Skip to main content

1

จดหมายลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2558 เดินทางออกมาจากเรือนจำ ในชื่อหัวว่า “เราห่างกันเพียงแค่ตัว” ที่ข้อความนับได้ 15 บรรทัดพอดีตามระเบียบของเรือนจำ ข้อความห่วงใยของแม่คนหนึ่งบอกเล่าถึงลูกๆ ว่า

“เป็นไงกันบ้าง 2 สาว ตอนนี้กำลังทำอะไรกันอยู่น๊า คิดถึงจังเลย อยากเห็นหน้าลูกสาวของแม่จัง ดื้อกันบ้างหรือปล่าว โดยเฉพาะน้องไอติมต้องดื้อแน่ๆ เลยใช่ไหมลูก คิดถึงแม่กันบ้างไหม ช่วงนี้ฝนตก อากาศก็เย็น ดูแลตัวเองด้วย อย่าแอบไปเล่นน้ำฝนกันล่ะ เดี๋ยวไม่สบาย เรื่องเรียนเป็นไงบ้าง ok ไหม ทำการบ้านเก่งแล้วนี่ เห็นแม่ใหญ่บอกว่าอุ๊งอิ๊งเดี๋ยวนี้เก่งขึ้นเยอะเลย สอนการบ้านน้องถูกหมด ยังไงก็ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือเยอะๆ นะจ๊ะคนเก่ง"
 
ภาพวาดประกอบในชื่อ “ครอบครัวของเรา” ถูกแต้มระบายสีอยู่ด้านล่างตัวอักษร...เหมือนกับครอบครัวทั่วๆ ไป ทั้งสี่คนในรูปวาดกำลังยิ้มอย่างมีความสุข
 


2

ศศิวิมล หรือโอ๋ ในวัย 29 ปี ทำงานเป็นพนักงานในแผนกเครื่องดื่มที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เธอแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ก่อนแยกทางกับสามีในเวลาต่อมา โดยมีลูกสาวด้วยกันสองคน คนโตอยู่ในวัย 10 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นป.4 ส่วนคนเล็กอายุ 7 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นป.2 

ปัจจุบันเด็กสาวทั้งสองอยู่ในการดูแลของยาย ที่มีโรคประจำตัว และทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดในโรงแรมเดียวกันกับโอ๋ ขณะที่ญาติๆ ก็ล้วนเป็นคนหาเช้ากินค่ำไม่ต่างกัน

โดยไม่เคยคิดฝันและไม่เคยแม้แต่ร่วมชุมนุมทางการเมืองใดๆ มาก่อน ปลายเดือนกันยายน 2557 โอ๋ถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเดินทางมาตรวจค้นที่บ้านเช่า โดยได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือไปตรวจสอบ เธอยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความที่เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 ในเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “รุ่งนภา คำภิชัย” โดยเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ

จากคำบอกเล่าของโอ๋ เธอยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่ใช่ผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ได้เกลี้ยกล่อมให้เธอรับสารภาพว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความ โดยบอกเธอว่าขอให้รับๆ ไปก่อน ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แล้วจะปล่อยตัวไป

วันนั้นยังเป็นวันที่ชุลมุนวุ่นวายสำหรับเธอ ลูกสาวคนเล็กที่พามาสถานีตำรวจด้วยเนื่องจากไม่มีใครดูแล กำลังไม่สบาย หัวหน้างานก็โทรศัพท์มาตามไปทำงาน และเนื่องจากไม่เคยทราบเรื่องมาตรา 112 หรือกระบวนการทางกฎหมายใดๆ มาก่อน โอ๋จึงให้การรับสารภาพ โดยไม่มีทนายความอยู่ด้วย

13 กุมภาพันธ์ 2558 ก่อนหน้าวันแห่งความรัก โอ๋นัดหมายเดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยไม่ทราบว่าจะถูกควบคุมตัวดำเนินคดี และไม่คิดจะหลบหนี เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาการกระทำผิดตามมาตรา 112 ก่อนนำตัวไปฝากขังยังศาลทหาร 

เธอถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมานับแต่นั้น..

