Skip to main content

เห็นกระแสแปนิคเมื่อหลายวันก่อน ทำให้นึกได้ว่าชาวโลกมีการคาดหมายหรือหวาดกลัวมานานแล้วว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มได้ตั้งแต่ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหมาดๆ นั่นคือการกลายเป็นศัตรูระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกันแบบหลวมๆ ในการต่อสู้กับฝ่ายอักษะ การสิ้นสุดของสงครามได้ทำให้ฝ่ายตะวันตกหวาดหวั่นถึงการขยายวงอิทธิพลของโซเวียตในยุโรปตะวันออก รวมไปถึงบางประเทศในซีกตะวันตกเช่นกรีซและอิตาลีผ่านพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนโซเวียตก็ไม่ไว้ใจสหรัฐฯ จากการทิ้งปรมาณูที่ญี่ปุ่นถึง 2 ลูก (ถึงแม้แฮร์รี ทรูแมนประธานาธิบดีสหรัฐฯเคยแจ้งให้ผู้นำสูงสุดทราบล่วงหน้าแล้ว แต่สตาลินก็ถือว่าสหรัฐฯ ใช้อาวุธร้ายแรงดังกล่าวในการข่มขู่โซเวียตให้กลัว) โลกจึงก้าวเท้าสู่สงครามเย็น และเข้าสู่จุดสูงสุดของการเป็นปรปักษ์กันเมื่อปี 1948 เกิดวิกฤตการณ์กรุงเบอร์ลิน (Berlin crisis) ที่กองทัพแดงทำการปิดล้อมไม่ให้สหรัฐฯ และตะวันตก ส่งเสบียงไปยังกรุงเบอร์ลินตะวันตกซึ่งตั้งอยู่ภายในเยอรมันตะวันออกอันเป็นเขตอิทธิพลของโซเวียต แต่สหรัฐฯ และอังกฤษก็ยังส่งเครื่องบินไปยังเบอร์ลินตะวันตกหลายแสนเที่ยว แน่นอนว่าถ้าทางโซเวียตยิงเครื่องบินอเมริกันหรือพันธมิตรตกสักลำก็สามารถนำไปสู่สงครามโลกครั้งใหม่ แต่ด้วยความกลัวของสตาลินจึงสั่งให้กองทัพแดงล่าถอยไปในปี 1949 กระนั้นในปีเดียวกันโซเวียตก็สามารถทดลองอาวุธนิวเคลียร์สำเร็จหลังจากนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกหลายคนแปรพักตร์แอบส่งสูตรการสร้างอาวุธร้ายแรงดังกล่าวมาให้เป็นเวลานาน โลกจึงเข้าสู่ยุคการแข่งขันอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งมีการพัฒนาให้ซับซ้อนและสร้างความหายนะให้อีกฝ่ายได้มากขึ้น อันนำไปสู่การประท้วงของประชาชนในค่ายโลกที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์เสมอมาเพื่อให้ยุติการทดลองหรือแม้กระทั่งการครอบครองอาวุธร้ายแรงดังกล่าว การก่อตั้งองค์การนาโตที่ผลักดันโดยสหรัฐฯ ให้ยุโรปตะวันตกกลายเป็นกันชนกับโซเวียตในปี 1949 และการที่โซเวียตวิ่งเต้นให้การมีจัดตั้งสนธิสัญญาวอร์ซอว์ในปี 1955 ที่รวมกลุ่มของยุโรปตะวันออก บนแนวคิดการปกป้องซึ่งกันและกัน น่าจะทำให้สงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นสูงเพราะสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมาเกิดจากการจัดรวมกลุ่มพันธมิตรของทั้ง 2 ฝ่ายที่เป็นศัตรูกัน กระนั้นการมีอาวุธนิวเคลียร์ของทั้ง 2 ประเทศ (ต่อมาขยายเป็นหลายประเทศเช่นอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน) อาจทำให้ไม่จำเป็นต้องขยายวงกว้างไปทั่วโลก เพราะแค่2 มหาอำนาจยิงหัวรบนิวเคลียร์เข้าหากันก็กลายเป็นสงครามโลกได้ และสงครามเย็นมีลักษณะพิเศษคือนอกจาการจัดตั้งองค์กรดังกล่าว สหรัฐฯกับโซเวียตยังแข่งกันแย่งจัดตั้งรัฐบาลที่มีอุดมการณ์สอดคล้องกันและสนับสนุนตัวเองในประเทศโลกที่ 3 ดังที่เรียกว่า proxy war ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในแอฟริกา อเมริกากลาง เอเชีย สงครามเย็นจึงเป็นสงครามโลกแบบพิเศษคือเป็น limited world war ที่รัฐเจ้าพ่ออย่างสหรัฐฯ และโซเวียตไม่เคยปะทะกันทางทหารจริงๆ นอกจากหนุนให้กลุ่มทางการเมืองภายในรัฐบริวารทำสงครามแย่งอำนาจกันเอง

