Skip to main content

 

ปรัชญาในฐานะอาวุธของการปฏิวัติ

หลุย อัลธูแซร์ (1968)

---------------------------------------------
วันที่เขียน : กุมภาพันธ์ 1968
ตีพิมพ์ครั้งแรก : L’Unita 1968 
แปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก : โดย Andy Blunden ใน New Left Review 1971
แปลเป็นภาษาไทยครั้งแรก : โดย จักรพล ผลละออ 2017

-----------------------------------------
 

Q : ช่วยกล่าวถึงประวัติของตัวเองอย่างสั้นๆ และเหตุผลที่ทำให้คุณกลายมาเป็นนักปรัชญา Marxist ด้วย
A : ในปี 1948 ช่วงที่ผมอายุ 30 ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์ด้านปรัชญาและได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส (Communist Party of France) ปรัชญานั้นเป็นสิ่งน่าสนใจอย่างยิ่ง ผมพยายามจะทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญา ส่วนเรื่องการเมืองคือความชอบของผม ซึ่งผมพยายามที่จะเป็นนักต่อสู้ของลัทธิคอมมิวนิสต์
ความสนใจในงานปรัชญาของผมถูกกระตุ้นด้วยความคิดวัตถุนิยมและการหยิบใช้มันในเชิงวิพากษ์ : เพื่อให้ได้รับองค์ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งจะช่วยต่อสู้กับความซับซ้อนและคลุมเครือของ ‘องค์ความรู้’ ในเชิง อุดมการณ์ ต่อสู้กับการประณามทางศีลธรรมบนพื้นฐานของมายาคติและคำโกหกซึ่งพบเจอได้ในระบบความคิดอันคลุมเครือ ความชื่นชอบในงานการเมืองของผมได้รับแรงบันดาลใจจากสัญชาติญาณของนักปฏิวัติปัญญาชน ความกล้าหาญ และลัทธิวีรชนของชนชั้นกรรมาชีพในการต่อสู้เพื่อลัทธิสังคมนิยม สงคราม การต่อสู้และการกดขี่คุมขังอันยาวนานนำพาให้ผมเดินเข้าไปสู่การติดต่อและทำความรู้จักกับคนงาน กรรมกร และชาวนา และนั่นทำให้ผมคุ้นเคยกับการเป็นนักต่อสู้ของลัทธิคอมมิวนิสต์
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการเมืองคือปัจจัยตัดสินเด็ดขาดของทุกสิ่ง หากแต่ไม่ใช่การเมืองในความหมายทั่วๆไป ผมกำลังหมายถึงการเมืองของลัทธิ Marx-Lenin
ประการแรกผมจำเป็นจะต้องค้นหาและทำความเข้าใจกับมันซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากสำหรับปัญญาชน และเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 50 และ 60 ด้วยเหตุผลที่คุณคุ้นเคยอยู่แล้ว นั่นคือผลกระทบต่อเนื่องจากเรื่องศาสนาและพิธีกรรมซึ่งมีผลต่อวิกฤตของขบวนการคอมมิวนิสต์สากล และเหนือสิ่งอื่นใดมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปฏิเสธหรือต่อต้านการแพร่ขยายของอุดมการณ์ “มนุษย์นิยม” ร่วมสมัย และอุดมการณ์แบบกระฎุมพี ซึ่งโจมตีแนวคิด Marxism ในช่วงนั้นอย่างหนัก
ครั้งหนึ่งผมมีความเข้าใจอันดียิ่งต่อแนวคิดทางการเมืองในลัทธิ Marx-Lenin และผมเริ่มต้นที่จะหันไปชื่นชอบงานปรัชญาด้วย อย่างน้อยที่สุดผมก็เริ่มที่จะทำความเข้าใจต่องานปรัชญาอันยิ่งใหญ่ของ Marx Lenin และ Gramsci ที่ว่างานปรัชญานั้นคือองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของการเมือง
ทุกสิ่งที่ผมได้เขียนนั้นในครั้งแรกเขียนด้วยตัวคนเดียว แต่หลังจากนั้นได้เขียนขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับสหายที่เยาว์วัยกว่า และสหายอื่นๆ ซึ่งได้ร่วมกันคิดทบทวนหลายครั้ง แม้ว่าจะยังมีสิ่งที่เป็น “นามธรรม” อยู่ในงานเขียนของพวกรา แต่โดยรวมแล้วในงานเขียนต่างๆก็มีคำถามที่เป็น “รูปธรรม” อยู่ด้วย

