Skip to main content

 

 

มีโอกาสติดตามทนายกับทีมงานไปเยี่ยมเยือนบ้านคุณลุงอาแม ลุงชาวอาข่าผู้กำลังยื่นขาข้างหนึ่งเข้าไปในคุกเสียข้างหนึ่งแล้ว (ดูเพิ่มเติมในรายงานข่าว ศาลลำปางนัด 2 ธ.ค.พิพากษาคดี ลุงเผ่าอาข่าบุกรุกป่าสงวน)

 

ระหว่างเยี่ยมเยืยน ทนายถามลุงหลายหนตลอดการพูดคุยว่า “จะติดคุกนี่รู้ไหมลุงและ ถ้าสมมติติดคุก แล้วจะทำยังไง” คำตอบของแกเหมือนเดิมทุกครั้ง คือ “ไม่รู้แกตอบพร้อมกับรอยยิ้มอันเดิม ที่เราก็ยังไม่รู้จนบัดนี้ว่าทำไมแกถึงยิ้มได้เช่นนั้น

 

ทนายยังถามลูกชายคนหนึ่งของลุงด้วยว่า “ถ้าสมมติว่าพ่อต้องติดคุกจะทำอย่างไรลูกชายตอบด้วยการนิ่งเงียบไปหลายนาน

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับลุงอาแมและครอบครัวในไม่กี่เดือนนี้ ดูเหมือนจะทำให้แก ที่ดูเป็นผู้เฒ่าซื่อๆ ใสๆ และมีรอยยิ้มติดอยู่มุมปากตลอดเวลา ค่อยๆ ตกลงไปในหลุมลึกขึ้น ลึกขึ้นทุกที โดยไม่รู้ตัว

 

มันเริ่มตั้งแต่การถูกติดป้ายไล่ที่ ถูกเจ้าหน้าที่หลายร้อยนายบุกทั้งทางบกทางอากาศ เข้าตัดฟันสวนยางและไม้ผลต่างๆ บนที่ดินซึ่งลุงและครอบครัวทำกินมากว่า 30 ปี ต่อมาก็ถูกเรียกตัวไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความดำเนินคดี และถูกดำเนินการแยกเป็น 3 คดี ในข้อหาบุกรุกที่ดินป่าสงวนหลายแปลง แถมที่ดินที่เคยทำกินอยู่ราวๆ 30 ไร่ กลับงอกขึ้นมาเป็น 80 กว่าไร่ในคดีได้อย่างน่าอัศจรรย์

 

มิหนำซ้ำ กระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินไป ยังช่วยขุดหลุมนั้นให้ลึกลงไปอีกเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ ตั้งแต่ตำรวจ ที่ไม่รู้ว่าคุยกับลุงอย่างไร จนคำให้การของแกออกมาเป็นว่ารับสารภาพตามข้อกล่าวหา แต่ที่แน่ๆ แกมีปัญหาในการสื่อสารภาษาไทย แถมหูยังไม่ค่อยดีอีก

 

เรื่อยมาจนถึงการประกันตัวในชั้นศาล ที่ใช้เงินค่อนข้างมาก เนื่องจากถูกฟ้องแยกหลายคดี จนญาติต้องเช่าหลักทรัพย์บางส่วนช่วยประกัน

 

หลังถูกควบคุมตัวเมื่ออัยการส่งฟ้องต่อศาล ศาลยังใช้วิธีให้เจ้าหน้าที่ลงไปสอบคำให้การของลุงใต้ถุนศาล โดยไม่นำขึ้นห้องพิจารณา และผลกลายเป็นว่าแกรับสารภาพตามข้อกล่าวหา ทั้งที่มีการเตรียมกันมาก่อนว่าให้ปฏิเสธก่อน แล้วค่อยมาเตรียมสู้คดีต่อไป

 

เมื่อไม่มีทั้งล่าม ไม่มีทนาย ไม่มีนักกฎหมายอยู่ตรงนั้นด้วยในวันนั้น ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าที่ลุงเออออว่าทำไปจริงๆ จนกลายเป็นการรับสารภาพนั้น แกเข้าใจคำถามของเจ้าหน้าที่และคำตอบของตัวแกเองในความหมายไหนกันแน่ หรือแกเข้าใจความหมายของการที่แกปั๊มนิ้วมือลงไปในเอกสารต่างๆ อย่างไรกันแน่

 

แต่ที่แน่ๆ ไม่มีการอ่านคำฟ้องให้ลุงเข้าใจจริงๆ ว่ารายละเอียดของข้อกล่าวหาที่ตัวเองกำลังเจอคืออะไร จะต้องมีโทษอย่างไร มีเพียงการตามให้ลูกชายของลุงคนหนึ่งลงไปถามว่าพ่อของเขาเคยทำกินในที่ดินนี้จริงไหม ซึ่งลูกชายก็ตอบว่าใช่ โดยไม่ได้นึกว่าจะเท่ากับเป็นการรับสารภาพไปด้วย ดูเหมือนลูกชายเองก็จะงงๆ กับผลที่เกิดขึ้นมาจนถึงบัดนี้

 

เมื่อเราถามว่ารู้ไหมว่าวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ศาลจะตัดสินแล้ว ลุงและครอบครัวตอบว่าไม่รู้...รู้เพียงแต่ว่าต้องไปศาล

 

ทนายบอกเราว่าถึงแม้จะรับสารภาพ คดีที่ดินเยอะแบบนี้ก็ดูเหมือนศาลจะสั่งจำคุก โดยไม่รอลงอาญา และขั้นตอนมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรในทางกฎหมายได้ทันแค่ไหน กระบวนการที่เกิดขึ้นทำให้ทนาย ที่ทำงานด้านสิทธิชุมชนมายาวนานถึงกับส่ายหัว พร้อมบอกเราว่า "ถ้ามันจะผิด แกก็ควรจะผิดอย่างที่ได้ต่อสู้อย่างมีศักดิ์ศรีบ้าง"

 

บางที ในถ้อยคำ “ไม่รู้ของลุง และครอบครัวนั้น ดูเหมือนจะซุกซ่อนทั้งความอับจนปัญญาของการเดินทางเข้าไปสู่อาณาจักรอันไม่รู้จักมาก่อน จนไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน และซุกซ่อนความไม่เป็นธรรมอย่างมหาศาลในสังคมนี้ ที่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดออกมาได้...

     

บล็อกของ กำลังก้าว

กำลังก้าว
1ใครๆ ก็สงสัยว่าเขา “บ้า” หรือเปล่า...บ้าในความหมายทำนองว่าไม่กลัวเกรงอันใด ไม่วิตกกังวลเหมือนคนอื่นๆ ที่ต้องเผชิญกับข้อหาในลักษณะเดียวกัน
กำลังก้าว
 กว่าศาลจะนั่งบัลลังก์ก็เป็นเวลาเลย 10.30 น.ไปแล้ว
กำลังก้าว
พรุ่งนี้.. สมยศขึ้นศาล
กำลังก้าว
 
กำลังก้าว
 ประสบการณ์และความรู้สึกบางส่วนจากการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำ
กำลังก้าว
ผมตั้งชื่อบล็อกนี้ว่า “สนามหลังบ้าน”