นอกจากนี้สงครามเย็นมีศักยภาพที่จะกลายเป็นสงครามร้อนคือสงครามโลกที่รบกันอย่างเต็มรูแบบ ได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกับการใช้อาวุธนิวเคลียร์ยิงใส่กัน แต่ด้วยผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายกลัวว่าจะทำให้ชาวโลกล้มตายกันและการพังทลายของโลกเอง ดังที่เรียกว่าเกมที่แพ้ทั้ง 2 ฝ่ายหรือ Zero sum game หรืออีกคำคือ MAD หรือ Mutually Assured Destruction ทั้ง 2 ฝ่ายจึงหลีกเลี่ยงในการขยายวง แต่เน้นนโยบายการโอบล้อม ป้องกันการแพร่อิทธิพลของกันและกันตามทฤษฏีของจอร์จ เอฟ เคนเนน นักการทูตผู้โด่งดัง ตัวอย่างที่สะท้อนว่าผู้นำพยายามหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนสงครามเย็นเป็นสงครามโลกคือสงครามเกาหลี (ปี 1950 ถึง 1953) โซเวียตและจีนสนับสนุนให้เกาหลีเหนือรบกับเกาหลีใต้ซึ่งสนับสนุนโดยสหรัฐฯ กับสหประชาชาติ และสหรัฐฯ ได้ปะทะโดนตรงกับกองทัพอาสาของจีนซึ่งถูกส่งเข้ามาในเกาหลีเหนือหลายแสนนาย ผบ.สส.ของกองทัพสหประชาชาติคือนายพลดักกลัส แม็คอาร์เธอร์เสนอให้รัฐบาลทิ้งอาวุธนิวเคลียร์ที่จีน แต่แฮร์รี ทรูแมนปฏิเสธเพราะกลัวจะขยายวงเป็นสงครามโลกและปลดแม็คอาร์เธอร์ออกจากตำแหน่ง หรืออีกครั้งหนึ่งที่น่าจะทำให้โลกเข้าสู่สงครามอีกรอบคือวิกฤตการณ์คิวบาในปี 1962 ที่โซเวียตส่งเรือขนอาวุธนิวเคลียร์ไปยังเกาะคิวบาซึ่งอยู่ห่างจากรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ ไม่กี่ร้อยไมล์ ทำให้เกิความตึงเครียดถึงสงครามนิวเคลียร์ แต่ด้วยการเจรจาทางการทูตระหว่างรัฐบาลของจอห์น เอฟ เคนนาดี และนิกิตา ครุชชอฟ ทำให้วิกฤตการณ์คลี่คลายไป ในทศวรรษที่ 80 การบุกรุกอัฟกานิสถานของโซเวียตเมื่อหนึ่งปีก่อน รวมไปถึงการขึ้นมีอำนาจของสายเหยี่ยวของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนแห่งสหรัฐฯ ทำให้การผ่อนคลายการเป็นปรปักษ์หรือ detente ที่มีตั้งแต่ยุคของนิกสันและเบรซเนฟสิ้นสุดลง สงครามเย็นร้อนขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะในปี 1983 ตอนเรแกนประกาศยุทธศาสตร์ Strategic Defence Initiative ที่สหรัฐฯ จะสร้างเครือข่ายในการต่อต้านขีปนาวุธจากโซเวียตแม้แต่จากในอวกาศ จนมีชื่อเล่นว่า Star Wars อันประจวบกับเหตุการณ์ในปีเดียวกันที่องค์การนาโตทำการซ้อมรบครั้งใหญ่ ภายใต้รหัส Able Archer 83 ทำให้โซเวียตเตรียมหัวรบนิวเคลียร์ไว้ให้มั่นเพราะระแวงว่าจะโดนตะวันตกบุก ช่วงนั้นเป็นตอนผมเรียนหนังสือพอดี ฮอลีวูดก็สร้างเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 