Q : คุณช่วยอธิบายขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับว่า : ทำไมโดยปกติแล้วมันจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกินในการที่เราจะเป็นนักคอมมิวนิสต์ในทางปรัชญา?
A : เพื่อจะเป็นนักคอมมิวนิสต์ในทางปรัชญานั้นก่อนอื่นคุณจำเป็นจะต้องมีเพื่อนพ้องรวมทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญในงานปรัชญาของ Marx-Lenin เสียก่อน ซึ่งก็คือ : วัตถุนิยมวิภาษวิธี
แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลายเป็นนักปรัชญา Marxist-Leninist เหมือนๆกับว่ามันไม่ง่ายที่จะเป็น “ปัญญาชน” อื่นๆทั่วไป อาจารย์ผู้สอนปรัชญาทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นพวกกระฎุมพีน้อย และทุกครั้งที่พวกเขาอ้าปากพูดสิ่งใดออกมามันย่อมมีอุดมการณ์แบบกระฎุมพีน้อยแฝงออกมาด้วย และนี่เป็นกระบวนการและกลวิธีที่ดำเนินการไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด
คุณทราบหรือเปล่าว่า Lenin ได้กล่าวถึง “ปัญญาชน” ไว้อย่างไร ปัจเจกชนบางส่วนนั้นมีแนวโน้ม (ในทางการเมือง) ที่จะ ประกาศว่าตัวเองเป็น “นักปฏิวัติ” และเป็นผู้กำล้าหาญคนหนึ่ง แต่ก็เช่นเดียวกับคนจำนวนมากโดยทั่วไป พวกเขายังคงหลงเหลือ “สิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้” คือ ความเป็นกระฎุมพีน้อยในอุดมการณ์ของเขา Gorky [Aleksei Maksimovich Peshkov หรือ Maxim Gorky นักเขียนชาวรัสเซีย - ผู้แปล] เองก็เป็นคนในกลุ่มนี้ สำหรับ Lenin ใครก็ตามที่ชื่นชมความสามารถของตัวเขาเองนั้นถือเป็นพวก “นักปฏิวัติกระฎุมพีน้อย” ทั้งสิ้น และเพื่อจะก้าวข้ามไปสู่การเป็น “นักอุดมการณ์ของชนชั้นกรรมาชีพ” (Lenin) “ปัญญาชนของชนชั้นกรรมาชีพ” (Gramsci) นั้นปัญญาชนจำเป็นจะต้องก่อตั้งความคิดการปฏิวัติแบบสูงสูดในความคิดของตนเองให้สำเร็จเสียก่อน [ต้องกำจัดความคิดหรืออุดมการณ์แบบกระฎุมพีให้หมด – ผู้แปล] ซึ่งกรณีนี้เองก็เป็นกรณีที่ถอดบทเรียนและศึกษาซ้ำกันมาอย่างยาวนาน เกี่ยวกับความขัดแย้งภายนอกและภายในที่ไม่สิ้นสุด
ชนชั้นกรรมาชีพนั้นมี “สัญชาติญาณทางชนชั้น” ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถเดินไปสู่ “จุดยืนทางชนชั้น” ของชนชั้นกรรมาชีพได้ แต่ในทางตรงกันข้ามสำหรับปัญญาชนนั้นพวกเขามี “สัญชาติญาณทางชนชั้นแบบกระฎุมพีน้อย” ซึ่งเป็นปัญหาอย่างฉกาจฉกรรจ์ซึ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
จุดยืนทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพเป็นอะไรที่มากกว่าเรื่อง สัญชาติญาณทางชนชั้นของกรรมาชีพ มันเป็นเรื่องของจิตสำนึกและภาคปฏิบัติการซึ่งดำเนินการตามความจริงทางภววิสัยของการต่อสู้ทางชนชั้น สัญชาติญาณทางชนชั้นจึงเป็นอัตวิสัยและเป็นเรื่องปกติวิสัย จุดยืนทางชนชั้นนั้นเป็นภววิสัยและเรื่องของความเป็นเหตุเป็นผล เพื่อจะเข้าไปถึงจุดยืนทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพ สัญชาติญาณทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพ มีความจำเป็นเพียงอย่างเดียวก็คือต้องได้รับการศึกษา ; สัญชาติญาณทางชนชั้นของพวกกระฎุมพีน้อย และของพวกปัญญาชนนั้นเป็นอะไรที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับความคิดในการปฏิวัติ การศึกษาและการปฏิวัตินี้ [ปฏิวัติความคิดแบบกระฎุมพี - ผู้แปล] จากการวิเคราะห์ที่ผ่านมาพบว่ามันจะถูกกำหนดจากการต่อสู้ทางชนชั้นของกรรมาชีพซึ่งดำเนินตามพื้นฐานกฎของทฤษฎีMarxist-Leninist 
ดังที่ Communist Manifesto ได้กล่าวไว้ ความรู้ในทฤษฎีนี้จะช่วยให้ปัญญาชนสามารถก้าวข้ามเข้าไปสู่จุดยืนทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพได้อย่างแน่นอน
ทฤษฎี Marxist-Leninist นั้นประกอบด้วย วิทยาศาสตร์ (วัตถุนิยมประวัติศาสตร์) และ ปรัชญา (วัตถุนิยมวิภาษวิธี)
เพราะฉะนั้นปรัชญา Marxist-Leninist จึงเป็นหนึ่งในสองอาวุธทางทฤษฎีที่จะขาดเสียมิได้สำหรับการต่อสู้ทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพ นักต่อสู้ของลัทธิคอมมิวนิสต์จะต้องปฏิบัติตามและหยิบใช้กฎหลักของทฤษฎีนี้ : วิทยาศาสตร์และปรัชญา การปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพนั้นต้องการนักต่อสู้ซึ่งเป็นทั้งนักทฤษฎีวิทยาศาสตร์ (วัตถุนิยมประวัติศาสตร์) และนักปรัชญา (วัตถุนิยมวิภาษวิธี) สำหรับช่วยเหลือในการป้องกันและพัฒนาทฤษฎี
การก่อตัวของนักปรัชญาเหล่านี้ดำเนินการอยู่บนความยากลำบากสองประการ
ประการแรก – ความยากลำบากในทางการเมือง – นักปรัชญาผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้เข้าร่วมกับพรรคจะยังคงหลงเหลืออุดมการณ์และความคิดแบบกระฎุมพี ซึ่งเขาจำเป็นจะต้องปฏวัติความคิดตัวเองเพื่อจะได้ขยับไปสู่การยึดกุมจุดยืนแบบชนชั้นกรรมาชีพในทางปรัชญา
ซึ่งความยากลำบากในทางการเมืองนี้คือ “การกำหนดในวาระสุดท้าย”
ประการที่สอง – ความยากลำบากในทางปรัชญา – เรารู้กันว่าเราจะทำงานมุ่งตรงไปยังทิศทางไหน และจะต้องยึดกุมหลักการไหนเพื่อจะไปสู่การให้ความหมายของจุดยืนทางชนชั้นในทางปรัชญา หากแต่เราจำเป็นจะต้องพัฒนาปรัชญา Marxist เสียก่อนและถือเป็นเรื่องเร่งด่วนทั้งในทางทฤษฎีและในทางการเมืองที่จะต้องเร่งลงมือทำในทันที ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นงานที่กว้างและยากอย่างยิ่ง สำหรับหรับทฤษฎี Marxist นั้นงานปรัชญามักจะมีลักษณะล้าหลังและตามหลังวิทยาศาสตร์ทางประวัติศาสตร์อยู่เสมอ
ปัจจุบันในประเทศของเรา [ฝรั่งเศส 1968 – ผู้แปล] นี่คือความยากลำบากที่โดดเด่นที่สุดและมีอำนาจเหนืออยู่

