทุกวันพระเราจึงพากันเข้าวัด ตักบาตร ฟังเทศน์อย่างสม่ำเสมอ แต่พอคลอดน้องต้นหนาว ด้วยภาวะที่เพิ่งมีลูกคนแรก ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด กิจวัตรการตักบาตรทุกวันพระจึงเป็นอันงดไปโดยปริยายกระทั่งต้นหนาวเติบโตขึ้นตามลำดับ จนอายุครบ 10 เดือนซึ่งเป็นวัยที่พอจะฟังพ่อแม่พูดรู้ความ พวกเราจึงรื้อฟื้นการตักบาตรทุกวันพระโดยพ่วงเอาลูกชายไปด้วย ตอนนี้ต้นหนาวสามารถกราบพระสามครั้ง แตะมือพ่อตอนตักบาตร และกราบคนเฒ่าคนแก่ผู้ถือศีล 8 และมานอนค้างที่วัดได้แล้ว สังเกตว่าลูกจะดีใจและตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ร่วมทำบุญวันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม 2550 วัดอุ้มผางได้กำหนดให้มีงานตานก๋วยสลากตามฮีต (จารีต) ของวัดทั่วไปในภาคเหนือที่ยึดเอาเดือน ๑๒ เหนือ ( คือเดือน ๑๐ ใต้ เดือนกันยายน ) และสิ้นสุดเอาในเดือนเกี๋ยงดับ ( เดือน ๑๑ ใต้ ) เป็นช่วงทำบุญสลากภัตรหรือตานก๋วยสลาก ดิฉันจึงตั้งใจพาต้นหนาวไปร่วมงานด้วย งานตานก๋วยสลากเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2550 ซึ่งเรียกว่า “วันดา” ที่ทุกบ้านจะตระเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ไทยทาน พวกผู้ชายก็จะจัดการจักตอกสาน “ ก๋วย ” ( ตระกร้า ) ไว้หลาย ๆ ใบ บางครอบครัวอาจจะทำหลายสิบลูก ทางฝ่ายหญิงก็จะจัดเตรียมห่อของ กระจุก กระจิก เช่น ข้าวสาร พริก หอม กระเทียม เกลือ กะปิ ปลาร้า ขนมต้ม และ อาหาร เช่น ห่อหมก ( ทางเหนือเรียกว่าห่อนึ่ง ) ชิ้นปิ้ง ( เนื้อทอด ) เนื้อเค็ม ซึ่งบางครั้งก็จะทำอาหารที่ผู้ล่วงลับไปโปรดปรานเป็นพิเศษและเราต้องการจะตานก๋วยสลากไปหา เพื่อให้ได้รับส่วนบุญนั้น ๆ นอกจากนี้ จะมีพวกหมาก เมี่ยง บุหรี่ ไม้ขีดไฟ เทียนไข ผลไม้ต่าง ๆ เครื่องใช้สอยต่าง ๆ สิ่งของต่าง ๆ เหล่านี้จะบรรจุลงในก๋วยซึ่งกรุด้วยใบตอง กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือกระดาษสีต่าง ๆ เมื่อจัดการบรรจุสิ่งของต่าง ๆ ลงในก๋วยเรียบร้อยแล้ว ก็จะเอา “ ยอด ” คือ สตางค์ หรือ ธนบัตร ผูกติดไม้เรียวเสียบไว้ “ ยอด ” ที่ใส่นั้นไม่จำกัดว่าเท่าใด แล้วแต่กำลังทรัพย์และศรัทธาจะอำนวยให้ก๋วยสลากมีสองแบบ คือ สลากน้อย คือ สลากกระชุเล็ก และ สลากก๋วยใหญ่ คือ สลากโชค สลากก๋วยเล็ก ใช้ถวายอุทิศแด่ผู้ตาย หรือทำบุญเพื่อเป็นกุศลในภายภาคหน้า ส่วน สลากก๋วยใหญ่ใช้ถวายเป็นมหากุศลสำหรับบุคคลผู้มีกำลังศรัทธา และร่ำรวยเงินทอง หรือศรัทธาหลาย ๆ คนที่มีความต้องการจะทำบุญร่วมกันช่วยกันแต่งดาให้เป็นสลากก๋วยใหญ่ ทำถวายเพื่อเป็นพลวปัจจัยให้มีบุญกุศลมากขึ้นเช้าวันรุ่งขึ้นในวันตานสลาก เขาก็ใช้เด็กลูกหลานเอาเสื่อไปปูที่ลานวัด หรือตามศาลาและเอา “ก๋วยสลาก” ไปวางเรียงไว้เป็นแถว ๆ ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะจัดเตรียมขัน ( พาน ) ไปวัดกันเป็นกลุ่ม บ้างก็จูงมือลูกหลานไปด้วย ส่วนพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็ไปเหมือนกัน ส่วนมากไปกันเกือบหมดทั้งครอบครัว เพราะถือว่าการทานสลากภัตรนี้มีอนิสงฆ์มาก และจะได้ช่วยกันเอา “ ก๋วยสลาก ” ไปถวายพระในเวลามีการเรียก “ เส้นสลาก ” “ เส้นสลาก ” ที่กล่าวนี้ ผู้เป็นเจ้าของ “ ก๋วยสลาก ” จะต้องเอาใบลานหรือกระดาษมาตัดเป็นแผ่นยาว ๆ จารึกชื่อเจ้าของไว้และบอกด้วยว่า อุทิศส่วนกุศลนั้นให้ใครบ้าง คำจารึกในเส้นสลากนั้นจะเขียนดังนี้ “ สุทินฺนํ วตเมทานํ สลากภัตตทานํ อาสวคฺ คยวหํ นิพฺพาน ปจฺจโยโหตุ ข้าพเจ้า............................................พร้อมด้วย.................................................