อันยิ่งทำให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ชาวโลกอย่างภาพยนตร์เรื่อง The Days After ที่บรรยายถึงเหตุการณ์ที่โซเวียตโจมตีสหรัฐฯ ด้วยนิวเคลียร์ซึ่งมีความสมจริงมาก หรือตอนที่ทั่วโลกกำลังเห่อนอสตราดามุสนายแพทย์ชาวฝรั่งเศสในยุคกลางที่เชื่อว่าสามารถทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ โรงเรียนผมถึงกลับเกณฑ์นักเรียนไปดูหนังเรื่องนอสตราดามุสที่โรงหนังแสงตะวัน จำได้ว่ามีฉากจากคำทำนายว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดที่ตะวันออกกลาง ด้วยผู้นำซึ่งน่าจะเป็นกัดดาฟีแห่งลิเบียได้ร่วมกับผู้โซเวียตยิงหัวรบนิวเคลียร์มายังนิวยอร์คจนหมอดไหม้ ปัจจุบันนอสตราดามุสเป็นแค่โจ๊กตลกๆ ที่ไม่ค่อยมีใครเชื่อเพราะแกเขียนเป็นบทกวีสั้นๆ คลุมเครือ แต่คนยุคใหม่มาตีความให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน

แต่แล้วสงครามเย็นก็สิ้นสุดลงไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น (ทั้งที่มีการแฉทีหลังว่ามีอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจนำไปสู่สงครามได้เช่นเรดาร์ของโซเวียตทำงานผิดพลาด) รัสเซียซึ่งเป็นรัฐทายาทของโซเวียตรวมทั้งหัวรบนิวเคลียร์มีประธานาธิบดีคือบอริส เยลต์ซินซึ่งนิยมตะวันตก ทำให้ชาวโลกโล่งอกโล่งใจคิดว่าสิ้นสุดภัยจากนิวเคลียร์แล้ว กระนั้นก็มีความหวาดระแวงอยู่ไม่น้อยว่าด้วยความวุ่นวายของเศรษฐกิจและสังคมรัสเซียในช่วงเปลี่ยนผ่านอาจทำให้ผู้ก่อการร้ายขโมยหรือซื้อหรือจ้างนักวิทยาศาสตร์รัสเซียให้ผลิตนิวเคลียร์มาก่อการร้ายก็ได้อันส่งผลให้โลกพังพินาศไม่แพ้สงคราม ดังที่นวนิยายและหนังฮอลลีวู้ดทำ แต่ทั่วโลกอาจมองข้ามเหตุผลที่นาโตและรัสเซียเกือบปะทะกันในปี1999 กรณีของความขัดแย้งในโคโซโวที่กองทัพทั้ง 2 ฝ่ายเข้ามายึดครองกรุงพริสตินในพื้นที่ใกล้เคียงกัน (สรุปเหตุการณ์สั้น ๆ คือเซอร์เบียซึ่งเป็นพันธมิตรกับรัสเซียทำการสังหารหมู่ชาวมุสลิมในโคโซโวซึ่งต้องการแยกต้วจากเซอร์เบียและนาโตเข้าไปควบคุมสถานการณ์) ซึ่งเชื่อกันว่าอาจนำไปสู่สงครามโลก กระนั้นก็อาจมีคนพอทำนายได้ว่าความไร้ประสิทธิภาพของบอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีขี้เมาจอมเฮฮาในทศวรรษที่ 90 ก็ได้ก่อให้เกิดผู้นำเงียบขรึม ร้ายลึกแบบวลาดิมีร์ ปูตินขึ้นมาในต้นสหัสวรรษ จากนั้นรัสเซียก็มีนโยบายที่แข็งกร้าวขึ้น ด้วยชนชั้นนำของรัสเซียเห็นว่านาโตขยายอิทธิพลมายังยุโรปตะวันออก อันก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ยูเครนในปี 2013 การกลายเป็นศัตรูกันอีกรอบระหว่างนาโตกับรัสเซียน่าจะมีโอกาสทำให้เกิดสงครามโลกมากกว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านเสียด้วยซ้ำ แต่เอาเข้าจริงก็อาจเป็นแบบจำกัดนั่นคืออยู่เฉพาะแค่ในยุโรป ด้วยทวีปอื่นคงไม่ยอมเข้าไปเกี่ยวข้องแม้แต่จีนซึ่งเป็นพันธมิตรกับรัสเซียใน Shanghai Coopration Organization เพราะจีนเน้นนโยบายแพร่อิทธิพลทางเศรษฐกิจไปทั่วโลกมากกว่า