 

Q : ถ้าอย่างนั้นแปลว่าในทฤษฎี Marxist นั้น คุณแยกปรัชญากับศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ออกจากกันใช่ไหม เพราะอย่างที่คุณรู้ข้อถกเถียงเรื่องความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่บ่อยครั้งในปัจจุบัน [หมายถึงในปี 1968 – ผู้แปล]

A : ผมเข้าใจถึงความสำคัญของคำถามนี้ แต่ผมคิดว่าการโต้เถียงในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เก่าไปเสียแล้ว

หรือหากจะพูดอย่างเป็นแบบแผนให้ถึงที่สุดแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่าในประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของชาว Marxist นั้นมีการกลืนกินหรือยกเลิกความแตกต่างดังกล่าวไปแล้ว ไม่ว่าจะในการหันเหของฝ่ายขวาหรือในฝ่ายซ้ายเอง กล่าวคือฝ่ายขวานั้นเบี่ยงเบนและไม่ใส่ต่อเรื่องปรัชญา มีเพียงเรื่องศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่พวกนี้ยึดถือ (ปฏิฐานนิยม) ในขณะที่ฝ่ายซ้ายนั้นเบี่ยงเบนเรื่องศาสตร์หรอวิทยาศาสตร์ และคงเหลือเพียงเรื่องปรัชญา (อัตวิสัย) แน่นอนว่ามันมีข้อยกเว้นบางประการต่อกรณีข้างต้น (กรณีของความผกผัน) แต่ทั้งหมดนั้นยังคง ‘ยืนยัน’ ถึงกฎที่ผมกล่าว

ผู้นำการเคลื่อนไหวของขบวนการกรรมาชีพที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่ยุคของ Marx และ Engel มาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนั้นต่างก็กล่าวเสมอว่า : การเบี่ยงเบนหรือการหันเหดังกล่าวนั้นคือผลลัพธ์ที่เกิดจากอิทธิพลและการครอบงำของอุดมการณ์แบบกระฎุมพีที่มีอำนาจเหนือแนวคิด Marxism ซึ่งในส่วนของพวกเขานั้นพวกเขาได้ปกป้องและยืนยันเรื่องความแตกต่าง (วิทยาศาสตร์ และ ปรัชญา) มาโดยตลอด ไม่เฉพาะแค่เหตุผลในทางทฤษฎีเท่านั้น แต่เพื่อเหตุผลสำคัญทางการเมืองด้วย ในกรณีนี้นั้นความคิดของ Lenin ในงานเขียนเรื่อง Materialism and Empirio-criticism และ ‘left-wing’ Communism ได้ให้เหตุผลที่เด่นชัดที่สุดเอาไว้

 

Q : คุณสามารถอธิบายหรือแสดงให้เห็นถึงความแต่งต่างหรือการแยะระหว่างวิทยาศาสตร์กับปรัชญาในทางทฤษฎี Marxist ได้หรือไม่

A : ผมจะขอตอบคำถามนี้ด้วยการเสนอข้อเสนอบางประการซึ่งมีลักษณะเป็นแบบแผนเฉพาะกาลสักนิด ดังนี้

1.การหลอมรวมทฤษฎี Marxist เข้ากับการเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานเป็นภาวะการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ทางชนชั้น หรือกล่าวให้ถึงที่สุดคือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ (ผลลัพธ์แรก : การปฏิวัติสังคมนิยม)

2.ทฤษฎี Marxist (ทั้ง วิทยาศาสตร์ และ ปรัชญา) เป็นภาพแสดงตัวแทนของความคิดเรื่องการปฏิวัติซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ความรู้ของมนุษยชาติ

3.Marx ได้ก่อตั้งศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์แบบใหม่ : คือศาสตร์-วิทยาศาสตร์ของประวัติศาสตร์ ผมจะขออธิบายเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นดังนี้ วิทยาศาสตร์ที่ราคุ้นเคยกันนั้นตั้งอยู่บนพื้นที่สำคัญสองพื้นที่ ในยุคก่อน Marx ซึ่งถูกเปิดเผยขึ้นให้หลายเป็นองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั่นก็คือ พื้นที่ความรู้ด้านคณิตศาสตร์ และพื้นที่ความรู้ด้านฟิสิกส์ ฐานแรกนั้นถูกก่อตั้งโดยชาวกรีก (Thales) ฐานที่สองถูกก่อตั้งโดย Galileo ส่วน Marx นั้นได้เปิดเผยฐานความรู้ที่สามขึ้นนั้นคือ : พื้นที่ความรู้ทางประวัติศาสตร์

4.การเปิดเผยฐานหรือพื้นที่ทางความรู้ใหม่นี้จะชักนำให้เกิดการปฏิวัติในทางปรัชญา และนี่คือกฏสำคัญ : ปรัชญาจะต้องเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์เสมอ