ได้พร้อมกันจัดหามายัง สลากภัตรทานกัณฑ์นี้ เพื่อน้อมถวายแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี้ และเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่................................................................... ขอให้ได้รับสลากภัตรทานนี้ สมความปรารถนาในสัมปรายภพเบื้องหน้าโน้นด้วยเทอญฯ” “ เส้นสลาก ” ที่กล่าวนี้จะต้องเขียนไว้ให้ครบจำนวนก๋วยสลาก เมื่อชาวบ้านนำเอาก๋วยสลากไปที่วัดแล้ว ก็จะเอาสลากไปรวมกันไว้ที่หน้าพระประธานในวิหาร ซึ่งผู้รวบรวมสลากมักจะเป็น มัคทายก หรือที่เรียกกันว่า “ อาจารย์ ” รวบรวมได้เท่าไร ก็จะเอาจำนวนพระภิกษุสามเณรที่นิมนต์มาจากวัดต่าง ๆ นั้น หารจำนวนสลาก และหักเหลือไว้ส่วนหนึ่งเป็นส่วนของ “ พระเจ้า ” ( คำว่า พระเจ้า เมืองเหนือหมายถึง พระพุทธรูปเช่น พระเจ้าเก้าตื้อ พระเจ้าทองทิพย์ ฯลฯ )ในส่วนของก๋วยสลากที่พระภิกษุแต่ละรูปได้รับ ยอดอาจจะนำมารวมกันไว้หรือแบ่งปันไปตามจำนวนพระ เณรในแต่ละวัดก็แล้วแต่ ส่วนที่ตกอยู่ที่พระเจ้า ยอดจะเป็นเงินกองกลางสำหรับใช้จ่ายในกิจของวัดต่อไป พิธีการในงานตานก๋วยสลากของวัดอุ้มผาง เริ่มต้นเกือบ 11 โมงเช้า ที่มีการจัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์จากวัดและสำนักสงฆ์ต่าง ๆ ที่ได้รับนิมนต์ให้มาร่วมงานนี้ทั้งหมดประมาณ 70 กว่ารูป ในส่วนของอาหารได้รับความอนุเคราะห์จากบรรดาญาติโยมร่วมทำบุญคนละอย่างสองอย่าง ขณะที่พระฉันภัตตาหารเพลบนศาลา บริเวณเต้นท์ด้านล่างมีการตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารให้กับฆราวาสที่พากันมาร่วมงาน ทั้งคนในตำบลอุ้มผาง หมู่บ้านอื่น ๆ พี่น้อง ปกาเกอญอ พี่น้องจากพม่า ให้อิ่มหนำกันทั่วหน้าระหว่างที่พระสงฆ์ฉันภัตตาหารและฆราวาสรับประทานอาหารอยู่นั้น มีการบรรเลงเพลงโดยวงสะล้อซอซึงขับกล่อมให้ความสำราญ แต่ที่ดิฉันประทับใจมาก คือ ช่างฟ้อน (นางรำ) ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่มีอายุพอสมควร พากันฟ้อนรำด้วยท่วงท่าสบาย ๆ การเปลี่ยนท่ารำคอยทำตามหญิงที่เป็นผู้นำ เรียกว่าไม่ต้องซ้อมล่วงหน้า อีกทั้งเครื่องแต่งกายของพวกเธอก็แต่งตามสะดวกของใครของมัน ไม่จำเป็นต้องตัดให้เหมือน ๆ กัน อันเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ พอเปลี่ยนทำนองเพลงให้เร็วขึ้น บรรดาผู้มาร่วมงานหลายคนนึกสนุกการร่วมรำจนกลายเป็นวงใหญ่ ต้นหนาวยืนดูอยู่ก็พลอยขยับไม้ขยับมือรำไปกับเขาด้วย ล่วงเลยมาจนถึงช่วงบ่าย พิธีกรรมทางสงฆ์จึงเริ่มขึ้น โดยการสวดมนต์ ไหว้พระ ฟังเทศน์ มัคทายกบอกเล่าถึงความเป็นมาและความสำคัญของงานตานก๋วยสลาก หลังจากนั้นพระภิกษุสามเณรได้รับส่วนแบ่งเส้นสลากแล้ว ก็จะไปยึดเอาชัยภูมิแห่งหนึ่งในวัด ทั้งบนศาลา ข้างศาลา ใต้ต้นไม้ ภายในเต้นท์ เพื่อจัดการออกสลาก ความชุลมุนและสนุกสนานจากเสียงตะโกนโหวกเหวกของลูกศิษย์(ขะโยม)แต่ละวัดที่ขานชื่อในเส้นสลาก ญาติโยม ทั้งพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ เฒ่าชะแรแก่ชรา ไม่ว่าเด็กน้อยหรือหนุ่มใหญ่ ก็จะหิ้ว “ ก๋วยสลาก ” ออกตามเส้นกันขวักไขว่ เพื่อตามหาว่าสลากของตนไปตกอยู่กับวัดหรือสำนักสงฆ์ใด บรรดาหนุ่ม ๆ ถือโอกาสเรียกคะแนนนิยมด้วยการช่วยสาว ๆ ตามหาเส้นสลาก เมื่อพบเส้นสลากของตนแล้ว ก็จะเอา “ ก๋วยสลาก ” ไปถวายพระ พระก็จะช่วยอ่านข้อความในเส้นสลากให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง แล้วรับเอา “ ก๋วยสลาก ” และกล่าวอนุโมทนาให้พร แล้วก็คืนสลากนั้นให้เจ้าของสลากไปเจ้าของสลากก็นำเอาเส้นสลากนั้นไปรวมไว้ในวิหาร เมื่อเสร็จแล้ว “ แก่วัด ” หรือมัคทายก ก็จะเอาเส้นสลากนั้นไปเผาไฟหรือทิ้งเสีย แม้จะดูโกลาหลแต่ทุกคนก็มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ดูอิ่มเอิบในบุญจากการตานก๋วยสลาก เพราะนานปีถึงจะมีการ “ กิ๋นก๋วย ” สักครั้ง บางวัด ๓ ปี จะมีการตานก๋วยสลากนี้สักครั้งหนึ่งโดยมากยามที่วัดมีงานบุญ เรามักพบผู้มาร่วมงานอยู่ในอาการมึนเมา หลายครั้งมีการนำสุราเข้ามาดื่มในวัด จนเกิดปัญหาทะเลาะวิวาท ชกต่อย ทำร้ายกัน แต่งานตานก๋วยสลากที่วัดอุ้มผาง ไม่ปรากฏการดื่มสุราในงาน