และทวีปอื่นก็คงไม่เข้าร่วมด้วย กรณีที่เมื่อปีที่แล้ว ทรัมป์นำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาจำกัดหัวรบนิวเคลียร์พิสัยกลางหรือ INF ซึ่งลงนามในสมัยกอร์บาชอฟและเรแกนอันอาจทำให้เกิดการแข่งขันพัฒนานิวเคลียร์ (อย่างเป็นทางการ) อีกรอบยังน่ากลัวกว่ากรณีอิหร่านเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ดังเท่าอิหร่านเพราะตะวันออกกลางมีหลายประเทศที่จ้องจะเล่นงานกัน อันมีสีสันอย่างมากสำหรับการเสนอข่าวและการเร้าอารมณ์ของนักวิเคราะห์ที่นิยมตะวันออกและเกลียดสหรัฐฯ แต่ถ้าจะเกิด ก็ยังเป็นสงครามแบบจำกัดภูมิภาคอยู่ดี ตราบใดที่สหรัฐฯ นาโต รัสเซียและจีนไม่เข้าร่วมเต็มตัว ซึ่งมีโอกาสน้อยเพราะต่างคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองซึ่งอาจเสียหายจากสงครามมากกว่าพันธมิตรซึ่งไม่มีพันธะหรืออุดมการณ์ยึดโยงแข็งแรงเท่ากับช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง และสงครามเย็น ทุกอย่างถูกคิดคำนวนตามแบบสัจนิยมคือเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองและที่สำคัญคือการเมืองภายในประเทศที่รัฐให้ความสำคัญต่อความคิดและความรู้สึกของประชาชนแม้ว่าประเทศนั้นจะเป็นเผด็จการก็ตาม กระนั้นทุกอย่างก็เป็นไปได้เสมอในโลกแห่ง disruption แห่งนี้ # สวัสดี

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถือได้ว่า It's A Wonderful Life เป็นภาพยนตร์ที่อเมริกันชนแสนจะรักใคร่มากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังชีวิตในยุคหลังมากมายหลายเรื่องแล้ว ภาพยนตร์ขาวดำเรื่องนี้ยังถูกนำมาฉายทางโทรทัศน์ในช่วงคริสต์มาสของทุกปีในอเมริกา คอหนังอเมริกันมักจะเอยชื่อหนังเรื่อง
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผลพวงแห่งความคับแค้นหรือ The Grapes of Wrath เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวโจดส์ที่อาศัยอยู่ใน รัฐโอกลาโอมา พวกเขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ หมื่นครอบครัวของชนชั้นระดับรากหญ้าของอเมริกาที่ต้องพบกับความยากลำบากของชีวิตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (Great Depression) ในทศวรรษที่ 30 ซึ่งสหรัฐฯเป็นต้นกำเนิดนั้นเอง &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เคยสังเกตไหมว่าพวกที่เป็นเซเลบและพวกที่ไม่ได้เป็นเซเลบแต่อยากจะเป็นเซเลบ  มักจะหันมาใช้อาวุธชนิดหนึ่งในการโฆษณาสร้างภาพตัวเองซึ่งดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อยไปกว่าให้หน้าม้ามาโผล่ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือเสนอหน้าผ่านเกมโชว์หรือรายการทั้งหลายในโทรทัศน์ก็คือหนังสือนั้นเอง หนังสือที่ว่ามักจะเป็นเรื่องเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แปลมาจากบทความของโรเจอร์ อีเบิร์ต ที่เขียนขึ้นในเวบ Rogerebert.com เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม ปี ค.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1."วันข้างหน้า ถ้าไม่มีมาตรา 44  ไม่มีคสช.เราจะอยู่กันอย่างไร"