ปรัชญานั้นถือกำเนิดขึ้น (โดย Plato) ในการก่อตั้งและเปิดเผยพื้นที่ความรู้ทางคณิตศาสตร์ มันได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบอีกครั้ง (โดย Descartes) ในการก่อตั้งและเปิดเผยพืนที่ความรู้ด้านฟิสิกส์ และในวันนี้ปรัชญากำลังจะเริ่มต้นการปฏิวัติด้วยการเปิดเผยพื้นที่ความรู้ทางประวัติศาสตร์โดย Marx การปฏิวัติดังกล่าวนั้นมีชื่อเรียกว่า วัตถุนิยมวิภาษวิธี

การเปลี่ยนผ่านของปรัชญานั้นมักจะตอบสนองหรือผลสืบเนื่องจากการค้นพบองค์ความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วมันจะเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์หรือภาวะการณ์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมปรัชญาจึงล้าหลังกว่าวิทยาศาสตร์ในทฤษฎีของ Marxist แน่นอนว่ามันยังมีสาเหตุหรือองค์ประกอบอื่นๆอีกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ในปัจจุบันนั้นสาเหตุนี้มีอำนาจและอิทธิพลมากที่สุด

5.ในระดับทั่วๆไปแล้ว มีเพียงนักต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้นที่ตระหนักหรือรับรู้ถึงขอบเขตการปฏิวัติในองค์ความรู้ที่ Marx ได้ค้นพบ ซึ่งปฏิบัติการทางการเมืองของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปก็เพราะองค์ความรู้ดังกล่าว

และขณะนี้เราได้มาถึงข้อครหาที่ร้ายแรงที่สุดทางทฟาฎีในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย

โดยทั่วๆไป ปัญญาชน หรือในทางตรงกันข้าม แม้แต่กลุ่มผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ด้วย (ผู้ชำนาญการในวิทยาศาสตร์ และปรัชญา) ไม่สามารถตระหนักถึง และปฏิเสธที่จะตระหนักถึง องค์ความรู้ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนที่ Marx ได้ค้นพบขึ้นแต่พวกเขากลับกล่าวโทษและตั้งท่ารังเกียจใส่มัน อีกทั้งพวกเขายังบิดเบือนมันทุกคั้งที่พวกเขาถกเถียงหรือพูดถึงเรื่องนี้ ด้วยข้อยกเว้นเล็กๆบางประการ พวกเขายังคงทำให้มันเละเทะไปด้วย เศรษฐศาสตร์การเมือง สังคมวิทยา ชาติพันธุ์วิทยา มานุษยวิทยา จิตวิทยาสังคม และอื่นๆ และอื่นๆอีกมามาย แม้กระทั่งในปัจจุบัน หนึ่งร้อยปีหลังการตีพิมพ์ว่าด้วยทุน (ถ้านับถึงปัจจุบันจะเป็นเวลา 150 ปี) ก็ยังคงมีพวกนักฟิสิกส์ที่ยึดแนวคิดของอริสโตเติลสร้างความเละเทะให้องค์ความรู้ของฟิสิกส์ แม้จะผ่านไปกว่า 50 ปีหลังยุคของกาลิเลโอ ทฤษฎีของพวกเขานั้นคืออุดมการณ์ที่ผิดยุคผิดสมัยซึ่งถูกนำมาทำให้ดูใหม่ด้วยเทคนิคทางคณิตศาสตร์สมัยใหม่

แต่ข้อครหาทางทฤษฎีนี้ก็ไม่ใช่เพียงแค่ข่อครหาทั้งหมด เพราะมันคือผลสะท้อนของอุดมการณ์ของความขัดแย้งทางชนชั้น : ซึ่งมันคืออุดมการณ์ของพวกกระฎุมพี วัฒนธรรมของกระฎุมพีซึ่งมีอำนาจนำนำด้วยการหยิบใช้และอาศัยการครอบงำทางวัฒนธรรม (Hegemony) โดยทั่วๆไป ปัญญาชน เช่น ปัญญาชนคอมมิวนิสต์หรือปัญญาชน Marxist นั้นถือเป็นกรณียกเว้นว่าพวกเขาไม่ถูกครอบงำทางทฤษฎีโดยอุดมการณ์ของพวกกระฎุมพี ด้วยข้อยกเว้นนี้ กรณีแบบเดียวกันก็เกิดขึ้นในวิทยาศาสตร์ของมนุษย์

6.สถานการณ์น่าอัปยศและข้อครหาเกิดขึ้นเช่นกันในทางปรัชญา ใครบ้างที่สามารถเข้าใจปรัชญาการปฏิวัติที่น่างงงวยซึ่งถูกสถาปนาขึ้นโดยการค้นพบของ Marx? มีเพียแต่ผู้นำและนักต่อสู้ของกรรมาชีพเท่านั้น โดยทั่วไป ในทางตรงกันข้าม ผู้เชี่ยวชาญในทางปรัชญาแทบไม่เคยจะถูกตั้งคำถามหรือตั้งข้อสงสัยในแบบเดียวกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขากล่าวถึง Marx พวกเขามักจะแสดงการต่อต้านอย่างสุดขั้ว โจมตี Marx ตำหนิและกล่าวโทษเขา ดูดกลืนและเอาเปรียบเขา จนกระทั่งพยายามลดทอนความคิดของ Marx

เช่นเดียวกับ Engel และ Lenin ที่พยายามป้องกันความคิดเรื่องวัตถุนิยมวิภาษวิธี ซึ่งถูกเก็บไว้ราวกับปรัชญาทั่วๆไปที่ไม่สลักสำคัญ ความอัปยศที่แท้จริงนั้นคือการที่นักปรัชญา Marxist ยอมก้มหัวให้กับโรคระบาดร้ายพวกนี้ ในนามของผู้ที่อ้างว่าต่อต้านการยึดติกตำรา และแน่นอนว่าในตอนนี้เหตุผลที่ทำให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงเป็นเหตุผลเดิม : นี่คือผลลัพธ์ของอุดมการณ์ความขัดแย้งทางชนชั้น นี่คือผลจากอุดมการณ์กระฎุมพี และวัฒนธรรมกระฎุมพี ซึ่งมีอำนาจนำเหนือสังคม