จากการสอบถามได้ความว่า หลวงพ่อเจ้าอาวาส (พระสมุห์จรินทร์ กัลยาโน) ไม่อนุญาตให้นำสุราเข้ามาดื่มภายในบริเวณวัด ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นที่รู้กันทั่วทั้งอำเภออุ้มผางว่า วัดอุ้มผางมีพระสงฆ์ที่ค่อนข้างเคร่งครัดในการปฏิบัติเพราะเป็นสาขาของวัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรีประมาณบ่ายสามโมงกว่า ๆ งานตานก๋วยสลากของวัดอุ้มผางก็สิ้นสุดลง พระสงฆ์และญาติโยมแต่ละวัดพากันเดินทางกลับ ช่วงเวลาหลังจากนี้เป็นของศรัทธาแต่ละวัดที่กลับไปแกะก๋วยสลาก ในส่วนของยอดที่เป็นเงินจะมอบให้เป็นกองทุนส่วนกลางของวัดหรือแบ่งกันระหว่างพระสงฆ์ สามเณรก็แล้วแต่ ขณะที่ข้าวของในก๋วยทั้งของสดและของแห้งจะแจกจ่ายกันทังเด็กวัด ญาติโยม เด็ก ๆ จะตั้งตารอคอยเพื่อกินขนมในก๋วยสลากดิฉันรู้สึกทึ่ง และนึกชื่นชมอยู่ในใจเป็นอย่างยิ่งกับภูมิปัญญาของคนโบราณที่คิดค้นการทำบุญสลากภัตรหรือตานก๋วยสลาก ที่สอดแทรกการสอนให้พุทธศาสนิกชนปล่อยวางการเลือกทำบุญกับเฉพาะพระที่ตนเคารพนับถือ อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้น ๆ ของแต่ละปีที่ทุกคนจะตั้งอกตั้งใจตกแต่งก๋วยสลากของตนอย่างดีเพื่ออุทิศให้กับผู้ล่วงลับไป อีกทั้งต้องนำไปถวายกับพระสงฆ์ที่จับได้เส้นสลากโดยไม่เฉพาะเจาะจง นับเป็นความล้ำลึกที่สามารถสั่งสอนผู้คนโดยการปฏิบัติที่ดูจะได้ผลมากกว่าการเทศนาสั่งสอนหรือบอกกล่าวด้วยคำพูดมากมายนัก เตือนใจ (กุญชร ณ อยุธยา) ดีเทศน์Tuenjai_d@yahoo.com
ประสาท มีแต้ม
การแปรรูป ปตท. คือการปล้นประชาชน! ในช่วง ๓-๔ ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศกำลังเดือดร้อนกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเกือบสองเท่าตัว แต่บริษัทน้ำมันต่างๆในประเทศไทยกลับมีกำไรเพิ่มสูงขึ้นมากกว่านั้นในบทนี้ จะกล่าวถึงกิจการของบริษัท ปตท. จำกัดมหาชน และบริษัทอื่นๆบ้าง โดยย่อๆ เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้๑. บริษัท ปตท. จำกัด มหาชน ได้แปรรูปมาจาก การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๔ ตอนเริ่มต้นการแปรรูป กระทรวงการคลังถือหุ้น ๖๙% ปัจจุบันเหลือเพียง ๕๒.๔๘%ดังนั้น กำไรของ ปตท. ซึ่งเดิมเคยตกเป็นของรัฐทั้งหมด ๑๐๐% ก็จะเหลือเพียงตามสัดส่วนที่รัฐถือหุ้น คงจำกันได้นะครับว่า หุ้น ปตท. ขายหมดในเวลา ๑ นาที ๑๗ วินาที โดยมีนักการเมืองที่เรารู้จักกันดีจำนวนไม่กี่คนและนอมินีที่เราไม่รู้จักอีกจำนวนหนึ่งได้หุ้นไปถือครอง๒. ในปี ๒๕๔๘ มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบทั้งประเทศเท่ากับ ๖๔๔,๙๓๓ ล้านบาท [1] แต่เฉพาะกิจการโรงกลั่นน้ำมันในเครือของ ปตท. และของบริษัทเอสโซ่ RPC, TPI ฟาดกำไรรวมกันถึงประมาณ ๑๑๐,๓๓๒ ล้านบาท คิดเป็น ๑๗.๑% สำหรับข้อมูลค่าการกลั่น ผมได้มาจากการบรรยายของคุณโสภณ สุภาพงศ์ และตรวจสอบกับเอกสารของ บริษัท ปตท. จำกัดด้วย พบว่ามีรายละเอียดตรงกัน๓. ในปี ๒๕๔๕ ค่าการกลั่นน้ำมันอยู่ที่อัตรา ๒.๖ ดอลลาร์ต่อบาเรลล์ แต่ได้เพิ่มเป็น 3.4, 7.5 และ 7.7 ดอลลาร์ต่อบาเรลล์ ในปี พ.ศ. 2546,2547 และ 2549 ตามลำดับ [2]๔. ก่อนการแปรรูป ปตท. มีกำไรสุทธิประมาณ ๑ หมื่นล้านบาทต่อปี (ปี ๒๕๔๓) ในปี ๒๕๔๘ บริษัท ปตท. มีกำไรสุทธิ ๘๕,๕๒๑ ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๔๖ ถึง ๓๖% กำไรต่อหุ้น ๓๐.