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
from A to Z , rest of one's life If the officers want to inspect  Dhammakay temple from A to Z , they must spend the rest of their lives.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับของหมอดูที่ผมรวบรวมมาจากการประสบพบเองบ้าง (ในชีวิตนี้ก็ผ่านการดูหมอมาเยอะ) จากการสังเกตการณ์และนำมาครุ่นคิดเองบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความถึงหมอดูทุกคน เพราะคงมีจำนวนไม่น้อยที่มีฝีมือจริงๆ  กระนั้นผมเห็นว่าไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง พวกเขาหรือเธอต้องใช้เคล็ดลับ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเรื่อง Lolita ไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนแล้วคำ ๆ แรกที่ทุกคนนึกถึงก็คือ Paedophilia หรือโรคจิตที่คนไข้หลงรักและต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กที่อายุน้อย ๆ สาเหตุที่ถูกตีตราว่าโรคจิตแบบนี้เพราะสังคมถือว่ามนุษย์จะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เมื่อมีอายุที่สมควรเท่านั้น และสำคัญที่มันผิดทั้งกฏหมายและศี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.Blade Runner (1982)  สุดยอดหนังไซไฟที่มองโลกอนาคตแบบ Dystopia นั่นคือเต็มไปด้วยความมืดดำและความเสื่อมโทรม ถึงแม้บางคนอาจจะผิดหวังในตอนจบ(แต่นั่นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหนัง) แต่ด้วยฝีมือ Ridley Scott ที่สร้างมาจากงานเขียนของ Philip K.Dick ทำให้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มีการถกเถียงกันทางญาณวิทยาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญามาเป็นพัน ๆ ปีว่าความจริง (Truth) แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วเราจะสามารถรู้หรือเข้าสู่ความจริงได้หรือไม่ แน่นอนว่าผู้อ่านย่อมสามารถโต้ตอบผู้เขียนได้ว่าความจริงที่เรากำลังสัมผัสอยู่ขณะนี้เช่นหูได้ยินหรือจ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
จำได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ภาพยนตร์ที่สร้างความเพลิดเพลินและความชื่นอกชื่นใจให้แก่ผมมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือหนังเรื่อง "มนตร์รักลูกทุ่ง" ของสยามประเทศนี่เอง เคยดูเป็นเวอร์ชั่นโรงใหญ่จากโทรทัศน์ก็ตอนเด็ก ๆ ความจำก็เลือนลางไป เมื่อเข้าเรี
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อาคิระ คุโรซาวาเป็นผู้กำกับญี่ปุ่นชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยความยิ่งใหญ่จนถึงระดับคลาสสิกของภาพยนตร์ที่เขาสร้างหลายสิบเรื่องทำให้มีผู้ยกย่องเขาว่าเหมือนกับจักรพรรดิหรือแห่งวงการภาพยนตร์ไม่ว่าญี่ปุ่นหรือแม้แต่ระดับนานาชาติคู่ไปกับสแตนลีย์ คิวบริก อัลเฟรด