7.ภารกิจสำคัญในการเคลื่อนไหวของขบวนการคอมมิวนิสต์ในทางทฤษฎี

- ต้องตระหนักถึงและเข้าใจขอบเขตทฟาฎีการปฏิวัติของ Marx-Lenin ทั้งวิทยาศาสตร์แปรัชญา

- ต้องต่อสู้กับวิธีการมองโลกแบบกระฎุมพีและพวกกระฎุมพีน้อยซึ่งมักจะคุกคามและทำลายทฤษฎี Marxist อยู่ตลอดเวลา และยิ่งฝังรากลึกลงในทุกวัน รูปแบบโดยทั่วไปของวิธีการมองโลกแบบกระฎุมพีก็คือ : เศรษฐกิจนิยม (ปัจจุบันคือคตินิยมนักวิชาการ) และ ‘ส่วนเติมเต็มทางจิตวิญญาณ’ อุดมคติเรื่องคุณธรรมจริยธรรม (ปัจจุบันคือมนุษยนิยม) เศรษฐกิจนิยมและอุดมคติเรื่องคุณธรรมจริยธรรมนั้นได้ก่อสร้างการเป็นปรปักษ์ขึ้นในวิธีการมองโลกแบบกระฎุมพี นับตั้งแต่การถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกของพวกกระฎุมพี ในปัจจุบันนั้นมุมมองหรือวิธีการมองโลกแบบปรัชญาคือ : ปฎิธานนิยมใหม่ และเป็นส่วนประกอบทางจิตวิญญาณ อัตถิภาวนิยม-ปรากฏการณ์นิยมเชิงปัจเจก ซึ่งตัวแปรพิเศษสำหรับเรื่องนี้ที่มีอิทธิพลต่อศาสตร์ของมนุษย์ก็คือ : อุดมการณ์ที่เรียกว่า โครงสร้างนิยม

- ต้องยึดครองพื้นที่และสถาปนาอำนาจนำทางความรู้เหนือวิทยาศาสตร์ทางสังคม จะต้องเอาชนะและยึดครองพื้นที่ทางความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของพวกแอบอ้างและพวกหลอกลวง

- ต้องพัฒนาศาสตร์และปรัชญาใหม่ๆอย่างไม่มีทางเลี่ยงด้วยความเข้มงวด และเชื่อมโยงมันเข้ากับความต้องการและการสร้างสรรค์ในระดับภาคปฏิบัติการของนักปฏิวัติ

ในทางทฤษฎีนั้นสถานการณ์แตกหักหรือจุดชี้ขาดจะเชื่อมโยงอยู่กับปัจจุบัน : ปรัชญาแบบ Marxist-Leninist

 

Q : คุณได้กล่าวถึงสองสิ่งที่ขัดแย้งกันหรือแกต่างกันอย่างชัดเจน 1.คือคุณกล่าวว่าโดยทั่วไปปรัชญาคือการเมือง และ 2.ปรัชญานั้นเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์ คุณทำความเข้าใจกับความสัมพันธ์ของสองสิ่งนี้ยังไง

A : ผมจะขอตอบคำถามนี้ด้วยการเสนอข้อเสนอบางประการซึ่งมีลักษณะเป็นแบบแผนเฉพาะกาลอีกครั้ง ดังนี้

1.การเผชิญหน้ากันของจุดยืนทางชนชั้นหรือตำแหน่งแห่งที่ทางชนชั้นท่ามกลางการต่อสู้ทางชนชั้นนั้นเป็น ‘ภาพแสดงตัวแทน’ ของขอบเขตของภาคปฏิบัติการทางอุดมการณ์ (อุดมการณ์แบบศาสนา, ศีลธรรม, กฎหมาย, สุนทรีย์ศาสตร์) ผ่านโลกทัศน์ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นศัตรูกัน : ในวาระสุดท้ายทั้ง นักจิตนิยม-นักอุดมคติ (พวกกระฎุมพี) และ นักวัตถุนิยม (ชนชั้นกรรมาชีพ) รวมทั้งทุกคนโดยทั่วไปล้วนแล้วแต่มีโลกทัศน์โดยธรรมชาติ

2.โลกทัศน์นั้นเป็นภาพแสดงตัวแทนของขอบเขตทางทฤษฎี (วิทยาศาสตร์ + อุดมการณ์แบบทฤษฎีที่ถูกล้อมรอบด้วยวิทยาศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์) โดยปรัชญา ซึ่งปรัชญาคือภาพแสดงตัวแทนของความขัดแย้งทางชนชั้นในทฤษฎี นั่นคือเหตุผลว่าทำไมปรัชญาจึงเป็นการต่อสู้ (‘Kampf’ กล่าวโดย Kant) และเป็นการต่อสู้ทางการเมืองไปโดยพื้นฐาน : เป็นการต่อสู้ทางชนชั้น ทุกคนไม่ใช่นักปรัชญาโดยธรรมชาติ แต่ทุกคนอาจจะกลายเป็นนักปรัชญาในวันหนึ่ง