๕๗ บาท โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ๑๑๔,๐๔๕ ล้านบาท (ที่มา รายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2549) ในช่วง ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๔๙ บริษัท ปตท. มีกำไรก่อนหักภาษี ๑๑๒, ๒๙๙ ล้านบาท ถ้าจะประมาณการอย่างคร่าวๆ โดยใช้ข้อมูลของปีก่อน คาดว่า กำไรก่อนหักภาษีของปี ๒๕๔๙ น่าจะประมาณ ๑๔๗,๔๐๐ ล้านบาท และกำไรสุทธิก็คงจะประมาณ ๑๐๓,๐๐๐ ล้านบาท๕. ในปี ๒๕๔๘ ร้อยละ ๘๑ ของกำไรของบริษัท ปตท. มาจากกิจการก๊าซธรรมชาติ (คือส่วนที่เขียนว่า Gas และ PTTEP ในรูปข้างล่าง) ที่เป็นดังนี้เพราะเป็นกิจการผูกขาดรายเดียวในประเทศไทย ก่อนการแปรรูป ปตท. เคยสัญญาในหนังสือเชิญชวนว่า จะแยกกิจการท่อก๊าซฯออกมา แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการแยก๖. ก่อนการแปรรูป พนักงาน ปตท. มีรายได้เฉลี่ยคนละ ๘๑๐,๐๐๐ บาทต่อปี ในปี ๒๕๔๗ กลายเป็น ๑,๓๒๐,๐๑๓ บาทต่อปี๗. ในปี ๒๕๔๗ มีการประชุมคณะกรรมการทั้งหมด ๑๓ ครั้ง ซึ่งคณะกรรมการคนหนึ่งจะได้เงินจากการประชุมเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า ๔๗,๐๐๐ บาท / ครั้ง รายนามคณะกรรมการ ปรากฏตามเอกสารข้างล่างนี้1.นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ (ประธาน) ปลัดกระทรวงพลังงาน2.นายมณู เลียวไพโรจน์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม3.พลตำรวจเอก สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ4.นายพละ สุขเวช อดีตผู้ว่า ปตท., กรรมการ กฟผ.5.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม6.นายพิษณุ สุนทรารักษ๋ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์7.นายจักราวุธ ศัลยพงษ์ วิศวกรอาวุโส,ที่ปรึกษาบริหารบริษัท อินเตอร์เอนจิเนียริ่งมาเนจเมนท์8.นายโอฬาร ไชยประวัติ กรรมการบริษัทชินคอร์ป, นายกสภามหาวิทยาลัยชินวัตร9.นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีการ10.นายสันทัด สมชีวิตา ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี11.นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมธนารักษ์12.พลเอก ชัยศึก เกตุทัต ที่ปรึกษานายกฯ13.นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและพลังงาน14.นายประพันธ์ นัยโกวิท รองอัยการสฃูงสุด15.นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ปตท. ๘. กลุ่มพลังไทย ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการอิสระได้สรุปเรื่องการแปรรูปได้ว่า จากเรื่องราวทั้ง ๘ ข้อที่กล่าวมาแล้ว คงเป็นการตอกย้ำถึงความจำเป็นในการร่วมกันสร้างนโยบายสาธารณะด้านพลังงาน ความไม่รู้ และความเฉยเมยของผู้บริโภค คือเหยื่ออันโอชะของพ่อค้าพลังงาน หมายเหตุเพื่อความสมบูรณ์ของบทความนี้ ท่านผู้อ่านควรย้อนไปอ่านบทความเรื่อง “ความเคลื่อนไหวด้านพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญในระดับโลก: ตัวอย่างของ The Tipping Point” ซึ่งเคยเสนอในประชาไทนานมาแล้ว ----------[1] สถานการณ์พลังงาน, กระทรวงพลังงาน[2] ข้อมูลจากคุณโสภณ สุภาพงศ์ อดีต ส.ว.
เมธัส บัวชุม
-1-พรรคประชาธิปัตย์หาเสียงเพื่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง โดยชูคำขวัญที่ฟังดูดัดจริตและกินไม่ได้ว่า “ประชาชนต้องมาก่อน”ผมได้ยินหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปล่งคำนี้ออกมาแล้วก็ให้นึกสงสัยว่าจะมีใครซักกี่คนในโลกนี้เชื่อในสิ่งที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดออกมาพรรคประชาธิปัตย์ฉวยโอกาส เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น ๆ ตามสไตล์ถนัดด้วยการโฆษณาหาเสียงก่อนใครเพื่อน ในขณะที่พรรคคู่แข่งอย่างพรรคพลังประชาชนนั้นต้องเจอกับอำนาจชั่วที่คอยการสกัดกั้นทุกรูปแบบ-2-ต้องรอดูกันต่อไปว่า พรรคพลังประชาชนจะฝ่าต้านแรงสกัดจากอำนาจชั่วได้มากน้อยแค่ไหน การตัดทอนกำลังพรรคพลังประชาชนด้วยรูปแบบวิธีการต่าง ๆ จะทำให้พรรคพลังประชาชนอ่อนกำลังลงไปได้มากน้อยเพียงใด หรือว่าจะยิ่งทำให้พรรคการเมืองพรรคนี้เติบโตมากขึ้น ความศรัทธาเชื่อถือจากประชาชนจะช่วยให้เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่ ผมเชื่อว่า หากแม้นเมื่อใดที่ประเทศนี้สามารถปกครองด้วยหลักการของเสียงข้างมากจริงๆ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ต้องการทหาร