3

เด็กๆ สองสาว เรียกยายของพวกเธอว่า “แม่ใหญ่” ขณะเรียกแม่ของพวกเธอว่า “แม่โอ๋”

จากคำบอกเล่าของยาย อุ๊งอิ๊ง หลานสาวคนโตจะติดแม่มากกว่าไอติม แต่โอ๋และลูกสาวทั้งสองก็ยังสนิทสนมกันมาก มักไปไหนมาไหนและทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันเสมอ โอ๋ทำหน้าที่รับส่งลูกสาวไปโรงเรียนทุกเช้าเย็น นอนดูหนังด้วยกัน พาไปเที่ยวด้วยกัน โดยเฉพาะชอบพาไปกินหมูกะทะเดือนละสามสี่ครั้ง ทำให้เด็กๆ สองสาวชอบกินหมูกะทะไปด้วย

โอ๋ยังเป็นคนตามใจลูก มักซื้อของเล่นต่างๆ ให้เสมอ เธอและแม่ชอบซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เป็นคู่ๆ ให้ลูกทั้งสองคนเหมือนๆ กัน 

จากเด็กค่อนข้างร่าเริง ยายบอกว่า ทั้งสองสาวกลายเป็นคนเงียบๆ ซึมๆ ไปมากขึ้น นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่แม่ไม่ได้อยู่บ้านอีกต่อไป

ทุกวันนี้ ยายต้องเข้างานตั้งแต่รุ่งเช้า ทำให้ต้องปลุกเด็กๆ ตื่นนอน และพาซ้อนจักรยานยนต์ไปส่งที่โรงเรียนก่อนโรงเรียนจะเข้า เมื่อเลิกงานแล้ว ยายจึงมารับทั้งคู่กลับบ้านในตอนเย็น ส่วนในวันอาทิตย์ ที่ยายยังต้องทำงานอยู่ เด็กๆ สองคนต้องอยู่ที่บ้านกันเอง โดยยายทำได้แค่โทรศัพท์กลับมาพูดคุยด้วยเป็นพักๆ 

ยายทำได้แค่บอกเด็กๆ ว่า “ช่วงนี้ให้แม่ใหญ่เป็นแม่ แทนแม่โอ๋ไปก่อนนะ”

ทั้งคู่ไม่ทราบว่าแม่ถูกจำคุกเนื่องมาจากอะไร...

4

7 สิงหาคม 2558 ก่อนหน้าวันแม่ไม่กี่วัน

แม่ของพวกเธอต้องขึ้นศาล...เด็กๆ เตรียมพวงมาลัยดอกมะลิซุกไปในกระเป๋า ไปรอไหว้แม่

โดยปกติ เรือนจำเปิดให้ญาติเยี่ยมเฉพาะวันทำการ ทำให้เด็กหญิงทั้งสองไม่สามารถเดินทางไปเยี่ยมแม่ที่เรือนจำได้ เนื่องจากยังต้องไปเรียนหนังสือในวันธรรมดา ในช่วงสองสามเดือนหลังซึ่งโอ๋ลูกนำตัวมาขึ้นศาล ยายจึงลาโรงเรียนให้เด็กๆ และพาสองคนมาเยี่ยมแม่ที่ศาลแทน

สำหรับผู้ต้องขังหญิงเมื่อมาศาล เจ้าหน้าที่เรือนจำไม่ได้นำตัวไปคุมขังในห้องขังเหมือนผู้ต้องขังชาย แต่สามารถนั่งรอกระบวนการของศาลร่วมกันกับญาติๆ ได้ แม่ใหญ่กับญาติๆ จึงมักเตรียมอาหารการกินที่โอ๋ชอบมาที่ศาล เพื่อนั่งกินด้วยกันเสมอ ทั้งลาบดิบลาบสุก ของหวาน กาแฟสด ผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียนที่โอ๋ชอบ ขณะที่เด็กๆ ก็กอดและคลอเคลียแม่ของพวกเธออยู่ไม่ห่าง

วันนั้น แม่เธอมาสาย เพราะเรือนจำลืมเบิกตัวออกมา ทำให้ญาติๆ และสองสาวต้องนั่งคอยแม่อยู่นาน เมื่อวิ่งเล่นในบริเวณศาลจนเบื่อแล้ว ยังมานอนเล่นเกมส์จากมือถือบนตักยาย

แม่โอ๋มาถึงหลังเที่ยง สองสาววิ่งเข้ากอดตั้งแต่เมื่อแม่ลงรถมา ก่อนจูงมือเข้าไปภายในศาล และหยิบพวงมาลัยจากกระเป๋าที่เตรียมมา ก้มลงกราบแม่ 

น้ำตาแม่โอ๋ไหลอาบแก้ม...