3.ปรัชญานั้นดำรงอยู่เท่าๆกับที่ขอบเขตทางทฤษฎีนั้นดำรงอยู่ : และดำรงอยู่เท่าๆกับที่วิทยาศาสตร์ (ในlสำนึกที่ถูกต้อง) ดำรงอยู่ หากปราศจากวิทยาศาสตร์ก็จะไม่มีปรัชญามันจะมีแต่เพียงโลกทัศน์ เสาหลักหรือหมุดหมายในการต่อสู้และพื้นที่ของการต่อสู้จะต้องถูกแยกออกจากกัน เสาหลักที่สำคัญที่สุดของการต่อสู้ทางปรัชญานั้นคือการต่อสู้เพื่อครอบงำหรือครองความเป็นเจ้า (Hegemony) ระหว่างความโน้มเอียงใหญ่สองฟากของโลกทัศน์ (วัถุนิยม และ จิตนิยม) พื้นที่การต่อสู้หลักของความขัดแย้งอยู่ที่องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ : สำหรับตัวมันหรือสำหรับการต่อต้านมัน การต่อสู้ทางปรัชญาที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งนั้นจึงจะวางตัวอยู่บนชายแดนกึ่งกลางระหว่างวิทยาศาสตร์และอุดมการณ์ และนั่นคือพื้นที่ที่นักปรัชญาจิตนิยมจะหยิบใช้วิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับนักปรัชญาวัตถุนิยมซึ่งรับใช้วิทยาศาสตร์ การต่อสู้ทางปรัชญานั้นเป็นส่วนประกอบหนึ่งของการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างโลกทัศน์ ในอดีตที่ผ่านมานั้นวัตถุนิยมถูกครอบงำโดยจิตนิยมเสมอมา

4.ศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ที่ก่อตั้งขึ้นโดย Marx นั้น (หมายถึงประวัติศาสตร์-วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ – ผู้แปล) ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทั้งหมดในพื้นที่ทางทฤาฎีไปโดยสิ้นเชิงเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว มันเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้โลกทัศน์ที่ปรัชญาได้แสดงภาพตัวแทนออกมาในทฤษฎี; มันเปิดให้เราได้เรียนรู้และศึกษาปรัชญา มันยังทำให้เรารู้ถึงวิธีที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ (นักปฏิวัติที่ทำการต่อสู้ทางชนชั้นจะดำเนินการต่อสู้เคลื่อนไหวโดยคล้อยตามกับทฤษฎี Marxist) ที่ทำให้ปรัชญาต้องปฏิวัติตัวเองเป็นทวีคูณ กลไกวัตภุนิยม, อุดมคติ-จิตนิยมในประวัติศาสตร์ จะต้องกลายเป็น วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ สมดุลของพลังจะเปลี่ยนด้านแบบกลับหัวกลับหาง : ในตอนนี้วัตถุนิยมสามารถครองอำนาจนำเหนือจิตนิยมในปรัชญาได้ และถ้าหากว่าเงื่อนไขทางการเมืองสามารถถูกทำให้เป็นจริงได้มันจะสามารถนำพาการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อการครอบงำเหนือลกทัศน์ทั้งสองแบบได้

ปรัชญาแบบ Marxist-Leninist หรือ วัตถุนิยมประวัติศาสตร์นั้น เป็นภาพแสดงตัวแทนของการต่อสู้ทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพในทางทฤษฎี ในการรวมตัวของทฤษฎี Marxist กับการเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงาน (พูดอย่างจริงจังที่สุดคือการรวมตัวของทฤษฎีและภาคปฏิบัติการ) ปรัชญาจะสิ้นสุดหน้าที่ลงอย่างที่ Marx ได้กล่าวไว้ “ปรัชญามีไว้เพื่ออธิบายโลก” และมันจะกลายไปเป็นอาวุธเมื่อเราเริ่มลงมือที่จะ “เปลี่ยนแปลงโลก” : นั่นก็คือการปฏิวัติ

 

Q : หรือว่านี่คือเหตุผลที่ทำให้คุณเสนอว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ในปัจจุบันนี้ทุกคนควรจะอ่านหนังสือ ‘ว่าด้วยทุน’ (The Capital-Das Kapital)

A : ใช่ มันเป็นเรื่องปกติธรรมชาติมากๆที่ทุกคนควรจะอ่านและศึกษาหนังสือ ‘ว่าด้วยทุน’

- เพื่อที่จะทำความเข้าใจมันอย่างจริงจัง ในทุกมิติและทุกขอบเขตของวิทยาศาสตร์และปรัชญารวมถึงผลพวงที่ตามมา และสิ่งที่นักต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพควรจะทำความเข้าใจอย่างจริงจังในทางปฏิบัติก็คือ : ลักษณะและคุณสมบัติของนักปฏิวัติในทฤษฎี Marxist

- เพื่อที่จะป้องกันทฤษฎี Marxist จากการตีความอันเบี่ยงเบนของพวกกระฎุมพีและพวกกระฎุมพีน้อยกล่าวคือการทบทวนงานเขียนในทฤษฎีของ Marxist ซึ่งถูกคุกคามอย่างร้ายแรงในปัจจุบัน : ประการแรกที่สำคัญก็คือการต่อต้านลัทธิเศรษฐกิจกำหนดและมนุษย์นิยมที่แทรกเข้ามาในทฤษฎี Marxist โดยพวกกระฎุมพี

- เพื่อพัฒนาทฤษฎี Marxist และสร้างมโนภาพทางิทยาศาสตร์อันจะขาดไปไม่ได้ในการวิเคราะห์ความขัดแย้งทางชนชั้นในปัจจุบัน ทั้งในประเทศของเราและที่อื่นๆทั่วโลก

มันเป็นเรื่องปกติอย่างมากที่เราจะอ่านและศึกษาหนังสือ ‘ว่าด้วยทุน’ ผมขอเสริมอีกนิดว่ามันมีความจำเป็นและเป็นเรื่องปกติที่จะอ่านและศึกษางานทั้งหลายของ Lenin ด้วย ทั้งเก่าและใหม่ เพราะมันจะมอบประสบการณ์ของการต่อสู้ทางชนชั้นของขบวนการแรงงานสากลให้เราได้เห็น มันเป็นเรื่องปกติเช่นกันที่เราจะต้องศึกษาภาคปฏิบัติการและการปฏิบัติการของขบวนการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพอย่างเป็นจริง ทั้งปัญหาและอุปสรรคที่พวกเขาพบเจอและการโตเถียงถกเถียงของพวกเขา : กล่าวคือต้องศึกษาเรื่องในอดีตของพวกเขาและเหนือไปกว่านั้นคือประวัติศาสตร์ทั้งหมดของพวกเขา