เมื่อนั้นพรรคพลังประชาชนจะต้องได้จัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน เพราะประชาชนเสียงข้างมากของประเทศ ยังคงสนับสนุนพรรคไทยรักไทยที่กลายร่างเป็นพรรคพลังประชาชนภายใต้การนำของสมัคร สุนทรเวช หรืออย่างน้อยก็มีจำนวนมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอนบางคนชอบพรรคพลังประชาชนเพราะนโยบายต่าง ๆ ในอดีตที่ให้ความสำคัญแก่คนระดับล่าง (จะมีคนบางจำพวกแย้งในทันทีว่านโยบายของพรรคไทยรักไทยเดิม และของพรรคพลังประชาชนเป็นนโยบายประชานิยมที่ทำให้คนเป็นหนี้ ทำให้ประชาชนไม่รู้จักพึ่งตนเอง! ทั้งที่ประชาชนอยู่มาได้เป็นร้อยปีก่อนที่จะมีพรรคการเมืองด้วยซ้ำ) บางคนชอบพรรคพลังประชาชน เพราะความสามารถของนักการเมืองในพื้นที่และความผูกพันภักดีที่มีต่อกัน ซึ่งความผูกพันภักดีที่ว่านี้คนชั้นกลางจะไม่มีทางเข้าใจได้เลยในชีวิตนี้ว่ามีความหมายความสำคัญอย่างไรวันก่อน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าให้ฟังว่าจะอย่างไรก็ยังเลือกพรรคพลังประชาชนแม้ว่าจะไม่ได้เป็นพรรคที่จัดตั้งรัฐบาลก็ตาม เขาให้เหตุผลหลายข้อว่าทำไมจึงยังเลือกพรรคนี้ (แล้วเจ้าหน้าที่คนนี้ก็เล่าให้ฟังถึงข่าวอื้อฉาวเรื่องบ้านราคาสามสิบล้านของอธิการบดีสุรพล นิติไกรพจน์ ซึ่งผมไม่รู้ว่าจริงเท็จมากน้อยเพียงใด ใครที่มีพลังอำนาจช่วยเข้าไปตรวจสอบให้ทีเถิดว่าอธิการบดี ม.7 ท่านนี้ เอาเงินมากมายมาจากไหน มาจาก ”ผลประโยชน์ทับซ้อน” จากตำแหน่งอธิการบดีหรือเปล่า!)นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่จะชี้ให้เห็นว่าประชาชนยังคงเชื่อมั่นศรัทธาในพรรคไทยรักไทยที่ถึงแม้นว่าจะเปลี่ยนชื่อไปแล้วก็ตาม -3-คำว่า “ประชาชนต้องมาก่อน” ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ทำให้ผมต้องใช้จินตนาการขนาดหนัก เพราะนึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าคนอย่างชวน หลีกภัย, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือเทพเทือก นั้นจะปล่อยให้ประชาชนมาก่อนได้อย่างไร คิดไปคิดมา คำว่า “ประชาชนต้องมาก่อน” จึงน่าจะหมายถึงว่า “ประชาชนต้องมาซวย” ก่อนพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ ถึงรัฐประหารที่ผ่านมา หากติดตามประวัติศาสตร์การเมืองบ้าง ก็จะพบได้ไม่ยากว่าพรรคประชาธิปัตย์จะ “โชคดี” ได้จัดตั้งรัฐบาลเสมอหลังเกิดการรัฐประหารแล้วมีการเลือกตั้ง จนอาจกล่าวได้ว่า “รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับรัฐประหารเป็นของคู่กัน”รัฐประหารครั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์สามารถ “สืบทอดอดีต” ของตัวเองได้อย่างดีโดยเล่นเป็น “ลูกคู่” คอยรับและส่งบทให้เข้ากับคณะรัฐประหารอย่างไม่ประดักประเดิดหรือละอายแก่ใจ บางคนจึงเรียกพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็น “อะไหล่ธิปัตย์” คือช่วยสนับสนุน ซ่อมแซม อำนวยความสะดวกแก่กลุ่มที่ยึดอำนาจ การที่พรรคประชาธิปัตย์ปล่อยให้เกิดรัฐประหารกระทั่งเห็นพ้องด้วย การที่พรรคประชาธิปัตย์ปล่อยให้รัฐบาลเถื่อนทำงานไปโดยคอยเป็น “ลูกคู่” หรือเป็น “อะไหล่” นั้น ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากปล่อยประชาชนให้ซวยนั่นเอง เป็นที่ตระหนักกันดีว่าสภาวะเศรษฐกิจหลังรัฐประหารนั้นตกต่ำ ประชาชนเดือดร้อน ค่ารถเมล์ขึ้น ค่าครองชีพเพิ่ม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นความซวยหลังรัฐประหารต่อเนื่องมาถึงก่อนการเลือกตั้ง เป็นความซวยของประชาชนที่ “เกิดขึ้นก่อน” ที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นรัฐบาลดังนั้น คำขวัญที่ว่า “ประชาชนต้องมาก่อน” นั้นเป็นคำขวัญที่ยัง “กล่าวไม่หมดความ” คำขวัญที่ถูกต้องของพรรคประชาธิปัตย์ต้องเป็นว่า “ประชาชนต้องซวยก่อน” แล้วพอประชาชนรับความซวยไปแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้เป็นรัฐบาลบริหารเงินงบประมาณเป็นล้านล้าน สบายใจ.