หลังกินข้าวด้วยกันในมื้อเที่ยงนั้น สองเด็กสาวต้องรออยู่ด้านล่างศาล ส่วนแม่ต้องขึ้นไปยังห้องพิจารณาคดีด้านบน

ศาลทหารอ่านคำพิพากษาอย่างรวดเร็ว ภายหลังจำเลยเพิ่งยื่นขอกลับคำให้การเป็นรับสารภาพในตอนเช้า ความผิดตามมาตรา 112 จำนวน 7 กรรม ลงโทษจำคุกกรรมละ 8 ปี รวมเป็นจำคุก 56 ปี ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษเหลือจำคุก 28 ปี

ศาลพิจารณาด้วยว่าได้ลงโทษจำเลยในสถานเบาอยู่แล้ว จึงให้ยกคำร้องประกอบคำรับสารภาพที่ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ
 
หลังจากนั้น สองเด็กสาวก็เห็นภาพแม่ร้องไห้เสียงดังอยู่ในอ้อมกอดของยายและญาติๆ ก่อนแม่โอ๋จะถูกนำตัวขึ้นรถจากไป...หลังจากกอดลาพวกเธอสองคน 
 
ภาพโดยศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ (ilaw)
 

5

ยายเล่าว่าวันนั้น หลังกลับถึงบ้าน ได้พยายามบอกเรื่องคำพิพากษากับหลานๆ ทั้งสองคน 

อุ๊งอิ๊ง พอเข้าใจว่าแม่ต้องติดคุกอีกสักพักใหญ่ๆ แต่ดูเหมือน เธอจะไม่รู้หรอกว่า 28 ปี มันนานเท่าไร เธอเงียบซึมไป

ขณะที่ไอติม ยายบอกว่าเธอไม่เข้าใจ แต่วิ่งไปเปิดดูปฏิทินที่ผนัง และชี้ไปที่เลขวันที่ 28 สิงหาคม 2558 โดยนึกว่าแม่จะได้ออกมาในวันนั้น...เธอยังคอยถามว่า “ทำไมแม่ไม่กลับบ้าน”

เด็กหญิงทั้งคู่ยังไม่รู้ และไม่เข้าใจว่าแม่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาอะไร

แม่ใหญ่เองนอนร้องไห้ โดยไม่สามารถข่มตาหลับได้ในคืนแห่งการพิพากษานั้น และยังคงเล่าถึงเรื่องของลูกสาวด้วยน้ำตา พร้อมความรู้สึกที่เธอบอกว่ามัน “กั๊ดอก” อยู่ข้างใน

วันแม่ปีนี้ และอีกหลายปีจากนี้ไป...แม่ใหญ่จะไม่มีลูกสาวอยู่ดูแลครอบครัว และสองเด็กหญิงก็ไม่มีแม่อยู่ข้างๆ กัน
 
 
---------------------------------------------------------------------
 
ดูรายละเอียดคดีศศิวิมลได้ที่--> http://freedom.ilaw.or.th/case/681 
และอ่านประมวลรายละเอียดคดีของศศิวิมล โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ที่ -->https://tlhr2014.wordpress.com/2015/08/10/sasivimon_112_2/


หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกภายใต้ชุด 112 The Series ในแฟนเพจของ ilaw เมื่อวันที่ 14 ส.ค.58
 

บล็อกของ กำลังก้าว

กำลังก้าว
1ใครๆ ก็สงสัยว่าเขา “บ้า” หรือเปล่า...บ้าในความหมายทำนองว่าไม่กลัวเกรงอันใด ไม่วิตกกังวลเหมือนคนอื่นๆ ที่ต้องเผชิญกับข้อหาในลักษณะเดียวกัน
กำลังก้าว
 กว่าศาลจะนั่งบัลลังก์ก็เป็นเวลาเลย 10.30 น.ไปแล้ว
กำลังก้าว
พรุ่งนี้.. สมยศขึ้นศาล
กำลังก้าว
 
กำลังก้าว
 ประสบการณ์และความรู้สึกบางส่วนจากการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำ
กำลังก้าว
ผมตั้งชื่อบล็อกนี้ว่า “สนามหลังบ้าน”