ในประเทศของเรา (ฝรั่งเศส) ผมเห็นว่าเรามีทรัพยากรและความพร้อมอย่างมากสำหรับนักปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพในปัจจุบัน แต่พวกเขาจำเป็นจะต้องแสวงหาถึงทรัพยากรที่ว่าเหล่านั้น : กล่าวคือมีการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก นักปฏิวัติจะไม่สามารถ ‘ค้นพบ’ ได้เลยหากปราศจากการเชื่อมโยงตัวเองอย่างใกล้ชิดกับมวลชน และโดยปราศจากอาวุธทางทฤษฎีของ Marxist-Leninist อุดมการณ์แบบกระฎุมพีนั้นได้สร้างความคิดเรื่อง ‘สังคมอุตสาหกรรม’ ‘ทุนนิยมใหม่’ ‘ชนชั้นแรงงานใหม่’ ‘สังคมที่ร่ำรวย-มั่งคั่ง’ ‘การแปลกแยก’ และ บอกว่ามันเป็นของทุกคน (Tutti quanti – ตรงนี้เป็นภาษาอิตาเลี่ยนซึ่งผมไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าแปลความถูกไหม-ผู้แปล) ซึ่งมันต่อต้านความเป็นวิทยาศาสตร์และต่อต้าน Marxist : ความคิดเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับนักปฏิวัติ

และด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากจะขอเสนอข้อสังเกตุเพิ่มเติมของผม : ซึ่งเป็นข้อสังเกตุที่สำคัญอย่างมาก

เพื่อจะทำความเข้าใจว่าคนที่อ่านนั้นได้เข้าใจสิ่งที่อ่านและศึกษาจริงๆเกี่วกับงานทฤษฎี งานการเมืองและงานประวัติศาสตร์ที่ผมได้กล่าวมานั้น ผู้อ่านนั้นจำเป็นจะต้องมีประสบการณ์ตรงด้วยตนเองซึ่งถูกกำหนดด้วย 'ความจริง' ทั้งสองชุดอย่างทะลุปรุโปร่ง : คือความจริงทางด้านการปฏิบัติเชิงทฤษฎี (วิทยาศาสตร์, ปรัชญา) ในชีวิตจริง และความจริงของภาคปฏิบัติการของนักปฏิวัติชนชั้นกรรมาขีพในชีวิตจริง ในระดับที่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมวลชน ถ้าหากว่าทฤษฎีนี้เปิดทางให้เราได้เข้าใจกฎของประวัติศาสตร์ไม่เฉพาะแต่ปัญญาชน และไม่เฉพาะแต่กับนักทฤษฎี นั่นแปลว่ามวชลหรือกรรมาชีพนั่นเองที่เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะเรียนรู้หรือศึกษาด้วยทฤษฎี – แต่ในขณะเดียวกันและในสภาวะชี้ขาดก็เป็นเรื่องธรรมชาติเช่นกันหกว่าเราจะเรียนรู้และศึกษาจากมวลชนและชนชั้นกรรมาขีพ

 

Q : ทำไมคุณถึงให้ความสำคัญกับความเข้มงวดและไม่ยืดหยุ่นอยู่ตลอด ตลอดจนการที่คุณเข้มงวดแม้แต่กับการใช้คำศัพท์คำพูดต่างๆ

A : คำพูดอยู่วลีหนึ่งที่สรุปฟังก์ชั่นสำคัญของภาคปฏิบัตการทางปรัชญาเอาไว้ว่า : “เพื่อสร้างเส้นแบ่งสำหรับการแบ่งแยก” ระหว่างความคิดที่ถูก กับความคิดที่ผิด นี่เป็นคำพูดของ Lenin

แต่ในขณะเดียวกันนั้นคำพูดนี้เดียวกันนี้ก็สรุปลักษณะสำคัญของภาคปฏิบัติการโดยทั่วไปในทิศทางของภาคปฏิบัติการของการต่อสู้ทางชนชั้น : เพื่อสร้างเส้นแบ่งสำหรับการแบ่งแยก” ระหว่างชนชั้นที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แบ่งแยกระหว่างชนชั้นที่เป็นมิตรกับเรา และชนชั้นที่เป็นศัตรู

เห็นไหมว่ามันเป็นคำพูดเดียวกัน ทฤษฎีก็สร้างเส้นแบ่งแยกระหว่างความคิดที่ถูก กับความคิดที่ผิด การเมืองก็สร้างเส้นแบ่งแยกระหว่างประชาชน (กรระมาชีพและพันธมิตรทางชนชั้น) กับพวกที่เป็นศัตรูของประชาชน

ปรัชญาซึ่งเป็นภาพแสดงแทนการต่อสู้ทางชนชั้นของผู้คนในทฤษฎีนั้น ในทางกลับกันก็ช่วยให้ผู้คนมองเห็นความแตกต่างในทฤษฎี และในความคิดทั้งหมด (การเมือง, ศีลธรรม, สุทรีย, ฯลฯ) ระหว่างความคิดที่ถูก และ ความคิดที่ผิด ซึ่งโดยหลักการนั้นความคิดที่ถูกคือความคิดที่รับใช้ประชาชนอยู่เสมอ ความคิดที่ผิดมักจะรับใช้ศัตรูของประชาชน