Hit & Run
วิทยากร บุญเรือง ผมไปเจอข่าวชิ้นหนึ่ง เหตุเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งไม่ว่าจะยังไง ข่าวชิ้นนี้ผมว่ามันสามารถสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง สำหรับสังคมไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือข่าวที่กลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในโรงพยาบาลศิริราช มาหากินกับพสกนิกรผู้จงรักภักดีได้ลงคอ ... (กรุณาอ่านให้จบก่อนด่า)ท่านพงศพัศ พงษ์เจริญ ตำรวจหน้าหล่อ ได้กล่าวว่า ที่โรงพยาบาลศิริราช มีเรื่องซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นนั่นคือมีกลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรม และที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นการก่อเหตุในเขตพระราชฐาน โดยขณะนี้ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานแล้วเตือนไปยังแก๊งมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาก่ออาชญากรรมว่า นอกจากจะได้รับ ‘โทษสูงสุด' ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ภายหลังถูกจับและดำเนินคดีแล้ว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำการ ‘ประจาน' ผู้ที่กระทำผิดด้วย แม้จะมีเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นฝ่ายรับเอง เพราะการประกอบอาชญากรรมในเขตพระราชฐานนี้เป็นเรื่องที่คนไทย ‘รับไม่ได้'‘อาชญากรรมในเขตพระราชฐาน' ... แค่ฟังคำนิยามจากท่านพงศพัศแล้วก็รู้สึกขนลุก เหมือนคนที่ไปตกปลาในเขตอภัยทาน ทั้งตกนรกและติดคุก! กรณีนี้ไม่รู้ว่าจะถึงขั้นประจานให้ถูกรุมประชาทัณฑ์ ... นี่คงคิดมากไป และน่ากลัวเกินไปแต่ถ้าถูกประจานให้เสียชื่อแซ่ วงศ์สกุล ก็น่าสงสารว่าเขา ครอบครัว คนที่เกี่ยวข้อง จะถูกกระทำ ‘อะไร' ‘เยี่ยงใด' ต่อไปในอนาคตอืม ... ถึงกับประจานและลงโทษอย่างสูงสุด สิทธิมนุษยชนของคนลักเล็กขโมยน้อยไม่สำคัญเท่ากับการทำร้ายจิตใจคนไทย ที่สำคัญสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นฝ่ายรับเอง แน่นอนอันนี้เข้าใจดี... (เพราะคนกลุ่มใดกันเล่า ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ;-)ผมได้คุยเล่นๆ ในประเด็นนี้กับอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีผลงานวิชาการเกี่ยวกับเรื่อง 6 ตุลา และท่านก็ได้กล่าวเล่นๆ ตอบว่า "พวกขโมยไม่ใช่คนไทยแน่นอน อาจเป็นพวกญวนหรือพม่า" ;-) นั่นอาจเป็นมุมมองในช่วง 30 ปีที่ล่วงเลยมา สำหรับกรณีญวน ส่วนพม่าอาจเป็นกระแสหลังภาพยนตร์บางระจันจนถึงปัจจุบัน และมันยิ่งทำให้คิดถึงต้นมะขามสนามหลวง แรงงานข้ามชาติที่ถูกทารุณ --- ผมรู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างจับจิตจากคำพูดของอาจารย์ท่านนี้มันชวนให้คิดต่อว่า แน่นอน! คนที่เข้าไปถึงที่นั่นได้ ยังไงมันก็ต้องคนไทยแหละ! แต่เราจะนิยามให้เขาเป็นคนไทยที่ดีไม่ได้ เขาคือคนไทยที่ทำบาปมหันต์ ที่กล้าทำอะไรได้ในพื้นที่ที่นั่น!ด้านหนึ่งพวกเขาคือคนบาป ที่ไปทำบาปมหันต์แบบไม่มีเหตุผล ณ สถานที่ที่ไม่น่าจะไปทำเลย ให้ตายสิ! ในขณะที่สื่อไทยพยายามประโคมข่าวการทำความดี แต่กรณีนี้ได้ยืนยันว่า "คนไทยนั้นมีทั้งดีและเลวปะปนกันไปทุกช่วงเวลา" และเราก็ไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างคำหรูที่พรั่งพรูออกมาในช่วงนี้เหตุการณ์อุกอาจนี้ อีกด้านหนึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่า ในพื้นที่ที่คนไทยอาจจะซาบซึ้งที่สุดที่ได้ไปอยู่ที่ตรงนั้น มีอาหาร มีของแจก แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจจะมีเหตุผลเรื่องปากท้อง ซึ่งพวกเขาอาจจะยังไม่รู้สึกหนำใจกับอาหาร (ที่ไม่การันตีว่าจะได้รับทุกมื้อจากนี้ไป) และสิ่งของ (เล็กน้อย) ที่ได้รับแจกที่นั่น คนบาปเหล่านั้นอาจจะเป็นตัวแทนของผู้ที่ถูกกระทำจากระบบสังคมไทยที่ไม่จัดสรรอะไรให้เพียงพอเท่ากัน อาทิ การเข้าถึงทุน สวัสดิการพื้นฐานที่มีคุณภาพต่างๆ เป็นต้น พวกเขาไม่สามารถพัฒนาศักยภาพภายใต้สังคมที่เหลื่อมล้ำมหาศาลนี้ได้ ไม่สามารถไปทำอาชีพ อาทิ กัปตันเครื่องบิน แอร์โฮสเตส หมอ พยาบาล ฯลฯ จึงต้องหันมาเอาดีในสิ่งที่สังคมกำหนดว่ามันเป็นสิ่งชั่ว --- การลักเล็กขโมยน้อยและสุดท้าย ผมยังติดใจอยู่อย่าง .... คือสงสัยว่าคนบาปเหล่านั้นจะสวมเสื้อเหลืองด้วยรึเปล่า? คลื่นมหาชนล้นศิริราช - ตร.ประกาศจับแก๊งล้วงกระเป๋าได้ประจานไม่ไว้หน้า21 ต.ค.--ผู้จัดการออนไลน์ ประชาชนคนไทยยังคงหลั่งไหลเดินทางมาถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ขาดสาย สมาคมนักวิ่งแห่งประเทศไทยราว 200 คน ร่วมใจวิ่งเฉลิมพระเกียรติในเส้นทางถนนบรมราชชนนี ขึ้นสะพานพระราม 8 มุ่งหน้าไปยัง รพ.ศิริราช เพื่อเป็นการแสดงพลังถวายความจงรักภักดี สำนักพระราชวังพระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ 12,000 ใบ ขณะที่ตำรวจประกาศจัดการแก๊งมิจฉาชีพไม่ไว้หน้า จับได้จับประจานให้ได้อาย เมื่อเวลา 08.30 น.สมาคมนักวิ่งแห่งประทศไทยราว 200 คน ร่วมใจวิ่งเฉลิมพระเกียรติในเส้นทางถนนบรมราชชนนีขึ้นสะพานพระราม 8 มุ่งหน้าไปยัง รพ.ศิริราช เพื่อเป็นการแสดงพลังถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และร่วมลงนามถวายพระพร ณ จุดลงนามอาคารศาลา 100 รพ.ศิริราช 09.00 น.ชมรมลูกเสือชาวบ้าน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จำนวน 20 คน ลงนามถวายพระพร 09.10 น.สมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรมกองตำรวจสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 100 คน เดินทางร่วมลงนาม พร้อมแจกโปสการ์ดพระบรมมฉายาลักษณ์ 10.00 น.นายบรรพต โรจรุ่งสัจ เดินทางลงนามถวายพระพร พร้อมทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมฉายาลักษ์ ขนาด 15 คูณ 12 นิ้ว จำนวน 32000 ภาพ และ 8 คูณ 10 นิ้ว จำนวน 12,000 ต่อมานางประเทือง อินทร์บำรุง ย่านหนองแขม นำขนมมาแจกเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังที่ดูแลการลงนามถวายพระพร ใต้ถุนอาคาร 100 ปี รพ.ศิริราช ต่อมานายสรรเสริญ จุฬางกูล ประธานกรรมการกลุ่มซัมมิตคอปอร์เรชั่น น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายรถเก้าอี้ไฟฟ้าแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้าน นางชูศรี สภาพไทย จ.พระนครศรีอยุทธยา ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปลาตะเพียนเงิน ตะเพียนทอง ซึ่งนางชูศรีเปิดเผยว่า นางเอื้อง สภาพไทย ผู้เป็นมารดา อายุ 75 ปี ผู้ซึ่งป่วยเป็นอัมพาต แต่มีความตั้งใจที่จะถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้จึงเป็นตัวแทนนำปลาตะเพียนฝืมือของแม่มาถวาย คณะกรรมการจัดงาน เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ชุมแสง จ.นครสวรรค์ นำพระเจ้าพ่อเจ้าแม่ชุมแสงจำนวน 1,580 องค์ แจกจ่ายแก่ประชาชน ต่อมาคนไทยเชื้อสายจีนกลุ่มบัวขาว เดินทางมาลงนามถวายพระพร จากนั้นก็ได้เดินทางไปที่ลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เพื่อสวดมนต์ บทไต๊เส็งกิมกัง เพื่อขอพรพระบรมราชชนกให้ปกปักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงหายจากอาการพระประชวรโดยไว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะผู้แทนเยาวชนจากโครงการคุณธรรมนำไทยจำนวน 99 คน รวมลงนามถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นได้ไปสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก และได้รวมกันนั่งสมาธิถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในค่ำวันนี้กลุ่มเยาวชนดังกล่าวจะเดินทางไปร่วมงานแสง สี เสียง และ สื่อผสม ผ่านจอม่านน้ำ "ลูกของแม่พ่อของแผ่นดิน 80 พรรษานฤบดินของแผ่นดินไทย"ที่สวนเบญจกิตติ จัดโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ในโอกาสปีมหามงคลครบรอบ 80 พรรษา และวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของสมเด็จพระศรีนครินทร์ทรา บรมราชชนนี 11.00 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินมาตรวจสอบความเรียบร้อยที่ รพ.ศิริราช เปิดเผยว่า ในช่วง 2 วันนี้มีเรื่องซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นนั่นคือมีกลุ่มมิชฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรม และที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นการก่อเหตุในเขตพระราชฐาน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานแล้วเตือนไปยังแก๊งมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาก่ออาชญากรรมว่า นอกจากจะได้รับโทษสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ภายหลังถูกจับและดำเนินคดีแล้ว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะทำการประจานผู้ที่กระทำผิดด้วย แม้จะมีเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นฝ่ายรับเอง เพราะการประกอบอาชญากรรมในเขตพระราชฐานนี้เป็นเรื่องที่คนไทยรับไม่ได้ "ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเองก็มีความเป็นห่วงในเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งได้สั่งการกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบ พร้อมกันนี้ได้ฝากไปยังประชาชนที่ไปลงนามถวายพระพร ใน รพ.