ทำไมนักปรัชญาถึงต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงคำพูดหรือภาษา นั่นก็เพราะในความเป็นจริงการต่อสู้ทางชนชั้นนั้นถูกนำเสนอผ่านความคิด ซึ่งถุกนำเสนอผ่าน “คำพูด” หรือ “ภาษา” อีกทีหนึ่ง ในเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์และปรัชญา “คำพูด” หรือ “ภาษา” (ทั้งแนวคิด และ ประเภท) เป็นเครื่องมือของความรู้ แต่ในทางการต่อสู้ทางการเมือง อุดมการณ์ และปรัชญา “คำพูด” และ “ภาษา” นั้นเป็นทั้งอาวุธ, สร้างการระเบิด, ทำให้สงบ และเป็นกระทั่งยาพิษ ในบางครั้งบางคราวการต่อสู้ทางชนชั้นทั้งหมดสามารถถูกสรุปเอาไว้ในการต่อสู้ระหว่างคำพูดหนึ่งคำต่อคำพูดคำอื่นเท่านั้น ขณะที่บางคำก็ต่อสู้กับตัวเองราวกับศัตรู ในขณะที่คำอื่นๆเป็นที่ตั้งของความคลุมเครือ : นี่เป็นหมุดหมายในการตัดสินชี้ขาดแต่เปนการต่อสู้ที่ไม่มีความแน่นอน

ผมจะขอยกตัวอย่าง : การต่อสู้ของลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อโค่นล้มระบอบชนชั้นและเพื่อสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ที่ในวันหนึ่งผู้คนจะเป็นอิสระและเป็นพี่น้องกัน อย่างไรก็ตามพวก Classical Marxist ทั้งหมดได้ปฏิเสธที่จะกล่าวว่า Marxism คือ มนุษย์นิยม คำถามคือทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? นั่นก็เพราะในทางปฏิบัติแล้ว หรือในความเป็นจริงคำว่า มนุษย์นิยม นั้นถูกใช้ประโยชน์โดยอุดมการณ์ซึ่งหยิบใช้คำนี้ในการต่อสู้เพื่อจะทำลายคำพูดและความจริงอื่นๆ และที่สำคัญที่สุดคือทำลายสิ่งสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ : การต่อสู้และความขัดแย้งทางชนชั้น

ตัวอย่างถัดมา : นักปฏิวัติรับรู้ถึงเรื่องข้างต้น  ในวาระสุดท้ายทุกสิ่งจะถูกกำหนดแต่ไม่ใช่ถูกกำหนดโดย กลยุทธทางเทคนิค, อาวุธ, ฯลฯ แต่ถูกกำหนดโดยนักต่อสู้ ภายใต้จิตสำนึกทางชนชั้นของพวกเขาด้วยการอุทิศตนความเสียสละและความกล้าหาญของนักต่อสู้ อย่างไรก็ตามนัก Marxist ปฏิเสธที่จะกล่าวว่า “มนุษย์” หรือ “คน” เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ เพราะอะไร? นั่นก็เพราะในทางปฏิบัติแล้วการพูดแบบนี้ถูกผูกโยงเข้ากับการใช้ประโยชน์จากคำโดยอุดมการณ์ของพวกกระฎุมพี ซึ่งจะทำลายหัวใจสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพคือ : กรรมาชีพคือผู้สร้างประวัติศาสตร์

ในเวลาเดียวกันนั้น ปรัชญา หรือแม้แต่งานเขียนอันยืดยาวที่เป็นนามธรรมนั้นต่างก็ต่อสู้แย่งชิงเหนือคำพูดและภาษา : ต่อสู้กับคำโกหก ต่อสู้กับความคลุมเครือ เพื่อความจริงที่ถูกต้อง มันต่อสู้อยู่เหนือ ‘ลำดับขั้นของความเห็น’

Lenin กล่าวว่า “มีเพียงคนสายตาสั้นท่านั้นที่สามารถพิจารณาข้อพิพาทหมู่และแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างลำดับขั้นของความเห็นที่ไม่ถูกกาละเทศะหรือมากเกินไปได้อย่างเข้มงวด ชะตากรรมของสังคมนิยมประชาธิปไตยรัสเซียนช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้วอาจจะขึ้นอยู่กับการสร้างความแข็งแกร่งให้กับลำดับขั้นของความเห็นใด สักลำดับขั้นหนึ่งหรือในลำดับขั้นอื่นๆ” (What is to be done?)

การต่อสู้ทางปรัชญาเหนือคำพูดหรือภาษาคือส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมือง มีเพียงปรัชญาของ Marxist-Leninist เท่านั้นที่จะสามารถทำให้ความเป็นนามธรรม ความเข้มงวด และการทำงานทฤษฎีอย่างเป็นระบบให้สมบูรณ์ได้ในเงื่อนไขที่มันต่อสู้ในสองรูปแบบ หนึ่งคือภาษาที่ดูเป็น “วิชาการ” มากๆ (มโนทัศน์, ทฤษฎี, วิภาษวิธี, ภาวะแปลกแยก ฯลฯ) กับภาษาที่ง่ายต่อการเข้าถึง (คน, มวลชน, ประชาชน, การต่อสู้ทางชนชั้น ฯลฯ)

 

แปลและเรียบเรียงจาก philosophy as an revolutionary weapons, louis althusser (1918).

 

บล็อกของ จักรพล ผลละออ

จักรพล ผลละออ
        ทุนนิยมและเสรีภาพ
จักรพล ผลละออ
กลุ่มผู้ไร้ความมั่นคง* : กลุ่มพลังใหม่ในการเปลี่ยนแปลงสังคมGuy Standing (2014)
จักรพล ผลละออ
 อิสรภาพของคาตาลูญญา: แรงกดดันต่อพรรค Podemos
จักรพล ผลละออ
 ใครว่าฝ่ายซ้ายไม่มีทางชนะ?