ศิริราช ว่าอย่าได้เกรงใจ เจ้าหน้าที่ทุกนายพร้อมให้บริการแก่ประชาชน หากเกิดเหตุร้ายหรือเหตุสงสัยสามารถแจ้งที่ตำรวจได้ทันที" เมื่อตอบข้อซักถามว่า พฤติกรรมของแก๊งนี้เป็นอย่างไร โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดเผยว่า กลุ่มมิชฉาชีพกลุ่มนี้ทำเป็นขบวนการ โดยการแฝงตัวเข้ามาในที่ที่มีคนจำนวนมาก และอาศัยช่วงชุลมุนก่อเหตุอาชญากรรม พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวต่อว่า นับแต่วันแรกที่เปิดให้ลงนามถวายมีการก่อเหตุล้วงกระเป๋าแล้ว 7 ราย 3 รายแรก ทราบเบาะแสแล้ว ส่วน 4 รายที่ก่อเหตุวานนี้เชื่อว่าจะมีความเกี่ยวพันธ์กับชุดแรกที่ก่อเหตุ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งทำงานและสืบสวนเชื่อว่าจะได้ตัวคนร้ายเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในศิริราช ทางเจ้าที่ตำรวจยังได้ประสานกำลังไปยังตำรวจสันติบาล ในการดูแลรักษาความสงบอีกด้วย ในส่วนของการจัดการจราจร พล.ต.อ.พงศพัศ เปิดเผยว่า ได้มีการประชุม ศูนย์การจราจรได้รับรายงานว่า การจราจรเรียบร้อยดี อาจมีการจราจรติดขัดเล็กน้อย แต่สถานการณ์โดยภาพรวมยังคงปกติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือไปยังประชาชนที่มาลงนามถวายพระพร อย่าก่อเหตุอันมิบังควรใดๆ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง ที่ รพ.ศิริราช ยังคงมีคลื่นสีเหลืองแห่งความจงรักภักดีหนาแน่นอยู่เต็มบริเวณ ศาลาศิริราช 100 ปี ลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก โถงอาคารเฉลิมพระเกียรติ และประชาชนที่มาถวายพระพรวันนี้จะมีจำนวนมากกว่าวันธรรมดา คาดว่าจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันหยุดราชการ ทำให้มีประชาชนหนาแน่นกว่าปกติ ซึ่งในการนี้ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินตรวจตราความเรียบร้อยปะปนในหมู่ประชาชน เพื่อป้องกันความสงบเรียบร้อยด้วย นอกจากนี้ นายดิษธร วัชโรทัย ผู้อำนวยการกองงานส่วนพระองค์สำนักพระราชวัง ได้นำพระบรมฉายาลักษณ์พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 1,200 ภาพ มาแจกจ่ายให้แก่ประชาชน โดยภาพดังกล่าวเป็นภาพชุดจากมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์สูทสีเทา ซึ่งเป็นภาพที่พระองค์แย้มพระสรวล โดยการพระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ในครั้งนี้ยังความปลาบปลื้มแก่พสกนิกร บางคนถึงกับยกมือไหว้ท่วมหัวน้ำตาคลอ ทั้งนี้ การแจกพระบรมฉายาลักษณ์แบ่งเป็น 2 ช่วง โดยแจกในช่วงเช้า 6,000 ภาพ ช่วงเย็น 6,000 ภาพ โดยด้านหลังพระบรมฉายาลักษณ์ได้มีบทเพลงพ่อของแผ่นดินเอาไว้ด้วย ที่มา:http://manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9500000124743
new media watch
ประกาศตัวเป็น 'นิตยสารออนไลน์' รายล่าสุดที่เปิดให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตดาวน์โหลดเนื้อหาข้างในเล่มมาอ่านกันได้ฟรีๆ ทุกหน้า ที่ www.modepanya.com ด้วยความตั้งใจของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรง คือ ณ พงศ์ วรัญญานนท์, เวสารัช โทณผลิน และ ศิริพร ฤกษ์สิรินุกูล ที่อยากสร้างสรรค์สารคดีเสริมปัญญาให้นักอ่านได้เสพสาระและความบันเทิงกันแบบไม่ต้องอาศัยทุนรอนมากนัก (ที่สำคัญ-ไม่ต้องตัดต้นไม้มาทำหนังสือ ช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อนไปได้อีกนิดหน่อย)แม้จะไม่ใช่หนังสือทำอาหาร แต่บทความหลายชิ้นช่วยบำรุงสมองนักอ่านได้ดี มีสรรพคุณด้านการกระตุ้นความคิด ซึ่งอาจจะฟังดูขัดแย้งกับชื่อ 'หมดปัญญา' ที่เป็นหัวนิตยสารอยู่บ้าง แต่คนทำก็แก้ต่างไว้ในบทบรรณาธิการว่า แท้จริงแล้ว 'หมดปัญญา' เป็นคำย่อที่กร่อนมาจาก 'โหมดปัญญา' Modepanya นี่เองบทสัมภาษณ์หลากหลายในฉบับแรก สำแดงความบ้าพลังของคนทำเป็นอย่างดี อาทิ การคุยกับ 'สุชาติ สวัสดิ์ศรี' หรือ 'สิงห์สนามหลวง' 'ประกาย ปรัชญา' ผู้ดำรงชีวิตด้วยการเป็นกวี 'ตุลย์ ไวฑูรย์เกียรติ' นักแต่งเพลงผู้กำลังเล่นเกมภาษา รวมถึง 'สายสวรรค์ ขยันยิ่ง' ผู้คว้ารางวัลเกียรติยศด้านการใช้ภาษาไทย นอกจากนั้นยังมีกราฟิกสวยที่รวมภาพแบบเรียนตั้งแต่ยุคแรกไปจนถึงยุคสร้างชาติและยุคล่า (สุด) ภายใต้คอนเสปต์รวมๆ เรื่อง 'ภาษา' ที่มีความเกี่ยวพันโยงใยกับเราทุกคน...ของดีๆ แล้วยังเปิดให้อ่านฟรีๆ แบบนี้...ใครไม่อ่านก็คง 'หมดปัญญา' เหมือนกันแหละ
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
“น้ำใจให้น้องปิ่น” เด็กหญิงพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ทุกคนในครอบครัวยังมีความหวังและมองโลกในแง่ดีเสมอ อ่านเรื่องของน้องปิ่นกับแม่ได้ที่นี่ สนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือตามกำลังศรัทธาได้ที่หมายเลขบัญชี 05-3405-20-093267-0น.ส.สีไวย คำดา เพื่อ ด.ญ.วรัญญา ฟินิวัตร์ ธ ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “สมทบทุนค่าอาหารและรักษาพยาบาลหมาแมวพิการ ป่วยไข้ ถูกทอดทิ้ง ตามกำลังศรัทธา”เลขที่บัญชี 1210101483 น.ส. นันท์ธนัตถ์ จิตประภัสสร ธ กรุงไทย สาขาบางบัวทอง หรือจะส่งเป็นอาหารหมาแมวก็ได้ค่ะ ที่97 หมู่ 2 บ้านหนองคาง ต.หนองราชวัตร อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี 72240